“ลูกหลาน?”
หวูเฟิงคลี่ยิ้มแห้งๆ
เห็นดังนั้น ต้วนหลิงเทียนก็อดมองหวูเฟิงด้วยความประหลาดใจไม่ได้ “ศิษย์พี่หวูยังไม่แต่งงานหรือ?”
ถึงแม้รูปลักษณ์ของหวูเฟิง จะแลดูไม่ได้แก่อะไรมากมาย แต่เรื่องที่อีกฝ่ายไม่ได้มีอายุน้อยๆแล้วต้วนหลิงเทียนย่อมรับทราบ กระทั่งเผลอๆอาจจะเกิน 10,000 ปีแล้วด้วย
แต่อายุขนาดนี้ยังไม่แต่งงาน?
“มิใช่ว่าปกติหรือไร?”
หวูเฟิงย้อนถาม “กับคนที่มีความทะเยอทะยานและเป้าหมายอันยิ่งใหญ่…เช่นนั้นหากยังไม่บรรลุเป้าหมายก็ไม่คิดสร้างครอบครัว?”
“เรื่องนี้ไม่ต้องกล่าวถึงคนอื่นไกล อย่างข้าเป็นต้น…ข้าเองก็กำลังรอให้สามารถเป็นผู้ดูแลฝ่ายในได้ก่อน จากนั้นค่อยคิดเรื่องมีครอบครัว และข้าเองก็บอกบิดามารดาเอาไว้เช่นนี้”
พอกล่าวถึงบิดามารดา แววตาของหวูเฟิงก็เผความอ่อนโยนทันที
“ศิษย์พี่หวูเฟิง ไม่ใช่ว่าท่านคิดกลับไปทำให้ตระกูลของท่านเป็นตระกูลราชาเทพหรือไร…อาศัยพลังของท่านตอนนี้ เป้าหมายที่ว่าก็น่าจะบรรลุแล้วกระมัง?”
ต้วนหลิงเทียนถาม
ในสายตาเขา ถึงตอนนี้หวูเฟิงจะกลับไปหาครอบครัว ตระกูลหวูก็สามารถยกระดับเป็นตระกูลราชาเทพได้ทันที และจากนั้นก็เริ่มทำกิจการบางอย่าง เพื่อสรรหาทรัพยากรบ่มเพาะให้ตระกูล
ตระกูลราชาเทพที่ต้วนหลิงเทียนเคยเห็นมา ส่วนมากก็สามารถครองพื้นที่ในเมืองและเริ่มสร้างกิจการได้ไม่ยาก
นอกจากนั้น หากเป็นเมืองเล็กๆ ตระกูลราชาเทพก็สามารถปกครองทั้งเมืองได้ไม่มีปัญหา
“เรื่องนี้ข้าเองก็เคยหารือกับท่านพ่อแล้ว…แต่ท่านพ่อเห็นว่าตระกูลหวูของเรายังมีรากฐานไม่มั่นคงแน่นหนามากพอ กระทั่งยังตื้นเขินนัก ต่อให้ด้วยมีข้านำก็ยกระดับตระกูลให้เป็นตระกูลราชาเทพได้ไม่มีปัญหา แต่ถ้ารากฐานไม่มั่นคงแน่นหนายังจะมีประโยชน์อันใดเล่า?”
