ตอนที่ 3771 แขกที่มีฐานะสูงส่ง

WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์

“หืม? เจ้าเป็นอะไรไปรึ?”
  พอเห็นท่าทีที่ผิดแปลกไปของน้องชาย เชวียไห่ชานก็อดไม่ได้ที่จะงุนงง เอ่ยถามไปด้วยความสงสัย สายตาฉายชัดถึงความอยากรู้
  “พี่ใหญ่…”
  เชวียไห่ชวนคลี่ยิ้มแห้งๆ “ต้วนหลิงเทียนที่ท่านรู้จักน่ะ…ตอนนี้ผู้อื่นไม่ได้เป็นศิษย์ของนิกายหมอกเร้นลับอีกแล้ว”
  “หือ? ไม่ใช่ศิษย์ของนิกายหมอกเร้นลับอีกแล้ว?”
  เชวียไห่ชานขมวดคิ้ว “เกิดอะไรขึ้น?”
  ความทรงจำตอนที่ได้พบเจอชายหนุ่มชุดม่วงในบันไดสวรรค์ของมันยังชัดเจนราวกับพึ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน อีกฝ่ายมีเมตตาไม่ลงมือพรากชีวิตของมัน ทำให้ตัวมันรู้สึกขอบคุณอีกฝ่ายมาก
  มันยังคิดมาตลอด ว่าหลังจากออกมาแล้วจะหาทางตอบแทนอีกฝ่ายให้ได้
  มัน เชวียไห่ชาน มีบุญคุณต้องทดแทน มีแค้นต้องชำระ!
  “เป็นแบบนี้นี่เอง…”
  แม้ในปัจจุบันเชวียไห่ชวนจะเป็นอาวุโสมังกรขาวของนิกายมังกรสวรรค์ ทั้งพลังฝีมือยังสูงส่งมากพอจะยืนหยัดในนิกายมังกรสวรรค์ได้ถึงระดับหนึ่ง แต่ต่อหน้าพี่ชายของตัวเองมันก็เป็นดั่งน้องชายคนเดิม จึงค่อยๆเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พี่ชายฟังอย่างไม่รู้เหนื่อย
  เชวียไห่ชวนได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับต้วนหลิงเทียนที่ได้รับทราบมา ยังเล่าถึงเรื่องที่อาวุโสฟง 1 ใน 4 อาวุโสสูงสุดของนิกายหมอกเร้นลับในอดีต จนตรอกถึงขั้นจุดชนวนระเบิดโลกใบเล็กภายในกายที่จัดตั้งค่ายกลสังหารไว้มากมาย หมายลากต้วนหลิงเทียนให้ตกตายไปตามกันกลางเมืองหลิงหู จนก่อให้เกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่
  หลังได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดจากปากเชวียไห่ชวน เชวียไห่ชานก็อึ้งไปพักหนึ่ง เพราะถ้าหากมันจำไม่ผิด ชายหนุ่มชุดม่วงที่มันพบเจอในบันไดสวรรค์ตอนนั้น อีกฝ่ายยังมีด่านพลังฝึกปรือเพียงแค่เทพขั้นสูงเท่านั้นเอง
  วันเวลาพึ่งจะผ่านไปได้ 10 กว่าปี แต่ตอนนี้อีกฝ่ายทะลวงถึงราชาเทพขั้นต่ำแล้ว แถมยังทำเรื่องราวอันน่าเหลือเชื่อมากมายไว้อีก?
