พอเสียงโพล่งตะโกนด้วยโทสะของฉีอวี่ดังขึ้น ผู้คนโดยรอบก็พากันเงียบปากไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
บัดนี้กลิ่นดินปืนมันคละคลุ้งเหลือเกิน พาลให้ใจทุกคนเต้นไปไม่เป็นจังหวะ ขณะเดียวกันก็จับจ้องไปยังต้วนหลิงเทียนและฉีอวี่ไม่วางตา
“อยากตาย?”
หลังฉีอวี่โพล่งออกมาสนั่นด้วยโทสะ ต้วนหลิงเทียนเพียงหันไปมองมันด้วยสายตาล้ำลึก “เจ้าแน่ใจหรือ ว่าเจ้ามีปัญญาทำอะไรข้าได้?”
“ฮ่าๆๆๆ!”
ฉีอวี่ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น สองตาฉายชัดถึงความเย้ยหยันปรามาส “ต้วนหลิงเทียน แค่เจ้ามีโชคขึ้นไปถึงขั้นที่ 9 เข้าหน่อย ทำให้อันดับของเจ้าเหนือกว่าข้าฉีอวี่ ก็ทำให้เจ้าถึงกับไม่เห็นหัวข้าฉีอวี่แล้วเช่นนั้นรึ?”
“อันดับในการแข่งขันไต่บันไดสวรรค์ มันไม่ได้บอกถึงอันดับพลังฝีมือ!”
“อ้อ จะว่าไปเจ้ามันก็แค่ศิษย์ใหม่ที่พึ่งเข้ามาในนิกาย เช่นนั้นเรื่องนี้เจ้าจะไม่รู้ก็ไม่แปลก”
พอกล่าวถึงจุดนี้ มุมปากของฉีอวี่ก็ยกยิ้มแสยะขึ้นมาอย่างถือดี
ในสายตาของฉีอวี่ ต้วนหลิงเทียนใช้เวลาอยู่ในบันไดสวรรค์ขั้นที่ 7 อยู่นานสองนาน เช่นนั้นก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะผ่านบันไดสวรรค์ขั้นที่ 8 มาได้ด้วยพลังฝีมือ ทว่าอีกฝ่ายกลับผ่านมาได้ในเวลาอันสั้น เช่นนั้นหมายความได้อย่างเดียว…ผู้เฝ้าด่านในบันไดขั้น 8 ที่ต้วนหลิงเทียนเจอ จงใจปล่อยต้วนหลิงเทียนให้ผ่านไปเฉยๆ
ผู้เฝ้าด่านนั้น หากเป็นศิษย์ที่ต้องโทษจำคุกตลอดชีวิต ไหนเลยจะสนใจอะไรอีก ไม่ใช่เรื่องแปลกที่จะจงใจปล่อยผู้คน
ท้ายที่สุดแล้วถึงพวกมันจะชนะ ก็ไม่ใช่ว่าจะได้รับการลดหย่อนผ่อนโทษ และไม่ใช่ว่าทุกคนจะเลือกรักษาศักดิ์ศรีและรอคอยโอกาสเหมือนผู้เฝ้าด่านในขั้นที่ 9 ที่ต้วนหลิงเทียนพบเจอ… ที่สำคัญต้วนหลิงเทียนยังกล่าวออกมาเอง ว่าในขั้นที่ 9 นั้น ผลการประมือมันจบลงในกระบวนเดียว
และที่ไฉนถึงรั้งอยู่บนบันไดสวรรค์ขั้นที่ 9 ได้นานสองนาน ทั้งหมดเพราะสนทนากับผู้เฝ้าด่านอยู่…
ดังนั้นถึงแม้อันดับในการแข่งขันไต่บันไดสวรรค์ของต้วนหลิงเทียนจะสูงกว่า แต่ฉีอวี่ก็ไม่ได้ยึดถือเป็นจริงจังอะไร เห็นแค่อีกฝ่ายเป็นคนโชคดีเท่านั้น
“มีโชค?”
ต้วนหลิงเทียนมองลึกไปทางฉีอวี่ “เจ้าสามารถลองได้..”