หวูเฟิงกล่าวออกมาอย่างทอดถอนใจ “เช่นนั้นท่านพ่อจึงบอกให้ข้าตั้งใจฝึกฝนให้มาก วันใดที่ข้าบรรลุถึงขอบเขตจอมราชันเทพแล้ว ค่อยคิดเรื่องกระดับตระกูลให้เป็นตระกูลราชาเทพ…เพราะถึงตอนนั้น ข้าที่เป็นจอมราชันเทพย่อมสามารถดึงดูดราชาเทพให้มาเข้าร่วมตระกูลได้ไม่ยาก”
“เมื่อมีขุมพลังมากพอ ถึงตอนนั้นรากฐานของตระกูลก็จักมั่นคงแน่นหนา”
พอได้ยินคำพูดของหวูเฟิง ต้วนหลิงเทียนก็พอเข้าใจ “ที่แท้เป็นเพราะเหตุนี้ ข้ายังมิสู้ท่านลุงที่คิดรอบคอบ…ทั้งตระกูลไม่อาจพึ่งพาคนเพียงคนเดียวได้จริงๆ”
ตระกูลราชาเทพนั้น ถ้าหากว่าทั้งตระกูลมีราชาเทพอยู่แค่คนเดียวล่ะก็…
เกิดราชาเทพคนนั้นประสบอุบัติเหตุขึ้นมาเล่า? ไม่ใช่ว่าทั้งตระกูลจะร่วงตกลงไปอยู่จุดเดิมหรือไร และหากราชาเทพที่ค้ำจุนตระกูลเพียงหนึ่งเดียวตายตก อาศัยความมั่งคั่งที่ตระกูลราชาเทพนั้นเคยครอบครอง ไม่พ้นตระกูลราชาเทพอื่นๆคงต้องบังเกิดความละโมบเป็นแน่
ต้วนหลิงเทียนเองก็พบเจอตระกูลราชาเทพมาไม่น้อย อย่างในเมืองวายุสวรรค์เอง แต่ละตระกูลก็มักมีราชาเทพอยู่หลายคน ต่อให้ราชาเทพเกิดเรื่องสักคนสองคน ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อทั้งตระกูล
“กล่าวไป ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆที่จะยกระดับตระกูลให้เป็นตระกูลราชาเทพ”
หวูเฟิงคลี่ยิ้ม
ตลอดการเดินทาง ต้วนหลิงเทียนกับหวูเฟิงก็สนทนาไปเรื่อเปื่อย บางครั้งก็ปรากฏโจรเข้ามาปล้นชิง แต่หลังจากที่หวูเฟิงเผยพลังขอบเขตราชาเทพออกไป เหล่าโจรร้ายก็เร่งรุดล่าถอยแทบไม่ทัน
เพราะปกติแล้วกลุ่มโจรพวกนี้ก็มีหัวหน้าเป็นแค่ราชาเทพขั้นต่ำเท่านั้น
ต่อให้จะมีคนเยอะกว่า แต่ถ้าปะทะแตกหักขึ้นมาก็คงต้องสูญเสียลูกน้องไม่น้อย กลายเป็นได้ไม่คุ้มเสีย
ประเด็นสำคัญก็คือ พอพวกมันเข้ามาใกล้แล้วเห็นป้ายศิษย์นิกายหมอกเร้นลับ พวกมันก็ไม่กล้าลงมือแล้ว เพราหากเกิดฆ่าคนของนิกายหมอกเร้นลับขึ้นมา พวกมันไม่พ้นต้องเผชิญกับโทสะอันเกรี้ยวกราดของนิกายหมอกเร้นลับแน่ ต่อให้พวกมันจะเป็นกองกำลังอันธพาลที่ร่อนเร่หากินไปเรื่อย แต่น่ากลัวในละแวกเขตนิกายหมอกเร้นลับ พวกมันคงไม่อาจหากินได้อีกต่อไป
เมื่อไตร่ตรองจากทุกเรื่องที่ว่ามา พวกมันย่อมไม่คิดตอแยหวูเฟิง
หวูเฟิงเองก็คร้านจะเสียเวลากับพวกมัน จึงเลือกเปิดเผยพลังขอบเขตราชาเทพแต่แรก
ยิ่งไปกว่านั้น ในเมื่ออีกฝ่ายก็มีตัวตนระดับราชาเทพเช่นกัน ไม่แน่ว่าอาจจะเรียกราชาเทพคนอื่นๆที่เดินทางสายเดียวกันมาช่วยเหลือ ก็จะกลายเป็นภัยคุกคามเสียเปล่าๆ
ตอนนี้ใกล้ถึงเวลาเปิดเทพซ่อนแล้ว หวูเฟิ่งย่อมไม่คิดหาเรื่องบาดเจ็บ
ดังนั้นตลอดทางที่พบเจอโจรร้ายหรือกองกำลังอันธพาลใดๆ ต่างฝ่ายต่างแยกย้ายกันไปอย่างสันติ
“ศิษย์น้องต้วน พื้นที่แถบนี้ยังดีหน่อย…หากพวกเรามุ่งหน้าไปทางตะวันตกไกลกว่านี้ล่ะก็ เข้าเขตขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพเมื่อใด คงไม่พบเจอโจรหรือกองกำลังหน่อมแน้มเช่นนี้แน่ กระทั่งโจรขอบเขตราชาเทพขั้นกลางกระทั่งขั้นสูงก็มีไม่น้อย”
“และผู้นำกลุ่มโจรหรือกองกำลังอันธพาลเหล่านี้ ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นถึงชนชั้นจอมราชันเทพ เผลอๆอาจจะมีมากกว่าหนึ่ง”
หลังเผยระดับพลังฝึกปรือเพื่อขับไล่โจรกลุ่มสุดท้ายออกไป หวูเฟิงก็กล่าวขึ้นมา
หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนเปิดเผยความเป็นมาว่าเป็นคนของระนาบเทวโลก หวูเฟิงก็ยึดถือว่าต้วนหลิงเทียนเป็นคน ‘ติดดิน’ คนหนึ่ง จึงบังเกิดความรู้สึกอันดีต่อต้วนหลิงเทียนไม่น้อย จึงกล่าวเตือนต้วนหลิงเทียนให้รู้หลายๆอย่าง
“อ่า”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า
เรื่องนี้เขาย่อมทราบเป็นธรรมดา
หาไม่แล้วเขาคงเลือกจะเดินทางไปยังขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพที่อยู่เบื้องหลังนิกายหมอกเร้นลับเพียงลำพังแต่แรก และไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพนั่นผ่านนิกายหมอกเร้นลับแบบนี้
เหตุผลที่เขาเลือกจะเข้าร่วมนิกายหมอกเร้นลับ เนื่องเพราะต้องการอาศัยความคุ้มครองของนิกายเพื่อหาโอกาสเข้าสู่ขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพ
…
2-3 วันต่อมาการเดินทางก็ราบรื่นไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ซู่มมม!!
