ต้องบอกเลยว่าหลิงหูเหรินเจี๋ยทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกประทับใจตั้งแต่แรกพบ
อีกฝ่ายจะอย่างไรก็เป็นถึงผู้นำตระกูลหลิงหู ซึ่งเป็นถึงขุมกำลังระดับจอมราชันเทพ รากฐานและความแข็งแกร่งไม่ได้ด้อยไปกว่านิกายหมอกเร้นลับกับนิกายหมื่นปีศาจมากนัก แต่กลับสามารถทำแบบนี้กับเขา นับว่าหายากจริงๆ
แน่นอนเขายังรู้ว่า สาเหตุที่ทำให้หลิงหูเหรินเจี๋ยแลดูให้เกียรติเขา สาเหตุส่วนใหญ่ไม่พ้นเรื่องที่เขาพึ่งบอกหลิงหูอวิ๋นไปก่อนหน้า ว่าเขาสามารถเข้าร่วมกับตระกูลหลิงหู รวมถึงเข้าสู่แวดวงของตระกูลหลิงหูในนิกายมังกรสวรรค์
เหมือนกับนิกายหมอกเร้นลับที่มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย นิกายมังกรสวรรค์เองก็มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายเช่นกัน
คนจากขุมกำลังระดับจอมราชันเทพทั้ง 3 ในนิกายมังกรสวรรค์ ย่อมสร้างฝ่ายของตัวเองในนิกายมังกรสวรรค์ เพื่อสนับสนุนคนของตัวเอง และยึดครองอำนาจภายในนิกายมังกรสวรรค์ จะได้ปันส่วนทรัพยากรมากขึ้น
ที่ใดมีผู้คน ที่นั่นย่อมมีการแข่งขัน
เมื่อมีความขัดแย้งทางผลประโยชน์เกิดขึ้น ผู้เข้มแข็งมักจะได้รับผลประโยชน์สูงสุด
หากเขา ต้วนหลิงเทียน เข้าสู่ฝ่ายตระกูลหลิงหูในนิกายมังกรสวรรค์ ย่อมเป็นเรื่องดีสำหรับฝ่ายตระกูลหลิงหูในนิกายมังกรสวรรค์แน่นอน และนั่นก็จะส่งผลต่อตระกูลหลิงหูโดยตรง
เพราะคุณค่าที่ต้วนหลิงเทียนเผยให้รู้ในตระกูลหหลิงหู กล่าวได้ว่ามันมากกว่าที่เผยในนิกายหมอกเร้นลับ
หากเขาย้อนกลับไปนิกายหมอกเร้นลับ ตราบใดที่สามารถเอาชนะหลงเซียวด้วยด่านพลังราชาเทพขั้นต่ำได้ล่ะก็ ไม่พ้นต้องกลายเป็นจุดสนใจของนิกายหมอกเร้นลับแน่นอน ถึงตอนนั้นเว้นเสียแต่อาวุโสสูงสุดที่มีอำนาจมากที่สุดในนิกายหมอกเร้นลับ เลือกจะเล่นงานเขาด้วยตัวเอง หาไม่แล้วคงไม่มีใครในนิกายหมอกเร้นลับแตะต้องเขาได้
อย่างไรก็ตาม เขาได้มีเรื่องราวผิดใจกับหลงเซียวและซั่งกวนฉงเฟิงแล้ว กล่าวได้ว่ายืนอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับอาวุโสฟงและอาวุโสเหล่ย 2 ใน 4 อาวุโสสูงสุดที่ทรงอำนาจที่สุดในนิกายหมอกเร้นลับ
หากเขาเลือกจะย้อนกลับไปนิกายหมอกเร้นลับ ก็มีหนทางรอดให้เขาสายเดียวเท่านั้น
ทำตามคำแนะนำของหวูเฟิง กลายเป็นศิษย์แต่ในนามของ 1 ใน 2 อาวุโสสูงสุดที่เหลือ
ด้วยวิธีนี้เขาก็จะมีที่หลบภัย
แต่ตอนนี้ เขาได้เห็นหนทางรอดอีกสายในตระกูลหลิงหู
เขาไม่ได้คิดทรยศนิกายหมอกเร้นลับแต่อย่างใด
แต่หากนิกายหมอกเร้นลับไม่ปฏิบัติกับเขาอย่างเป็นธรรม เช่นนั้นเขาจะอยู่ไปเพื่ออะไร?