  “เดิมทีข้าก็คิดว่ามันไม่ธรรมดาอยู่หรอก…แต่ไม่คิดเลยว่าจะกลายเป็นตัวป่วนได้ถึงขนาดนี้”
  เชวียไห่ชวนอดถอนหายใจออกมาไม่ได้ จากนั้นคล้ายมันนึกอะไรได้ออก จึงย่นคิ้วเบาๆพลางกล่าว “แต่จะว่าไปอาวุโสฟงก็ทำเกินไปจริงๆ”
  “เพียงเพื่อสนองความต้องการอันเห็นแก่ตัวของมันคนเดียว กลับทำให้คนทั้งนิกายหมอกเร้นลับต้องตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้”
  “แต่ก็ยังดีที่ท่านประมุขตัดสินใจได้เด็ดขาด…หาไม่แล้วต่อไปนิกายหมอกเร้นลับต้องระส่ำระสายแน่”
  กล่าวถึงจุดนี้เชวียไห่ชานก็หันไปมองจ้องน้องชายอีกครั้ง สองตายังเริ่มฉายแววซับซ้อนออกมา “ไห่ชวน ตอนข้าอยู่ในเรือนจำ ข้าก็มีคิดไว้บ้างแล้ว ว่าหลังจากผ่านไปหมื่นปีแบบนี้ ต่อให้เจ้าจะยังไม่กลายเป็นจอมราชันเทพ แต่เจ้าก็ต้องกลายเป็นยอดฝีมือขอบเขตราชาเทพขั้นสูงที่ร้ายกาจจนหาตัวจับยาก…แต่ไม่คิดเลยว่าพี่ใหญ่ยังประเมินความสามารถของเจ้าต่ำไป…”
  ในขณะที่เชวียไห่ชวนกล่าวถึงเรื่องราวของต้วนหลิงเทียน และผลกระทบที่มีต่อนิกายหมอกเร้นลับ อีกฝ่ายก็ได้บอกเรื่องราวที่ทำหลังจากกลับมาเยือนนิกายหมอกเร้นลับ
  ขณะเดียวกันยังบอกระดับพลังฝึกปรือในปัจจุบัน กระทั่งสถานะในนิกายมังกรสวรรค์ตอนนี้
  “พี่ใหญ่ เพราะท่านถูกขังอยู่ในบันไดสวรรค์หรอก หาไม่แล้วด้วยพรสวรรค์ของท่าน เกรงว่าความสำเร็จในวันนี้ของท่านต้องไม่มีทางต่ำไปกว่าข้าแน่”
  “ท้ายที่สุดแล้วกฏที่ท่านเชี่ยวชาญก็คือกฏแห่งเวลา 1 ใน 4 กฏสูงสุดที่ถือว่าเป็นอันดับแรก!”
  “ในอดีต ก่อนท่านถูกจับขัง ข้าเองก็ไม่ได้มีความสามารถเหนือไปกว่าท่านเลย ไม่ว่าจะพรสวรรค์ในการบ่มเพาะพลังก็ดี หรือความเข้าใจก็ดี…”
  เชวียไห่ชวนกล่าว “แต่มันก็ยังไม่สายเกินไป ด้วยพรสวรรค์กับความเข้าใจของท่าน พี่ใหญ่ใช้เวลาไม่ถึงหมื่นปีก็ไล่ตามข้าเกือบทันแล้ว”
  “กระทั่งหลังจากผ่านไป 20,000 ปี ท่านไม่เพียงไล่ข้าทันแต่ยังจะเหนือกว่าข้าอีกด้วย”
  ได้ยินคำพูดของเชวียไห่ชวน เชวียไห่ชานก็กล่าวออกมาอย่างทอดถอนใจ “ยังถือว่าโชคดีอยู่บ้างที่ตอนข้าถูกจับ ข้ายังไม่ทันได้บรรลุถึงขอบเขตราชาเทพ”
  “หาไม่แล้ว ข้าที่ไม่อาจบ่มเพาะพลังทั้งไม่อาจทำความเข้าใจกฏได้ ไหนจะยกระดับพลังฝีมือให้เพิ่มขึ้น ต่อให้ข้าน่าจะข้ามผ่านหายนะสวรรค์ 2-3 รอบได้ แต่สุดท้ายก็คงต้านทานมันไม่ไหวแน่นอน”
  หายนะสวรรค์ที่ราชาเทพต้องพบเจอทุกๆรอบ 1,000 ปีนั้น แม้จะถูกขังอยู่ในบันไดสวรรค์ แต่ก็มิอาจหลีกหนีได้พ้น