ทันใดนั้นเอง ปรากฏเสียงแหวกฝ่าอากาศด้วยความเร็วสูงดังมาแต่ไกล พอต้วนหลิงเทียนกับหวูเฟิงหันไปมองตามต้นเสียง ก็พบว่ามีเรือเหาะลำหนึ่งกำลังบินมาทางนี้ด้วยความเร็วสูง และไม่นานนักก็ไล่ทั้งคู่ได้ทัน
บริเวณกาบเรือเหาะ งมีอักษรตัวใหญ่สลักไว้ให้เห็นชัด ตัวอักษรยังงดงามปานหงส์ร่ายมังกรรำ
นิกายหมื่นปีศาจ!
“เรือเหาะลำนี้ เป็นอุปกรณ์เทพของนิกายหมื่นปีศาจหรือ?”
หลังจากมาถึงระนาบเทพ ต้วนหลิงเทียนก็ทราบว่าในระนาบเทพก็มีเรือเหาะเหมือนในระนาบเทวโลกเช่นกัน อีกทั้งรูปลักษณ์ของมันก็แตกต่างจากเรือเหาะในหนังบนโลกเก่าเมื่อชีวิตที่แล้วของต้วนหลิงเทียนมาก เพราะมันมีรูปแบบเป็น ‘เรือ’ จริงๆ เรียกว่าเหมือนเรือในสมัยโบราณของประเทศบ้านเกิดเขาก็ว่าได้
ก็แค่เรือลำนี้มันไม่ได้แล่นบนน้ำ แต่เหินบินอยู่บนฟ้า
อุปกรณ์เทพประเภทเรือเหาะนั้น ยังแตกต่างจากอุปกรณ์เทพทั่วไปอยู่บ้าง
อุปกรณ์เทพทั่วไปนั้น มีแบ่งเป็นขั้นย่อยอย่าง ต่ำ กลาง สูง
แต่อุปกรณ์เทพประเภทเรือเหาะไม่ได้แบ่งเช่นนั้น
อุปกรณ์เทพประเภทเรือเหาะมีแต่ระดับ เทพ ราชาเทพ จอมราชันเทพ จักรพรรดิเทพ หรือแม้แต่อริยะเทพ!
เรือเหาะระดับเทพนั้น ขอเพียงมีหินเทพมากพอ เต็มที่มันก็สามารถเหินบินด้วยความเร็วทัดเทียมกับเทพขั้นสูงทั่วไป เรือเหาะระดับราชาเทพ เต็มที่ก็สามารถสำแดงความเร็วสูงสุดได้ทัดเทียมกับราชาเทพขั้นสูงทั่วไปเช่นกัน
เรือเหาะระดับจอมราชันเทพ จักรพรรดิเทพ หรืออริยะเทพก็ไม่ต่างกัน
แต่เป็นธรรมดาว่ายิ่งเรือเหาะมีระดับสูงมากเท่าไหร่ ปริมาณหินเทพที่ใช้ขับเคลื่อนก็สูงขึ้นมากเท่านั้น
และเรือเหาะที่เหินอยู่ไม่ไกลตอนนี้ ดูจากความเร็วในการบิน เห็นได้ชัดว่ามันพอๆกับความเร็วของราชาเทพขั้นต่ำทั่วๆไป ทว่าอาศัยความเร็วเพียงเท่านี้มันก็ต้องใช้หินเทพ 50 ตำลึงต่อวันเป็นเชื้อเพลิงแล้ว หากเร่งความเร็วให้ทัดเทียมกับราชาเทพขั้นกลาง อย่างน้อยๆก็ต้องใช้หินเทพ 200 ตำลึงต่อวัน
ถ้าใช้ความเร็วระดับราชาเทพขั้นสูงล่ะก็ ต้องใช้หินเทพ 500 ตำลึงต่อวัน!