แต่เป็นธรรมดาว่าทั้งนี้ทั้งนั้น ตระกูลหลิงหูต้องให้ความคุ้มครองเขาได้ก่อน
หาไม่แล้ว ยามย้อนกลับไปในนิกายหมอกเร้นลับ เขาก็ต้องเสี่ยงว่าจะทำตามแผนสำเร็จ และกลายเป็นศิษย์แต่ในนามของอาวุโสสูงสุด 2 คนนั่นได้หรือไม่…
“ท่านผู้นำตระกูลหลิงหู ข้าได้ยินชื่อเสียงเลิศล้ำของท่านมานานแล้ว”
หลังจากต้วนหลิงเทียนนั่งลง ก็กล่าวตอบรับคำทักทายอย่างสุภาพ
“ต้วนหลิงเทียน”
หลิงหูเหรินเจี๋ยที่นั่งลงตาม ก็มองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าชอบพูดตรงๆ ไม่อ้อมค้อม”
“เรื่องที่เจ้าบอกอวิ๋นเอ้อ ข้าทราบแล้ว”
“เช่นนั้น…ขอเพียงเจ้าสำแดงพลังฝีมือที่เหนือกว่าชนชั้นอาวุโสฝ่ายในของนิกายหมอกเร้นลับ หรือศิษย์หลักอย่างหลงเซียวนั่นได้ ตระกูลหลิงหูของพวกเราก็จะส่งผู้อาวุโสสูงสุดให้คอยติดตามเจ้ากลับไปนิกายหมอกเร้นลับ เพื่อรับประกันความปลอดภัยของเจ้า”
“เจ้าเห็นเป็นเช่นไร?”
ถามจบคำ หลิงหูเหรินเจี๋ยก็คลี่ยิ้มสดใสออกมา
“ไม่มีปัญหา”
ต้วนหลิงเทียนเองก็เดาได้แต่แรก ว่ามิแคล้วต้องทำให้ตระกูลหลิงหูเห็นคุณค่าก่อน ถึงจะได้รับการสนับสนุน
“ท่านพ่อ”
และแทบจะเป็นเวลาเดียวกับที่ต้วนหลิงเทียนตอบตกลง ก็ปรากฏร่างหนึ่งเดินเข้าโถงมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน เป็นชายหนุ่มร่างสูงใหญ่แลดูกำยำ มาในชุดคลุมสีฟ้าอ่อน ใบหน้าดุดันแกร่งกร้าว คิ้วตั้งตรง สองตาฉายแววแหลมคมนัก
“พี่สาม!”
พอเห็นชายหนุ่มคนดังกล่าวเดินเข้ามา หลิงหูอวิ๋นที่นั่งข้างๆต้วนหลิงเทียนก็กล่าวทักทายออกไปอย่างมากอัธยาศัย
“น้องสี่”
ด้านชายหนุ่มเอง ก็ส่งยิ้มให้หลิงหูอวิ๋น
ขณะเดียวกัน ต้วนหลิงเทียนก็ทราบได้ทันทีว่าผู้มาเป็นใคร หลิงหูจวิน ลูกชายคนที่ 3 ของหลิงหูเหรินเจี๋ยผู้นำตระกูลหลิงหูคนปัจจุบัน
หลิงหูจวินคนนี้ยังเป็นลูกชายที่มีพรสวรรค์และความเข้าใจสูงสุดของหลิงหูเหรินเจี๋ยอีกด้วย แม้อายุจะยังน้อย แต่ด่านพลังก็บรรลุถึงราชาเทพขั้นกลางแล้ว แถมพลังฝีมือยังเหนือกว่าอาวุโสฝ่ายในส่วนใหญ่ของตระกูลหลิงหูเสียอีก
กล่าวได้ว่าเป็นทายาทสายเลือดหลักของตระกูลหลิงหูที่แข็งแกร่งที่สุดในรุ่น!
ในบรรดาทายาทสายเลือดหลักของตระกูลหลิงหู ก็มีชนชั้นราชาเทพขั้นสูงอยู่ด้วย แต่ก็ไม่มีใครแกร่งเท่ามัน!