“ไหนเลยจะไม่ลองเล่า!”
ฉีอวี่กล่าวท้า “เอาเป็นว่า ตอนนี้เจ้ากล้าขึ้นไปประลองบนแท่นยอดยุทธ์กับข้าตอนนี้เลยไหมเล่า?”
แท่นยอดยุทธ์นั้น เป็นดั่งสังเวียนให้คนของนิกายหมอกเร้นลับต่อสู้กัน
การขึ้นไปต่อสู้บนแท่นยอดยุทธ์นั้น ท่านสามารถกล่าวคำยอมรับความพ่ายแพ้ได้ และหลังจากกล่าวยอมแพ้ คู่ต่อสู้ก็ไม่อาจสังหารท่านได้อีก…แต่ถ้าเกิดกล่าวยอมแพ้ไม่ทัน ต่อให้จะถูกคู่ต่อสู้ฆ่าตาย ก็ทำได้แค่ตายเปล่า…
ในนิกายหมอกเร้นลับ ไม่มีสถานที่เฉกเช่นสังเวียนเป็นตาย ที่หลังจากขึ้นไปแล้วต้องฆ่ากันให้ตายไปข้าง
ไม่ว่าจะมีเรื่องราวบาดหมางร้ายแรงเพียงใด เต็มที่ก็ได้แต่ขึ้นไปสะสางกันบนแท่นยอดยุทธ์
แท่นยอดยุทธ์ที่ว่า ก็เป็นสังเวียนที่ลอยล่องอยู่กลางหาว เหนือจัตุรัสกลางของเขตใน
“แท่นยอดยุทธ์? ศิษย์พี่ฉีอวี่คิดขึ้นแท่นยอดยุทธ์กับต้วนหลิงเทียนรึ?”
“ให้ตายเถอะ! ประลองบนแท่นยอดยุทธ์ ดาบกระบี่ล้วนไร้นัยน์ตา หากยอมแพ้ไม่ทันเวลา เกิดโดนฆ่าทิ้งไปก็เหมือนตายเปล่า..”
“ที่แท้ศิษย์พี่ฉีอวี่มีความแค้นกับต้วนหลิงเทียนอย่างไรกันแน่? ไฉนถึงท้าต้วนหลิงเทียนขึ้นไปสู้บนแท่นยอดยุทธ์แบบนี้?”
…
หลังจากเหล่าศิษย์สายในโดยรอบกลับมารู้สึกตัว สีหน้าพวกมันก็ฉายชัดถึงความตกตะลึง และยังมีบางคนที่กลัวโลกวุ่นวายไม่พอ ดวงตายังลุกวาวขึ้นมาด้วยความคาดหวัง
“ต้วนหลิงเทียน!”
ตอนนี้เองถังอู๋เหยียนก็รีบส่งเสียงผ่านพลังมาห้ามปรามต้วนหลิงเทียน “เจ้าอย่าได้หุนหันพลันแล่น…แท่นยอดยุทธ์นั่นเมื่อขึ้นไปแล้ว หากกล่าวยอมแพ้ไม่ทัน ต่อให้เจ้าจะถูกฆ่าตาย ทางนิกายก็จะไม่เอาโทษคนลงมือ”
“เรื่องนี้ข้ารู้แล้ว ในคู่มือศิษย์สายในก็มีบอกเรื่องแท่นยอดยุทธ์ไว้เช่นกัน”
ต้วนหลิงเทียนหันไปมองตอบถังอู๋เยียนด้วยรอยยิ้ม
และฉากดังกล่าว ก็ทำให้ฉีอวี่อิจฉาตาร้อน…ยิ่งได้ยินคำที่ต้วนหลิงเทียนพูดกับถังอู๋เยียน มันก็เดาได้ไม่ยากเลยว่าถังอู๋เยียนต้องส่งเสียงผ่านพลังไปห้ามต้วนหลิงเทียนไม่ให้ขึ้นแท่นยอดยุทธ์กับมันแน่
“ต้วนหลิงเทียน อัจฉริยะจากสถานศึกษาหมอกเร้นลับของเมืองวายุสวรรค์…เจ้ากล้าหรือไม่!?”
