ภายในเมืองหลิงหูทุกวันนี้ เต็มไปด้วยความสงบสุข
อย่างไรก็ตาม ต้วนหลิงเทียนก็ยังไม่ได้ก้าวออกจากตระกูลหลิงหูอีกเลยตลอด 12 ปีที่ผ่านมา เพราะไม่มีใครสามารถบอกได้ว่ากวงเทียนเจิ้งอาวุโสฝ่ายในของนิกายมังกรสวรรค์นั้น ได้กลับมาซุ่มรอเขาอยู่รึเปล่า
แน่นอนว่าความเป็นไปได้เรื่องนี้มันต่ำนัก
ทว่าถึงความเป็นไปได้จะต่ำ แต่ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดจะเสี่ยง ที่สำคัญสำหรับเขาแล้วในเมืองหลิงหูก็ไม่มีอะไรที่ดึงดูดความสนใจของเขา
ทุกสิ่งอย่างที่เขาต้องการ เขาก็แค่ต้องทักไปหาหลิงหูเหรินเจี๋ยผู้นำตระกูลหลิงหูเท่านั้น แล้วอีกฝ่ายก็จะนำมาให้เขาเอง
‘ตอนนี้ถึงจุดตีบตันแล้ว…ไม่ทราบว่าจะทะลวงได้เมื่อไหร่’
พอนึกถึงระดับพลังฝึกปรือในปัจจุบัน ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่ถอนหายใจ ในปัจจุบันเขาได้นั่งขัดสมาธิกลางอากาศ ชมมองภาพเมืองเบื้องล่างด้วยสายตาเหงาๆ
‘ลำบากนัก…’
‘เวลาที่ข้าใช้บ่มเพาะจากขอบเขตเทพขั้นต่ำมาถึงราชาเทพขั้นต่ำนั้น ไม่ได้มากมายอะไร…แต่ตอนนี้ข้ากลับติดอยู่ในขอบเขตราชาเทพขั้นต่ำมาเกินสิบปีแล้ว’
ยังดีที่ไม่มีใครได้ยินความคิดดังกล่าวของต้วนหลิงเทียน หาไม่แล้วคงต้องมีโมโหอยากต่อยคนกันบ้าง
ติดอยู่ในขอบเขตราชาเทพขั้นต่ำ 10 ปี นี่นานแล้วหรือ?
‘ไม่มีโอสถเทพระดับราชาหรือจอมราชันอะไรที่สามารถช่วให้ข้าทะลวงจุดรอคอยครั้งนี้ได้เลย…แต่มีโอสถเทพระดับจอมราชันหลายขนานที่ช่วยให้ข้าทะลวงจุดรอคอยได้ทันทีหากเป็นขั้นสุดยอด อย่างไรก็ตามโอสถเทพระดับจอมราชันเหล่านั้น สมุรไพรที่ต้องใช้มันหาได้ยากนัก ที่สำคัญอาศัยความสามารถของข้าตอนนี้เกรงว่าคงหลอมมันออกมาเป็นขั้นสุดยอดไม่ได้’
‘ก็นะ…หลังจากนี้ก็ศึกษาการหลอมโอสถเทพไปก่อน บางทีวันหนึ่งอาจจะทะลวงผ่านได้’
พอคิดถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่หมกมุ่นกับการบ่มเพาะพลังที่ยากจะบังเกิดความก้าวหน้าได้สักระยะอีกต่อไป แต่เลือกจะเปลี่ยนไปทำความเข้าใจกฏมิติ มรรคากระบี่มิติ วิถีควบคุม และเมื่อมีเวลาก็ทุ่มสมาธิไปกับการหลอมโอสถเทพ
…
นิกายหมอกเร้นลับ
ด้านนอกนิกาย
ร่างในชุดสีขาวราวกับจะผุดโผล่ขึ้นในอากาศว่างเปล่า คนลอยร่างมองนิกายหมอกเร้นลับเบื้องหน้าอย่างเงียบงัน
เป็นชายหนุ่มรูปร่างสูงโปร่ง หน้าตาแลดูหล่อเหลา คิ้วคมเข้มปานดาบให้ความรู้สึกผ่าเผย เพียงลอยร่างแน่นิ่งอยู่ตรงนั้น ก็ชวนให้ผู้คนรู้สึกเสมือนขุนเขาตระหง่าน
ทันใดนั้นเอง คิ้วคมเข้มดังกล่าวก็เลิกขึ้นเล็กน้อย ราวกับสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง
ทันใดนั้นมือขวาก็พุ่งออกไปยังความว่างเปล่าข้างกาย
พริบตาต่อมา
เวิงงง!!