ที่สำคัญที่สุดคือ…
หลิงหูจวินคนนี้ ในตอนที่ด่านพลังยังอยู่ในขอบเขตราชาเทพขั้นต่ำ ยามประมือกับซั่งกวนฉงเฟิงศิษย์หลักของนิกายหมอกเร้นลับที่มีด่านพลังราชาเทพขั้นต่ำเท่ากัน หลังประมือกันไปร้อยกระบวนท่า ก็สามารถเอาชนะมาได้1
แถมหลิงหูจวินคนนี้ ยังมีอายุน้อยกว่าซั่งกวนฉงเฟิง 2,000 ปี
ในปัจจุบันแทบทุกคนในตระกูลหลิงหูยังเชื่อมั่นว่า หลิงหูจวินไม่จำเป็นต้องใช้ถึงร้อยกระบวนท่าก็น่าจะเอาชนะซั่งกวนฉงเฟิงได้แล้ว
“ต้วนหลิงเทียน นี่คือลูกชายคนที่ 3 ของข้า เรียกว่าหลิงหูจวิน”
ด้านหลิงหูเหรินเจี๋ย ก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนด้วยรอยยิ้มพลางกล่าวแนะนำลูกชายที่พึ่งมาทันที
ได้ยินคำแนะนำของหลิงหูเหรินเจี๋ยมุมปากต้วนหลิงเทียนก็กระตุกเล็กน้อย จากนั้นก็ส่ายหัวไปมาค่อยพูดว่า “ข้าได้ยินชื่อเสียงของนายน้อย 3 แห่งตระกูลหลิงหูมานานแล้ว เห็นว่าไร้ซึ่งทายาทสายโลหิตหลักคนไหนของนิกายหมอกเร้นลับกล้าพูดว่าจะเอาชนะได้”
“แม้แต่ในบรรดาศิษย์หลักที่แข็งแกร่งที่สุดของนิกายหมอกเร้นลับ ก็ไม่มีใครกล้าพูดว่าจะยันเสมอนายน้อย 3 ได้ด้วยซ้ำ”
ซั่งกวนฉงเฟิงนั้น ความแข็งแกร่งของมันก็ถือว่าติด 1 ใน 3 ศิษย์หลักที่แข็งแกร่งที่สุดของนิกายหมอกเร้นลับแล้ว และเท่าที่ต้วนหลิงเทียนสืบทราบมา หลิงหูจวินคนนี้ไม่เพียงจะต่อกรกับซั่งกวนฉงเฟิงได้เท่านั้น แต่ยังเอาชนะอีกฝ่ายได้อีกด้วย
พอได้ยินคำพูดชมเชยของต้วนหลิงเทียน หลิงหูเหรินเจี๋ยก็ฉีกยิ้มแก้มแทบปริ
สุดท้ายแล้วหลิงหูจวินก็เป็นลูกชายที่มันภาคภูมิใจ เมื่อมีคนกล่าวชม ใบหน้าผู้เป็นบิดาของมันก็ราวกับจะเรืองแสงขึ้นมาอย่างไรอย่างนั้น
“ต้วนหลิงเทียน ในเมื่อเจ้ารู้จักเจ้า 3 ของข้าแล้วก็ดียิ่ง”
หลิงหูเหรินเจี๋ยกล่าวสืบต่อด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มว่า “ก่อนหน้าไม่ใช่เจ้ากล่าวว่าสามารถเอาชนะหลงเซียวของนิกายหมอกเร้นลับได้หรอกหรือ เช่นนั้นหากเจ้าสามารถรับมือเจ้า 3 ของข้าได้ 30 กระบวนท่า ย่อมมากพอจะพิสูจน์ว่าเจ้าแข็งแกร่งกว่าหลงเซียว…”
“เจ้าว่าอย่างไรเล่า?”