ฉีอวี่หันไปถามต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้มประชดประชัน น้ำเสียงไม่ขาดการท้าทาย
“ต้วนหลิงเทียน หากเจ้าไม่มั่นใจก็อย่าได้วู่วามรับคำท้าของมัน”
ทันใดนั้นเองพลันมีเสียงชราหนึ่งดังขึ้นในหูต้วนหลิงเทียน ซึ่งทำให้เขาประหลาดใจไม่น้อย เพราะเป็นอาวุโสนิกายหมอกเร้นลับ ที่เฝ้าหน้าบันไดสวรรค์เป็นผู้ส่งมา
“ขอท่านผู้อาวุโสโปรดวางใจ ข้าต้วนหลิงเทียนไม่คิดทำสิ่งที่ไม่มั่นใจโดยประมาท”
ต้วนหลิงเทียนหันไปส่งเสียงผ่านพลังให้อีกฝ่าย ก่อนจะหันไปมองฉีอวี่พลางกล่าวเสียงเรียบ “นำทางไป”
นำทางไป! นี่คือคำตอบของต้วนหลิงเทียน!
ฉีอวี่ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนที่รอยยิ้มเย้ยเยาะจะคลี่กางบนใบหน้า และพอมันเริ่มเหินร่างนำทางไปจริงๆ เหล่าศิษย์สายในหลายคนก็โพล่งออกมาด้วยความสมใจ “ให้มันได้ยังงี้สิ!!”
“ว่าแต่ ข้าล่ะไม่เข้าใจจริงๆว่าไฉนต้วนหลิงเทียนถึงยอมรับคำท้าของศิษย์พี่ฉีอวี่ เพราะในเมื่อศิษย์พี่ฉีอวี่กล้าท้ามัน ย่อมหมายความว่าศิษย์พี่มั่นใจว่าจะเอาชนะมันได้แน่”
“มันเป็นแค่เทพขั้นกลางคนหนึ่ง แต่กล้าสู้กับเทพขั้นสูงจริงๆหรือ?”
…
ท่ามกลางความโกลาหลของเหล่าศิษย์สายใน ต้วนหลิงเทียนก็เหินร่างติดตามฉีอวี่ไปยังแท่นยอดยุทธ์
“บุรุษผู้นี้…”
พอเห็นว่าต้วนหลิงเทียนไม่ฟังคำเตือน ถังอู๋เยียนก็ย่นคิ้วอย่างอดไม่ได้ จากนั้นนางก็เหินร่างติดตามต้วนหลิงเทียนไปทันที ยังส่งเสียงผ่านพลังไปว่า “หากเจ้าเห็นท่าไม่ดี ก็รีบยอมแพ้ให้ไวเลย”
“เพราะขอเพียงเจ้ากล่าวคำยอมแพ้ออกมา ฉีอวี่ย่อมไม่กล้าลงมือฆ่าเจ้าอีก แถมอาวุโสที่ควบคุมดูแลการประลองในแท่นยอดยุทธ์ก็จะปกป้องเจ้าด้วย”
คำพูดของถังอู๋เยียนต้วนหลิงเทียนเพียงรับฟังอย่างไม่จริงจัง
แต่กระนั้น เพราะอีกฝ่ายกล่าวเตือนด้วยความหวังดี เขาก็ยังส่งเสียงผ่านพลังไปขอบคุณนาง
นอกจากเหล่าศิษย์สายในที่ยังอยู่ในบันไดสวรรค์รวมถึงผู้อาวุโสที่ทำหน้าที่เฝ้าแล้ว ทุกคนที่เห็นต้วนหลิงเทียนรับคำท้าฉีอวี่ ก็พากันติดตามไปยังแท่นยอดยุทธ์ทันที
อันที่จริงอาวุโสที่เฝ้าบันไดสวรรค์เองก็อยากตามไปดูชมด้วยเช่นกัน แต่มันมีหน้าที่เฝ้าบันไดสวรรค์ เช่นนั้นจึงไม่อาจละทิ้งหน้าที่ไปดูชมด้วยได้
“อ้าว? ผู้คนไปไหนหมดแล้วเล่า?”