หมอกควันเบาบางที่ลอยล่องอยู่ในอากาศไกลๆ อยู่ๆก็ม้วนตลบปานจะรัดพันอะไรบางสิ่ง ก่อนจะพุ่งเข้ามาหรือกล่าวให้ชัดคือมันถูกพลังไร้สภาพชักนำให้หอบหิ้วบางสิ่งมาหยุดลงเบื้องหน้าชายหนุ่มชุดขาว
ผู้ที่ถูกจับได้เป็นชายชราคนหนึ่ง และบัดนี้สองตาสีโคลนของมันก็กำลังมองชายหนุ่มชุดขาวด้วยความตื่นตระหนกเสียขวัญ
มันอย่างไรก็เป็นราชาเทพขั้นสูงที่ฝีมือไม่ใช่ชั่วคนหนึ่ง
แต่บัดนี้ต่อหน้าคู่ต่อสู้ กลับถูกจับตัวได้ง่ายๆราวเด็ก 3 ขวบ ไร้ซึ่งพลังอำนาจตอบโต้ใดๆ แถมยามพลังเทพของอีกฝ่ายสะกดกักร่างมันไว้ มันก็รู้สึกประหนึ่งมีขุนเขาใหญ่กดพลังเทพของมันเอาไว้ ไม่อาจเคลื่อนไหวโคจรได้แม้แต่นิดเดียว
พลังอันน่ากลัวระดับนี้ เกรงว่าต่อให้เป็นจอมราชันเทพขั้นต่ำก็คงทำไม่ได้กระมัง?
‘ต่อให้เป็นอาวุโสสูงสุดทั้ง 3 ของนิกายหมอกเร้นลับ ก็ไม่ได้ร้ายกาจขนาดนี้ มันที่แท้เป็นใครกันแน่? ไฉนอยู่ๆถึงมาปรากฏตัวด้านนอกนิกายหมอกเร้นลับได้’
ใจชายชราเต็มไปด้วยความวิตกกังวล กฏที่มันเชี่ยวชาญก็คือกฏแห่งน้ำ และยามที่มันเลือกจะปกปิดร่างกายซ่อนตัวเอาไว้ ต่อให้เป็นจอมราชันเทพขั้นต่ำก็มิอาจค้นพบมันโดยการใช้สำนึกเทวะตรวจสอบสภาพแวดล้อมง่ายๆ
กลับกัน หากมีจอมราชันเทพขั้นต่ำแผ่สำนึกเทวะออกมาตรวจสอบ มันต้องจับสัมผัสได้ทันทีแม้จะรางๆก็ตาม
อย่างไรก็ตามมันไม่พบว่าเมื่อครู่จะมีสำนึกเทวะที่ไหนกวาดผ่านมันไปเลย เช่นนั้นชายหนุ่มชุดขาวคนนี้พบตัวมันได้ยังไงกันแน่?
หากว่าอีกฝ่ายใช้สำนึกเทวะตรวจแล้ว แต่มันกลับสัมผัสไม่ได้เลยล่ะก็…เช่นนั้นอีกฝ่ายก็ต้องเป็นจอมราชันเทพขั้นกลางหรือเหนือกว่านั้น!
‘จอมราชันเทพขั้นกลาง!’