นี่แค่วันเดียว!
ตอนที่ต้วนหลิงเทียนได้รับทราบเรื่องนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะตกใจอยู่บ้าง เพราะอุปกรณ์ประเภทเรือเหาะมันเป็นตัวละลายทรัพย์ชัดๆ!
และเป็นธรรมดาว่าอุปกรณ์เทพประเภทเรือเหาะ ก็ไม่ใช่ว่าจะมีใช้กันทุกคน เพราะขั้นตอนการหลอมสร้างต่อเรือเองก็ซับซ้อนพอสมควร โดยปกติแล้วขุมกำลังระดับราชาเทพก็ไม่มีใช้ด้วยซ้ำ ต่อให้มีก็ไม่ค่อยจะนำออกมาใช้กันง่ายๆเพราะมันสิ้นเปลือง
ครืนนน!
เมื่อเรือเหาะบินมาอยู่ห่างพวกต้วนหลิงเทียนกับหวูเฟิงไม่ไกล มันก็ค่อยๆชะลอตัวลง ก่อนจะบินเข้ามาหา
ทันใดนั้นทั้งคู่ก็เผยท่าทีระวังตัวทันที
“ฮ่าๆๆ…หวูอี้ซาน ไม่คิดเลยว่าจะมาพบเจอเจ้ากลางทางแบบนี้!”
ทันใดนั้นเองเสียงหัวเราะหนึ่งพลันดังขึ้น จากนั้นก็ปรากฏร่างชายหนุ่มที่ใบหน้าเกลี้ยงเกลาปานหยกเสลาสวมหมวกทรงสูงปานขุนนางเหินออกมาจากเรือเหาะ ด้านหลังของมันก็ปรากฏชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีเทาเหาะตามมา
ชายวัยกลางคนในชุดคลุมสีเทามีรูปลักษณ์แลดูธรรมดา สายตาขุ่นมัวราวกับไม่แยแสทุกสิ่งรอบกาย
“ตู้เหยียน?”
พอเห็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาสวมหมวกทรงสูง หวูเฟิงก็ระบายลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก่อนจะมองอีกฝ่ายด้วสายตาลึกล้ำ “ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ใช่ศิษย์ธรรมดาๆของนิกายหมื่นปีศาจอย่างที่เจ้าเคยบอกข้าไว้…ถึงกับใช้เรือเหาะของนิกายหมื่นปีศาจเดินทางได้แบบนี้ เกรงว่าสถานะของเจ้าในนิกายหมื่นปีศาจคงไม่ต่ำต้อยกระมัง?”
“กระทั่งชื่อ ตู้เหยียนของเจ้า ก็คงไม่ใช่ชื่อจริงใช่หรือไม่?”
ตู้เหยียน
นี่คือชื่อของอีกฝ่ายที่บอกหวูเฟิงมา
แน่นอนว่าหวูเฟิงเองก็ไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน เพียงแค่ก่อนหน้านี้ก็ไม่เคยคิดมากหรือสนใจอะไร เพราะนิกายหมื่นปีศาจมีศิษย์มากมาย เป็นไปไม่ได้ที่มันจะรู้จักหมดทุกคน
มันเพียงแค่เคยได้ยินชื่อเสียงของศิษย์สายในที่โด่งดังพอตัวในนิกายหมื่นปีศาจมาบ้างเท่านั้น
“เรื่องนี้สำคัญไฉนเล่า?”
ตู้เหยียนคลี่ยิ้มพลางกล่าว “สุดท้ายข้าก็กล่าวคำสาบานต่อหน้าเจ้า ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่ข้าจะบอกใครนอกจากคนที่ด่านพลังต่ำกว่าราชาเทพขั้นกลางหนึ่งคนที่จะเป็นผู้ช่วยข้า”
“เช่นนั้นต่อให้สถานะข้าจะสูงเพียงไหน ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรต่อเจ้าหรือคนอื่นๆกระมัง?”