หลังศิษย์สายในบางคนกลับออกมาจากบันไดสวรรค์และพบว่ารอบๆกลับไร้ศิษย์สายในแม้แต่คนเดียว มีก็แต่อาวุโสชราลอยร่างค้างกลางหาวอย่างวังเวง มันก็อดไม่ได้ที่จะงุนงง
จนเมื่อทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นก่อนหน้าจากอาวุโสชรา มันก็เร่งเหินร่างไปยังแท่นยอดยุทธ์ทันที “เฮ่ยพวก! ศิษย์พี่ฉีอวี่จะสู้กับต้วนหลิงเทียนที่แท่นยอดยุทธ์แน่ะ ใครว่างรีบไปชมดูเร็ว การประลองครั้งนี้อย่าได้พลาดกันเชียว!!”
หลังทราบว่าต้วนหลิงเทียนกับฉีอวี่จะไปดวลเดี่ยวกันที่แท่นยอดยุทธ์ เหล่าศิษย์สายในทั้งหลาย ก็เร่งส่งข้อความไปแจ้งเหล่าสหายทันที
เป็นผลให้มีผู้คนมุ่งหน้าไปยังแท่นยอดยุทธ์กันหนาตา
“อาวุโสเผิง”
และอาวุโสที่เฝ้าหน้าบันไดสวรรค์เอง ในเมื่อตัวเองติดภาระหน้าที่ มันก็ได้แต่ส่งข้อความไปหาอาวุโสคนอื่นที่สนิทสนมกัน “หากข้าจำไม่ผิด…ช่วงนี้ท่านสมควรเป็นผู้ควบคุมดูแลการประลองที่แท่นยอดยุทธ์ใช่หรือไม่ ท่านยังเข้าเวรที่นั่นหรือเปลี่ยนกับผู้อื่นแล้ว?”
อีกฝ่ายก็เร่งตอบกลับมาเร็วไว “ใช่เป็นข้าเข้าเวรอยู่ ยังไม่ได้เปลี่ยนกะกับผู้ใด…เกิดอันใดขึ้นรึ?”
“อ้อ อีกสักพักฉีอวี่ศิษย์ของอาวุโส 2 กับต้วนหลิงเทียนที่ท่านรองประมุขมู่หรงแนะนำมาจักไปสู้กันที่แท่นยอดยุทธ์ ท่านช่วยคอยรายงานสถานการณ์ให้ข้าฟังหน่อย…และหากต้วนหลิงเทียนตกอยู่ในอันตราย ท่านก็รีบส่งเสียงไปบอกให้มันกล่าวยอมแพ้เสีย เจ้าหนูผู้นี้ค่อนข้างดี ไม่เพียงกิริยามารยาทงาม มันยังมีพรสวรรค์กับความเข้าใจสูงล้ำมีมันอยู่ก็เป็นประโยชน์กับนิกายของเราไม่มีโทษ”
อาวุโสที่เฝ้าหน้าบันไดสวรรค์เร่งกล่าว
“อะไร? ฉีอวี่กับต้วนหลิงเทียนกำลังมาแท่นยอดยุทธ์เพื่อสู้กันรึ?”