คิดถึงจุดนี้ ใจชายชราก็สะท้านไปทันใด
“เจ้าเป็นใคร ไฉนมาซุ่มตัวทำลับๆล่อๆด้านนอกนิกายหมอกเร้นลับแบบนี้?”
หลังจับชายชรามาถึงเบื้องหน้าแล้ว ชายหนุ่มชุดขาวก็เหลือบมองผู้ชราเอ่ยถามออกมาเสียงเรียบ
น้ำเสียงราบเรียบบ่งบอกถึงความไม่แยแสนี้ ทำให้สีหน้าชายชราเปลี่ยนไปทันที
ชายชรากระพริบตาสองสามครั้ง ก่อนจะกล่าวตอบไปด้วยสีหน้าเหรอหรา “ใต้เท้า ข้าน้อยเพียงแค่บังเอิญผ่านมาแถวนี้พอดี”
ถึงแม้ว่านิกายหมอกเร้นลับ ไม่สมควรมีตัวตนเช่นชายหนุ่มคนนี้ดำรงอยู่
อย่างไรก็ตาม ใครจะรับประกันได้ ว่าอีกฝ่ายไม่ใช่ตัวตนอันทรงพลังที่ออกจากนิกายหมอกเร้นลับไปยังนิกายมังกรสวรรค์ และบังเอิญมีธุระที่ต้องกลับมาทำในนิกายหมอกเร้นลับ? และตัวตนที่ออกจากนิกายหมอกเร้นลับไปยังนิกายมังกรสวรรค์ ก็ไม่ขาดจอมราชันเทพขั้นกลาง
“ข้าจะให้โอกาสเจ้าตอบอีกครั้ง”
ชายหนุ่มชุดขาวมองถามชายชราอีกรอบ น้ำเสียงเฉยเมยของมันตอนนี้เริ่มเย็นลง “หากเจ้ายังกล้าหลอกข้าอีก ข้าจะฆ่าเจ้าตัดปัญหา”
เสียงที่เริ่มเย็นลงของชายหนุ่ม ทำให้ลูกตาชายชราหดเล็กลงทันที ใบหน้ายังเริ่มซีดเซียวไร้สีเลือด
มันย่อมสัมผัสได้ว่าอีกฝ่ายไม่ได้พูดเล่น
“ใต้เท้า…”
ชายชราบัดนี้ไม่เหลือท่าทีเหรอหราอย่างที่แสร้งทำก่อนหน้าอยู่เลย มันตื่นตระหนกนัก และต่อหน้าตัวตนที่คาดว่าอาจจะเป็นจอมราชันเทพขั้นกลางขึ้นไป และให้ความรู้สึกกดดันปานมีขุนเขาใหญ่ทับอกแบบนี้ มันย่อมไม่อาจสงบสติอารมณ์และหลอกอีกฝ่ายได้อีกต่อไป “ข้ามาซ่อนตัวใกล้นิกายหมอกเร้นลับ เพื่อรอให้ศิษย์ของนิกายหมอกเร้นลับออกมา ก่อนที่จะลอบติดตามอีกฝ่ายไปแล้วฆ่าขอรับ…”
“ทำไม?”
ชายหนุ่มชุดขาวผงะไปเล็กน้อย ค่อยมองลึกไปยังชาชราพลางถามด้วยสงสัย “เจ้ามีความแค้นกับนิกายหมอกเร้นลับเช่นนั้นรึ ถึงได้เสี่ยงมาซ่อนตัวใกล้ๆนิกายหมอกเร้นลับ เพื่อรอสะกดรอยตามไปฆ่าคนเช่นนี้?”
“ข้ามาเพื่อล้างแค้น และให้พวกมันชดใช้หนี้เลือดบุตรชายข้า!”