  เพราะนั่นคือกฏของสวรรค์และโลก ไปที่ไหนก็ไม่อาจหลีกลี้หนีพ้น ไม่ว่าในระนาบใดก็ตาม
  ที่สำคัญ หายนะที่จะมาทุกๆรอบพันปี มันจะยิ่งทรงพลังขึ้นทุกครั้ง และมันไม่สนว่าความแข็งแกร่งของท่านเพิ่มพูนขึ้นหรือไม่หลังผ่านไปพันปี และไม่มีคำว่าสงสารแม้ท่านจะถูกจองจำไว้ในบันไดสวรรค์ สถานที่ๆไม่อาจยกระดับพลังฝีมืออะไรได้
  เชวียไห่ชาน เพราะยังไม่ได้ทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพก่อนจะถูกขังไว้ในบันไดสวรรค์ เช่นนั้นจึงไม่ต้องกังวลเรื่องหายนะใดๆ
  แต่ตอนนี้ เมื่อทะลวงถึงขอบเขตราชาเทพ มันก็จะพบเจอกับหายนะทันที
  แม้จะเสียเวลาไปหมื่นปีเต็มๆ แต่พรสวรรค์กับความเข้าใจของมันก็ไม่ได้หายไปไหน ขอเพียงทุ่มเทให้กับการบ่มเพาะฝึกปรือ หลังจากนี้อีก 10,000 ปีช่องว่างระหว่างมันกับน้องชายก็คงไม่ห่างกันมากมาย
  ด้วยเป็นพี่น้องที่มีบิดามารดาเดียวกัน แม้พรสวรรค์กับความเข้าใจจะมีความแตกต่างกันตามปกติ แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไร
  “ไห่ชวน พวกเราไปเอนตระกูลหลิงหูเพื่อชวนสหายน้อยผู้นั้นดื่มเถอะ…จากนั้นข้าค่อยกลับไปนิกายมังกรสวรรค์พร้อมเจ้า”
  เชวียไห่ชานหันไปมองกล่าวกับเชวียไห่ชวน
  ได้ยินคำของพี่ชาย เชวียไห่ชวนก็พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “เอาสิ จะว่าไปข้าเองก็อยากเจอต้วนหลิงเทียนที่สร้างปัญหาให้นิกายหมอกเร้นลับมากมายอยู่พอดี อย่างไรก็ตามข้าต้องขอบคุณมันด้วยตัวเอง ที่มันไม่ลงมือด้วยอำมหิตและเมตตาไว้ชีวิตพี่ใหญ่”
  “พี่ใหญ่ ก่อนออกจากนิกายหมอกเร้นลับ ข้าคิดจะไปลาท่านอาจารย์อาหวู่ก่อน ท่านจะไปด้วยรึเปล่า?”
  เชวียไห่ชวนถาม
  “ไปสิ”
  เชวียไห่ชานกล่าวตอบเร็วไว “ว่าไปข้าเองก็ไม่ได้เจออาจารย์อาหวู่หมื่นปีกว่าแล้ว…”
  ย้อนกลับไปในอดีต สองพี่น้องเชวียไห่ชานกับเชวียไห่ชวนนั้นก็ได้กราบอาจารย์คนเดียวกัน และตลอดระยะเวลา 10,000 ปีที่ถูกกักขังอยู่ในบันไดสวรรค์ เชวียไห่ชานก็มักจะเอ่ยถามศิษย์ที่มาไต่บันไดสวรรค์และบังเอิญถูกสุ่มส่งมาหามัน ว่าสถานการณ์ด้านนอกเป็นอย่างไรบ้าง
  ดังนั้นถึงแม้มันจะถูกขังอยู่ในบันไดสวรรค์มาตลอดหมื่นปี แต่มันก็รับทราบเรื่องที่น้องชายได้เข้าสู่นิกายมังกรสวรรค์ รวมถึงเรื่องที่อาจารย์ของมันตกตายภายใต้หายนะสวรรค์ จนร่างกายสูญสลาย…
  แต่ไม่กี่พันปีที่ผ่านมา มันไม่ค่อยได้พบเจอศิษย์ที่มาไต่บันไดสวรรค์เลย ทำให้ไร้หนทางจะสอบถามเรื่องราวด้านนอก