“อ่า ข้าเห็นพวกมันแล้ว…ท่านไม่ต้องห่วง กับอัจฉริยะเช่นนี้ข้าเองก็ไม่อยากให้ด่วนตายนักหรอก”
ไม่นานอาวุโสเผิงที่ประจำแท่นยอดยุทธ์ ก็สังเกตเห็นกลุ่มคนกำลังเหินมาแต่ไกล และหัวขบวนก็นำมาโดย ฉีอวี่ ศิษย์สายในนิกายหมอกเร้นลับที่มันก็รู้จักดี
ด้านต้วนหลิงเทียนนั้น แม้มันจะไม่เคยเห็นคนตัวเป็นๆมาก่อน แต่ก็ได้ยินมาว่าอีกฝ่ายเป็นชายหนุ่มหล่อเหลามักใส่ชุดสีม่วง มันก็สังเกตเห็นได้ทันทีว่าเป็นคนที่กำลังเหินตามฉีอวี่มาไม่ผิดแน่
แท่นยอดยุทธ์นั้น มีสังเวียนย่อยทั้งสิ้น 19 สังเวียน และด้านล่างแท่นยอดยุทธ์ก็เป็นลานจัตุรัสอันกว้างขวาง ซึ่งเป็นสถานที่ๆคึกคักที่สุดในนิกายหมอกเร้นลับ มักมีเหล่าศิษย์มาสนทนาบ้างก็แลกหาสิ่งของ ไม่เว้นนัดกันมาประลองเสมอ
และโดยปกติแล้วสังเวียนย่อยของแท่นยอดยุทธ์ทั้ง 19 สังเวียนก็มักจะว่างเปล่าร้างผู้คนเสมอ เพราะเหล่าศิษย์มันเลือกจะหาพื้นที่ในลานจัตุรัสด้านล่างเพื่อประลองกันแทน
และลานจัตรุรัสกับแท่นยอดยุทธ์นั้น ก็ไม่ได้เป็นสถานที่เฉพาะของฝ่ายในนิกายแต่อย่างใด แต่เป็นสถานที่ๆฝ่ายในและฝ่ายนอกใช้ร่วมกัน
ตำแหน่งที่ตั้งของมันก็อยู่กึ่งกลางระหว่างฝ่ายในกับฝ่ายนอก
“ไฉนวันนี้ผู้คนมากันเยอะนักล่ะ?”
“พวกศิษย์พี่แลดูคึกคักยิ่ง มีเรื่องอะไรกันหรือ?”
…
ในลานจัตุรัสนั้นเดิมทีก็มีศิษย์อยู่ไม่น้อย พอฉีอวี่กับต้วนหลิงเทียน รวมถึงเหล่าศิษย์สายในทั้งหลายแห่กันมา ก็สร้างความสนใจให้กับเหล่าศิษย์สายนอกกับศิษย์สายในที่อยู่ในจัตุรัสไม่น้อย
และพอทุกคนแลเห็นร่างที่เหินนำกลุ่มคนชัดเจน สองตาพวกมันก็ลุกวาวจ้าขึ้น “เฮ่ นั่นคือศิษย์พี่ฉีอวี่! 1 ใน 10 ศิษย์สายในขอบเขตเทพที่แข็งแกร่งที่สุด!!”
“ศิษย์พี่ฉีอวี่รึ? ดูเหมือนกำลังจะไปแท่นยอดยุทธ์กระมัง?”
“หืม? ศิษย์พี่จะสู้กับผู้ใดกัน?”
“พวกเจ้าเห็นคนที่เหาะตามศิษย์พี่ฉีอวี่มาหรือไม่ มันเป็นใครกัน?”
…
เหล่าศิษย์สายในและสายนอกที่อยู่ในจัตุรัส เริ่มส่งเสียงเซ็งแซ่บอกถามกันระงม บ้างก็เหินร่างขึ้นไปบนฟ้าด้วความอยากรู้
ด้านศิษย์สาในกับสานอกบางคที่ง่วนกับการประมือกันอยู่ พอพบว่าเสียงโดยรอบอยยู่ๆก็เงียบหายไป ทั้งไม่มีใครเหลืออยู่ในจัตรุรัสเลยพวกมันก็เลิกประมือกันทันที จากนั้นก็สังเกตเห็นความเคลื่อนไหวบนฟ้า ก็เลยพากันเหาะร่างขึ้นไปชมดู
“ศิษย์พี่ มีเรื่องอะไรกันหรือ ไฉนพวกท่านอยู่ๆถึงแห่กันมาแท่นยอดยุทธ์ได้ล่ะ?”
เหล่าศิษย์ที่ไม่ได้ไปยังสถานที่แข่งไต่บันไดสวรรค์ ก็ได้แต่ถามเหล่าศิษย์สายในที่แห่กันมา
และพอได้รับคำตอบ สีหน้าพวกมันก็เต็มไปด้วยความตกตะลึง “ต้วนหลิงเทียน ศิษย์สายในที่พึ่งเข้ามาใหม่? มันไม่ใช่ว่าเป็นเทพขั้นกลางหรือไร? เทพขั้นกลางเช่นมันกล้ามาประลองกับศิษย์พี่ฉีอวี่ที่แท่นยอดยุทธ์เชียว?”