ได้ยินคำถามดังกล่าว ชายชราก็คล้ายนึกถึงอะไรบางอย่าง สีหน้าแววตามันกลายเป็นเศร้าสลดขึ้นมาทันที ความเกลียดชังยังปะทุขึ้นในแววตาอย่างแรงกล้า “ลูกชายคนเดียวของข้า รวมถึงหลานชายอีก 2 คน ไปทำธุระที่เมืองหลิงหู แต่มิคาดวันนั้นกลับเป็นวันที่อาวุโสฟงของนิกายหมอกเร้นลับ ซุ่มโจมตีต้วนหลิงเทียนพอดี อย่างไรก็ตามมันลงมือไม่สำเร็จเพราะต้วนหลิงเทียนมีคนของตระกูลหลิงหูคุ้มกัน”
“อาวุโสฟงที่ซุ่มโจมตีต้วนหลิงเทียนล้มเหลว และถูกจอมราชันเทพขั้นต่ำ 9 คนปิดล้อม มันก็เลือกระเบิดโลกใบเล็กหมายากศัตรูให้ตกตายไปตามกัน…การระเบิดของมันเกือบทำให้เมืองหลิงหูทั้งหมดต้องพังพินาศ ยังฆ่าผู้บริสุทธิ์ไปนับไม่ถ้วน”
“ลูกชายคนเดียวของข้ารวมถึงหลานชายทั้ง 2 ก็อยู่ที่นั่นด้วย”
น้ำเสียงของชายชราเยียบเย็นนัก
“อาวุโสฟง?”
“ระเบิดโลกใบเล็กภายในกาย?”
“ทำลายเมืองหลิงหู?”
สีหน้าสงบไร้แยแสของชายหนุ่มชุดขาว ในที่สุดก็เปลี่ยนไป “เจ้าแน่ใจหรือว่าเรื่องที่เจ้ากล่าวมาเป็นความจริง?”
“ใต้เท้า…”
ชายชราคลี่ยิ้มขื่นขมพลางกล่าว “ยังมีผู้ใดในเขตคฤหาสน์ตงหลิงที่ไม่รู้เรื่องนี้อยู่อีก?”
“ตอนนี้ยังมีผู้คนมากมายจากแดนไกล เร่งรุดไปยังเมืองหลิงหู เพื่อชมดูเมืองที่ครั้งหนึ่งเคยถูกอาวุโสฟงของนิกายหมอกเร้นลับทำลายไป”
“อย่างไรก็ตาม บัดนี้เมืองหลิงหูได้ถูกสร้างขึ้นใหม่โดยนิกายหมอกเร้นลับแล้ว…ว่ากันว่าเป็นนิกายมังกรสวรรค์ออกคำสั่งต่อนิกายหมอกเร้นลับโดยตรง”
ชายชรากล่าวถึงจุดนี้ มันก็มองถามชายหนุ่มชุดขาวออกมาอย่างกล้าๆกลัวๆ “ใต้เท้า…ท่านมิทราบเรื่องนี้หรือ?”
“ข้าพึ่งออกจากการกักตัวฝึกฝน หลังจากออกด่าน ข้าก็มุ่งหน้ามายังนิกายหมอกเร้นลับทันที”
ชายหนุ่มชุดขาวกล่าวเสียงเรียบ
“ใต้เท้า ท่านมิได้มาจากนิกายหมอกเร้นลับหรือ?”
ชายชราถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก เพราะฟังจากที่ชายหนุ่มชุดขาวกล่าวมา ดูทรงแล้วไม่น่าจะใช่คนของนิกายหมอกเร้นลับ เพราะเรื่องใหญ่ขนาดนี้แต่อีกฝ่ายกลับไม่รู้เลย
“ข้าชื่อ เชวียไห่ชวน แล้วเจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า?”