ตู้เหยียนกล่าว
“อีกทั้ง…หวูอี้ซานก็ไม่น่าจะใช่ชื่อแซ่ที่แท้จริงของเจ้าด้วยใช่หรือไม่เล่า?”
ขณะกล่าวถามถึงประโยคนี้ สองตาตู้เหยียนก็มองลึกไปทางหวูเฟิง
หวูอี้ซาน
เป็นนามแฝงที่หวูเฟิงใช้ยามพบเจอเทพซ่อนพร้อมกับตู้เหยียนและคนอื่นๆ และมันก็ได้บอกต้วนหลิงเทียนเอาไว้แต่แรก ทำให้ต้วนหลิงเทียนไม่ได้แปลกใจอะไรหลังได้ยินอีกฝ่ายเรียกหาหวูอี้ซานตอนแรก
“ว่าแต่ชายหนุ่มข้างกายเจ้าคนนั้น หรือจะเป็นผู้ช่วยที่เจ้าคิดพาเข้าไปในเทพซ่อน?”
พอเห็นว่าหวูเฟิงไม่สนใจจะตอบ ตู้เหยียนก็ไม่ได้เซ้าซี้อะไร เพียงหันไปมองต้วนหลิงเทียนตั้งแต่หัวจรดเท้า จากนั้นก็แผ่สำนึกเทวะออกไปตรวจสอบระดับพลังของต้วนหลิงเทียน
ในขณะที่ต้วนหลิงเทียนสัมผัสได้ถึงบางสิ่ง หวูเฟิงก็โพล่งคำออกมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “เฮ่ ตู้เหยียนนี่เจ้าคิดจะหาเรื่องกันรึไร?”
“ใจเย็นๆ เจ้าจะโมโหทำอะไรกัน”
ตู้เหยียนถอนรั้งสำนึกเทวะกลับพลางยิ้มกล่าว “ข้าก็แค่เผลอแผ่สำนึกเทวะออกไปตามประสา ไม่ได้คิดร้ายอะไร”
“ว่าแต่…หวูอี้ซาน นี่เจ้าหาสหายขอบเขตราชาเทพขั้นต่ำไม่ได้แล้วหรือไร ไฉนถึงพาเทพขั้นสูงมาซะเล่า พาเทพขั้นสูงเข้าไปในเทพซ่อนเช่นนี้แทนที่มันจะคอยช่วยเจ้า อาจเป็นเจ้าที่ต้องดูแลมันแทน…”
“เจ้าควรจะบอกข้าก่อนหน้าว่าไม่ค่อยมีผู้ใดในนิกายคบ ถึงขั้นไร้สหายขอบเขตราชาเทพขั้นต่ำ…ข้าจะได้แนะนำเพื่อนให้เจ้ารู้จักสักคน เพราะมีราชาเทพขั้นต่ำในนิกายหมื่นอสูรไม่น้อยที่สนิทกับข้า”
ถึงแม้ตู้เหยียนจะกล่าวทำนองหวังดีกับหวูเฟิง แต่รอยยิ้มร่าบนใบหน้ามันก็ทรยศวาจาอย่างสิ้นเชิง
เพราะสำหรับมันแล้ว ยิ่งคนที่หวูเฟิงพามาอ่อนแอมากเท่าไหร่ ยิ่งส่งผลดีต่อตัวมันมากขึ้นเท่านั้น เพราะหากพบเจอสมบัติล้ำค่าอะไรในเทพซ่อนขึ้นมา อีกฝ่ายก็คงไม่มีปัญญาแก่งแย่งกับมัน
“เรื่องนี้เจ้าไม่ต้องห่วงหรอก”
หวูเฟิงกล่าวเสียงเรียบ จากนั้นก็เหลือบไปมองชายวัยกลางคนที่ติดตามอยู่ด้านหลังตู้เหยียนโดยไม่รู้ตัว แต่ชายวัยกลางคนดังกล่าวก็คล้ายเหม่อคิดอะไรไปเรื่อย ไม่แม้แต่จะหันมาสนใจมันสักครั้ง
“ในเมื่อพวกเราพบกันกลางทางเช่นนี้…หากไม่รังเกียจ หวูอี้ซานเจ้ากับสหายมิสู้ขึ้นเรือเหาะข้าแล้วไปด้วยกันเลยเล่า?”
เห็นได้ชัดว่าตู้เหยียนอารมณ์ดีมาก ถึงกับกล่าวเชิญหวูเฟิงอย่างเป็นมิตร