“นั่นสิ มันไปเอาความกล้ามาจากที่ใดกัน ข้าเองก็เคยได้ยินเรื่องมันมาบ้าง เห็นว่านอกจากด่านพลังเทพขั้นกลางล้ว มันก็เข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏมิติ 3 ประการ…แต่อย่างไรศิษย์พี่ฉีอวี่ก็เข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏแห่งลม 3 ประการเช่นกัน ในเมื่อด่านพลังสูงกว่าเป็นขั้นเช่นนี้ มันก็มีแต่แพ้กับแพ้เท่านั้น..”
“ข้าเองก็คิดไม่ออกจริงๆ ว่าไฉนมันถึงกล้ารับคำท้าของศิษย์พี่ฉีอวี่ทั้งๆที่ระดับพลังต่างกันเป็นขั้น…”
…
ถึงแม้เหล่าศิษย์นิกายหมอกเร้นลับจะไม่เข้าใจ ว่าไฉนต้วนหลิงเทียนถึงได้ยอมรับคำท้าสู้ครั้งนี้ แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบกับความคึกคักและอยากรู้อยากเห็นของพวกมัน
“อัจฉริยะ ตายเพราะความวู่วามกันมานักต่อนักแล้ว”
หลายคนได้แต่มองแผ่นหลังสีม่วงที่เข้าสู่แท่นยอดยุทธ์ด้วยสีหน้าสงสารพลางส่ายหน้าไปมา
และท่ามกลางสายตาของผู้คน ต้วนหลิงเทียนก็เหินร่างติดตามฉีอวี่ จนร่อนลงไปยังสังเวียนย่อย 1 ใน 19 สังเวียนบนแท่นยอดยุทธ์ และยังเป็นสังเวียนที่ใหญ่ที่สุดอีกด้วย
สังเวียนขนาดใหญ่แห่งนี้ เรียกว่าตั้งอยู่ตรงกลางเลยก็ว่าได้ และมีสังเวียนย่อยอีก 18 สังเวียนที่มีขนาดเล็กกว่าลอยล่องอยู่โดยรอบ ให้ความรู้สึกเสมือนดาวล้อมเดือนอยู่บ้าง หลังฉีอวี่ลงไปยืนบนสังเวียน มันก็มองต้วนหลิงเทียนที่ติดตามขึ้นสังเวียนอย่างใจเย็น
และพอเห็นว่าต้วนหลิงเทียนยังคงดูสงบเฉยเมยอยู่ได้ ฉีอวี่ก็อดไม่ได้ที่จะหวั่นใจขึ้นมา
หากก่อนจะขึ้นสังเวียนของแท่นยอยดยุทธ์ ต้วนหลิงเทียนยังคงแลดูสงบไม่แยแส มันจะไม่แปลกใจอะไรเลย เพราะนั่นอาจเป็นการเสแสร้งแกล้งทำ แต่ในเมื่อขึ้นสังเวียนมาแล้วแบบนี้ เรื่องเสแสร้งทำเป็นนิ่งย่อมเป็นไปไม่ได้อีก…เช่นนั้นอีกฝ่ายไม่ควรแลดูสงบเฉยเมยอย่างที่เห็น
สุดท้ายด่านพลังของมัน ฉีอวี่ ก็เหนือกว่าเป็นขั้น
ทันใดนั้นเอง…
ในที่สุดฉีอวี่ก็ทนความสงสัยไม่ไหว เลือกจะแผ่สำนึกเทวะของมันออกไปปกคลุมร่างต้วนหลิงเทียนทันที
วินาทีต่อมา ลูกตาของมันก็หดเล็กลงโดยพลัน ในใจเต็มไปด้วยความตกตะลึงเหลือเชื่อ
‘มัน…มันทะลวงถึงขอบเขตเทพขั้นสูงได้แล้ว?’