ชายหนุ่มมองลึกไปทางชายชรา ก่อนจะย้อนถาม
เชวียไห่ชวน
แทบจะพร้อมๆกันกับที่ชายหนุ่มชุดขาวกล่าวจบคำ สีหน้าที่พึ่งเผยความโล่งอกของชายชราก็เปลี่ยนไปทันที สองตายังฉายชัดถึงความตื่นตระหนก
มันย่อมรู้ดีว่าเชวียไห่ชวนเป็นใคร
ศิษย์นิกายหมอกเร้นลับที่ผ่านการประเมินทดสอบศิษย์หลักทั้งๆที่ด่านพลังยังอยู่ในขอบเขตเทพเมื่อหมื่นกว่าปีก่อน ต่อมาก็ไปยังนิกายมังกรสวรรค์ก่อนจะผงาดขึ้นมา
เมื่อหลายปีก่อน ร่ำลือกันว่าเชวียไห่ชวนได้กลายเป็นอาวุโสมังกรขาวแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็น 1 ใน 3 อาวุโสมังกรขาวที่มีอายุน้อยที่สุดในนิกายมังกรสวรรค์อีกด้วย
“เจ้าฆ่าคนของนิกายหมอกเร้นลับไปกี่คนแล้ว?”
รอยยิ้มหายากพลันคลี่กลางขึ้นบนใบหน้าเชวียไห่ชวน ก่อนมองถามชายชราเบื้องหน้าออกมาอีกครั้ง
“ไม่…ยังไม่ได้ฆ่า”
ชายชราที่เปิดปากคิดกล่าวปฏิเสธว่าไม่ได้ฆ่าคนของนิกายหมอกเร้นลับไม่ทันไร พอพบว่าสองตาของเชวียไห่ซวนที่มองจ้องมาเริ่มกลายเป็นเย็นชา มันก็รีบแก้คำพูดทันที “ไม่มาก! ข้าน้อยฆ่าไปเพียงไม่กี่คนเท่านั้น!!”
“ตะ…ไต้เท้าเชวียไห่ชวน หากท่านไม่ชอบ ข้ายินดีสาบานต่อโลหิตมารหัวใจ ว่านับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปข้าจะไม่ฆ่าศิษย์นิกายหมอกเร้นลับอีกแล้ว กระทั่งต่อไปยามพบเจอศิษย์นิกายหมอกเร้นลับ ข้ายังจะหลีกทางให้ กระทั่งหากพบเห็นศิษย์นิกายหมอกเร้นลับกำลังมีปัญหา ข้าน้อยจะยื่นมือเข้าช่วย…”
ชายชราเร่งดิ้นรนกล่าวคำเพื่อเอาตัวรอด
อย่างไรก็ตาม การพยายามเอาตัวรอดของมันถูกลิขิตให้เปล่าประโยชน์
ปงงง!!
เชวียไห่ชวน เพียงผลักฝ่ามือออกไปส่งๆอย่างไร้เรื่องราว ร่างชายชราก็ปลิดปลิวละลิ่วไปดั่งลูกเกาทัณฑ์พ้นคันศรกว่าร้อยหมี่ ก่อนจะระเบิดบึ้มกลายเป็นละอองโลหิต ตกตายอย่างที่ไม่อาจตกตายมากไปกว่านี้ได้อีกแล้ว
“เก็บหนี้ก็ต้องเก็บกับลูกหนี้ ข้าสงสารลูกชายกับหลานชายเจ้าที่ตกตายอย่างไม่ยุติธรรมอยู่หรอก แต่เจ้าก็ไม่ควรเข่นฆ่าศิษย์นิกายหมอกเร้นลับที่บริสุทธิ์…”
เชวียไห่ชวนมองไปยังทิศทางที่ชายชราร่างแหลกพลางกล่าวพึมพำเสียงเบา จากนั้นร่างคนก็ไหววูบ พุ่งไปดั่งเงาเลือนลางสายหนึ่งหายเข้าไปในนิกายหมอกเร้นลับ
พอเชวียไห่ชวนเข้ามาในนิกายหมอกเร้นลับ หัวหน้าหน่วยลาดตระเวนชราของนิกายหมอกเร้นลับที่จดจำได้ว่าเชวียไห่ชวนเป็นใคร มันก็เร่งก้าวเข้ามาทักทายด้วยความตื่นเต้นทันที “อะ…อาวุโสเชวียไห่ชวน!!”
“อาวุโสเชวียไห่ชวน!!”
“สวรรค์! เป็นท่านผู้อาวุโสเชวียไห่ชวนจริงๆด้วย!”