หลิงหูเหรินเจี๋ยเอ่ยถาม
“ได้”
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า เขาเองก็อยากรับทราบพลังฝีมือของหลิงหูจวิน นายน้อย 3 แห่งตระกูลหลิงหูที่มีชื่อเสียงโด่งดังคนนี้เช่นกัน
“เช่นนั้น ก็เข้ามาในโลกใบเล็กของข้าเถอะ”
หลังหลิงหูเหรินเจี๋ยกล่าวชวน ไม่เพียงแต่ต้วนหลิงเทียนกับหลิงหูจวินเท่านั้น หลิงหูอวิ๋นเองก็ติดตามเข้าไปในโลกใบเล็กของหลิงหูเหรินเจี๋ยด้วย เป็นหลิงหูเหรินเจี๋ยคิดให้ต้วนหลิงเทียนกับลูกชายคนที่ 3 ของมันประมือกันที่นี่
หลิงหูเหรินเจี๋ยเองก็เป็นจอมราชันเทพอันทรงพลังคนหนึ่ง โลกใบเล็กภายในกายของมันก็กว้างใหญ่ไพศาลจนมองไม่เห็นจุดสิ้นสุด
ในปัจจุบัน ต้วนหลิงเทียน หลิงหูจวิน และหลิงหูอวิ๋น ก็ลอยร่างเหนือทะเลทราย…แต่ไม่ทันไรหลิงหูอวิ๋นก็โดนพลังไร้สภาพขุมหนึ่งฉุดร่างให้ล่าถอยออกไป เพื่อรับชมเรื่องราวจากไกกลๆ
ด้านหลิงหูจวินเมื่อเห็นว่าน้อง 4 ได้หลบไปไกลแล้ว มันก็หันมาเผชิญหน้ากับต้วนหลิงเทียน
“ต้วนหลิงเทียน ข้าเองก็ได้ยินชื่อเสียงของเจ้ามาไม่น้อยเลย ศิษย์หลักขอบเขตเทพคนแรกในรอบหมื่นปีของนิกายหมอกเร้นลับ! หลายคนยังพูดกันว่าเจ้าก็คือเชวียไห่ชวนคนที่ 2…”
หลิงหูจวินมองกล่าวกับต้วนหลิงเทียนเสียงขรึม
“เชวียไห่ชวนคนที่ 2?”
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา “ข้าก็คือข้า ไม่ใช่เงาของผู้ใด…”
“เจ้าแลดูมั่นใจดีนี่”
รอยยิ้มอันหาดูได้ยากาพลันคลี่กลางขึ้นที่มุมปากหลิงหูจวิน “ฟังจากท่านพ่อข้า เห็นว่าเจ้าทะลวงถึงราชาเทพขั้นต่ำแล้วหรือ แถมยังมั่นใจว่าจะเอาชนะหลงเซียวของนิกายหมอกเร้นลับได้อีกด้วย?”
“หลงเซียวที่ว่า ถึงแม้ข้าจะไม่เคยประมือกับมัน แต่ข้าก็มั่นใจว่าสามารถเอาชนะมันได้ภายใน 10 กระบวนท่า…”
“หากเจ้าคิดจะเอาชนะมัน เช่นนั้นอย่างน้อยๆเจ้าก็ต้องมีความแข็งแกร่งมากพอจะเอาตัวรอดจากการลงมือของข้าได้ 30 กระบวนท่า”
พอกล่าวจบคำ สีหน้าแววตาของหลิงหูจวินก็ฉายชัดถึงความมั่นใจอันล้นปรี่ เห็นได้ชัดว่ามันมั่นใจในพลังของตัวเองขนาดไหน
“เช่นนั้นโปรดชี้แนะข้าด้วย”
ต้วนหลิงเทียนยิ้มบางๆพลางตอบ
พอหลิงหูจวินได้ยินดังนั้น สองตามันก็หรี่ลง ทั่วร่างเริ่มปรากฏสายลมโหมกระหน่ำ จากนั้นก็ปรากฏกระแสพลังสีเขียวม้วนวนพัวพันไปทั่วร่าง จนคนคล้ายอยู่ในพายุใต้ฝุ่นอันรุนแรง เพียงขยับมือแค่เล็กน้อย สายลมที่ห้อมล้อมก็เริ่มพัดกรรโชกด้วยอานุภาพปานจะกรีดเฉือนได้ทุกอย่าง
เห็นได้ชัดว่าหลิงหูจวินเชี่ยวชาญกฏแห่งลม