…
ศิษย์ลาดตระเวนที่อยู่ในหน่วยของชายชรา พอได้รับทราบตัวตนของชายหนุ่มจากคำทักของชายชรา สองตาแต่ละคนก็ลุกวาวขึ้นมาทันที ยังแลดูตื่นเต้นกันนัก
เชวียไห่ชวน คนๆนี้สำหรับนิกายหมอกเร้นลับแล้วถือได้ว่าเป็น ‘ตำนาน’ ก็ว่าได้ แถมยังเป็นแบบอย่างของเหล่าศิษย์นิกายหมอกเร้นลับมากมาย ศิษย์ในหน่วยลาดตระเวนหน่วยนี้ก็เช่นกัน
และในอดีตพวกมันก็เคยแต่ได้ยินชื่อเสียงเชวียไห่ชวนเท่านั้น และพวกมันก็ปรารถนาอยากพบคนตัวเป็นๆสักครั้งมาโดยตลอด
วันนี้ในที่สุดก็ได้พบ จะไม่ให้พวกมันตื่นเต้นได้อย่างไรไหว
“ข้านึกไม่ถึงจริงๆ ว่าทั้งๆที่ข้าไม่ได้กลับนิกายหมอกเร้นลับมาตั้งนานแล้ว แต่ยังมีคนรู้จักข้าอยู่อีก….”
เชวียไห่ชวนกล่าวพลางคลี่ยิ้มอ่อนๆ
และพอดีกับที่เชวียไห่ชวนกล่าวจบคำ เงาร่างปานภูตผีมากมายที่พุ่งออกมาจากส่วนลึกของนิกายหมอกเร้นลับก็บรรลุถึง
เพราะตอนที่หัวหน้าหน่วชราเห็นเชวียไห่ชวน มันก็เร่งส่งข่าวออกไปทันที
อาวุโสและเหล่าศิษย์ของนิกายในละแวกใกล้เคียงที่ได้ยินข่าวก็เร่งรุดมาทันที
ตลอดระยะเวลา 10 กว่าปีที่ผ่านมา นิกายหมอกเร้นลับเสมือนถูกปกคลุมไปด้วยเมฆแห่งหมอกอย่างไรอย่างนั้น ตั้งแต่อาวุโสฟงระเบิดโลกใบเล็กภายในกายที่เมืองหลิงหู ศิษย์นิกายหมอกเร้นลับจำนวนมากก็เกิดเรื่องขึ้นทั้งๆที่ไม่ได้ทำผิดอะไร…
ตอนนี้พอเชวียไห่ชวนซึ่งเป็นตัวตนในตำนานกลับมา ก็ทำให้เหล่าศิษย์และอาวุโสทั้งหลายคล้ายเห็นแสงแห่งความหวัง
บางที ตัวตนในตำนานผู้นี้ย้อนกลับมานิกายหมอกเร้นลับ ก็เพื่อแก้ปัญหานี้กระมัง?
“ฮ่าๆๆๆ…!!”
เสียงหัวเราะหนึ่งลั่นดังมาแต่ไกล จากนั้นชายชราในชุดคลุมสีม่วงก็พุ่งลัดฟ้ามาปานเส้นสายอัสนี เหินร่างข้ามหัวผู้คนที่กำลังเดินทางมาคนแล้วคนเล่า ก่อนบรรลุถึงเบื้องหน้าเชวียไห่ชวนในพริบตา “เจ้าหนูไห่ชวนเจ้ายังมีใจกลับมาที่นี่อีกหรือ? ข้านึกว่าเจ้าลืมเลือนนิกายหมอกเร้นลับไปหมดสิ้นแล้วเสียอีก”
“อาวุโสเหล่ย…”
พอเห็นชายชราในชุดคลุมสีม่วงสองตาเชวียไห่ชวนก็เป็นประกายขึ้นมาทันที ยังก้มหน้าเล็กน้อยพลางกล่าวคำทักทายอีกฝ่าย