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะบรรลุถึงราชาเทพขั้นต่ำ ทำให้พลังแตกต่างจากก่อนหน้า แต่เขาก็ยังรู้สึกถึงแรงกดดันเล็กๆจากหลิงหูจวิน ‘หลิงหูจวินคนนี้ ถึงแม้จะยังไม่เข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏแห่งลม 4 ประการ แต่ท่าทางมันน่าจะเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏแห่งลม 3 ประการได้ 3 ชุดแล้ว…’
‘นอกจากนั้น พลังสายเลือดของมันก็ไม่อาจมองข้ามได้’
‘หาไม่แล้วพลังฝีมือของมันคงไม่สูงพอจะเอาชนะซั่งกวนฉงเฟิงได้’
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะยังไม่เคยประมือกับซั่งกวนฉงเฟิง แต่เขาก็รับทราบความแข็งแกร่งของซั่งกวนฉงเฟิงพอสมควร
และหลิงหูจวินคนนี้ สามารถเอาชนะซั่งกวนฉงเฟิงได้ทั้งๆที่อายุน้อยกว่าอีกฝ่าย 2,000 ปี พรสวรรค์กับความเข้าใจมันสูงแค่ไหนก็จินตนาการออกได้ไม่ยาก
แน่นอนว่าถึงต้วนหลิงเทียนจะรู้สึกกดดันเล็กๆ แต่เขาก็ไม่ได้รู้สึกกริ่งเกรงอะไร
ทันใดนั้นเอง ทั่วร่างต้วนหลิงเทียนก็ปรากฏพายุมิติโหมกระหน่ำขึ้นมาเช่นกัน มองไปคล้ายมีคมมีดมิติอันแหลมคมเล็กๆมากมายพุ่งวูบไปวาบมา ราวกับจะฉีกเปิดความว่างเปล่าได้
เปรียะ! เปรียะ! เปรียะ!
…
เสียงราวกับบางสิ่งปริแตก ทันใดนั้นความว่างเปล่ารอบตัวต้วนหลิงเทียนก็ปรากฏรอยแยกมิติขึ้น 9 รอย จากนั้นคมมีดมิติสีเทาก็พุ่งออกมาจากรอยแยกมิติดังกล่าว แผ่ซ่านกลิ่นอายแหลมคมอันตรายปานจะผ่าได้ทุกสิ่ง
“ท่านพ่อ…ท่านว่าต้วนหลิงเทียนจะเอาตัวรอดจากการลงมือของพี่ 3 ได้ครบ 30 กระบวนท่าหรือไม่?”
หลิงหูอวิ๋นเอ่ยถามเสียงหนัก
ถึงแม้ว่าบิดาของมัน หลิงหูเหรินเจี๋ย จะไม่ได้อยู่ข้างๆ แต่ในเมื่อที่นี่เป็นโลกใบเล็กของบิดามัน เช่นนั้นแม้มันจะกระซิบแผ่วเบาแค่ไหน หลิงหูเหรินเจี๋ยบิดามันก็สมควรได้ยินชัดเจน
“หากมันไม่ได้กล่าวโอ้อวด ก็สมควรทำได้”
เสียงผ่านพลังของหลิงหูเหรินเจี๋นดังขึ้นในหูหลิงหูอวิ๋น “ถึงแม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่ข้าได้พบมัน แต่จากความมั่นใจที่มันเผยออกมา กลับทำให้ข้ารู้สึกเชื่อไปโดยไม่รู้ตัว…มันไม่น่าจะกล่าวอวด”
แทบจะพร้อมๆกันกับที่หลิงหูเหรินเจี๋ยกล่าวจบคำ ด้านหลิงหูจวินก็เริ่มลงมือเคลื่อนไหวแล้ว
ด้วยความที่หลิงหูจวินเป็นผู้เชี่ยวชาญกฏแห่งลม เช่นนั้นมันย่อมถนัดการโจมตีและใช้ความเร็ว และกระบวนท่าแรกมันก็ลงมือราวกับจะเข่นฆ่าต้วนหลิงเทียนให้ตายในพริบตา!
ฟุ่บบ!
ฟิ่วว!!
…
เผชิญหน้ากับสายลมที่ควบแน่นมาเป็นเกลียวปานจะทะลวงเจาะได้ทุกสิ่ง ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้แลดูลนลานอะไร เพียงเร่งเร้าพลังมิติออกมาอย่างไม่รีบไม่ร้อน เพื่อสร่างม่านมิติคลุมกายอย่างขอไปที
และในขณะเดียวกับที่ม่านมิติถูกทะลวงเจาะ คนก็ใช้เคลื่อนมิติจนร่างอันตรธานหายไปเสียแล้ว