  กล่าวได้ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วง 2-3 พันปีที่ผ่านมา สำหรับมันแล้วก็เสมือนกระดานดำที่ว่างเปล่า
  …
  ณ เมืองหลิงหู
  ตระกูลหลิงหู
  เนื่องจากระดับพลังของต้วนหลิงเทียนถึงจุดรอคอย ไม่อาจทะลวงผ่านไปได้ง่ายๆ ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ดันทุรังจนส่งผลร้ายมากกว่าดี เลือกจะหันเหความสนใจไปยังการหลอมโอสถเทพแทน
  ยิ่งมาทักษะการหลอมโอสถเทพของเขาก็ยิ่งพัฒนาก้าวหน้า จนสามารถหลอมโอสถเทพระดับจอมราชันได้มากขึ้น แต่ก็ยังมีข้อบกพร่องอยู่บ้าง แต่เรื่องพวกนี้จำต้องสั่งสมประสบการณ์ และต้องใช้เวลาในการตกตะกอนความรู้
  “เนื่องจากด่านพลังติดจุดรอคอยากจะกรุยผ่านแม้ครึ่งนิ้ว…แถมการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏก็ถึงช่วงชะลอตัวเพราะประสบการณ์…เช่นนั้นหันมาใส่ใจเรื่องการหลอมโอสถเทพก็ดีกว่าอยู่ว่างๆ”
  ตอนนี้มันก็ได้ผ่านไปอีกครึ่งปีแล้ว หลังจากต้วนหลิงเทียนออกจากการปิดด่าน
  ตลอดระยะเวลา 6 เดือนที่ผ่านมา ต้วนหลิงเทียนเรียกว่าฝังหัวไว้กับการหลอมโอสถเทพ หากจะถามว่ามีเรื่องใดที่เสียใจ ก็มีแต่เรื่องที่ยากจะหาโอกาสก้าวหน้าในการบ่มเพาะได้ในเร็ววัน
  ศาสตร์แห่งการหลอมโอสถเทพนับวันก็ยิ่งมีความก้าวหน้า จนในที่สุดก็มาถึงจุดที่ขาดแค่เล็กน้อยก็สามารถหลอมโอสถเทพระดับจอมราชันให้มีคุณภาพทั่วไปได้อย่างไร้ข้อผิดพลาดแล้ว
  จนถึงวันที่เขาสามารถหลอมโอสถเทพระดับจอมราชันให้มีคุณภาพทั่วไปได้สมบูรณ์แบบโดยไม่ล้มเหลวเมื่อไหร่ ก็หมายความว่าเขาสามารถหลอมโอสถเทพระดับจอมราชันขั้นสุดยอดออกมาได้นั่นเอง!
  และการที่เขาสามารถหลอมโอสถเทพระดับจอมราชันขั้นสุดยอดออกมาได้ ก็เป็นสัญลักษณ์บ่งชี้ว่าเข้าคือปรมาจารย์หลอมโอสถเทพระดับจักรพรรดิชั้นนำ!
  กระทั่งปรมาจารย์หลอมโอสถเทพระดับจักรพรรดิชั้นนำ ยังมีบางคนที่มีปัญหาเรื่องการหลอมโอสถเทพระดับจอมราชันขั้นสุดยอดด้วยซ้ำ!
  “ต้วนหลิงเทียน!”
  ในวันนี้ ขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังหลอมยาอยู่ เขาก็จำต้องหลุดออกจากภวังค์สมาธิเพราะได้รับข้อความจากหลิงหูเหรินเจี๋ย ผู้นำตระกูลหลิงหู
  “ผู้นำตระกูลมีเรื่องใดหรือ?”
  ขณะส่งข้อความกลับไปถามด้วยความสงสัย ต้วนหลิงเทียนก็เร่งควบคุมโอสถเทพในเตาไม่ให้กลายเป็นขี้ตะกรันอย่างสุดกำลัง
  “มีแขกมารอพบเจ้าอยู่ 2 คน แถมหนึ่งในนั้นยังมีฐานะสูงส่งไม่ใช่ชั่ว ตอนนี้ข้าให้ทั้งคู่ไปรอพบเจ้าที่โถงใหญ่แล้ว”
  หลิงหูเหรินเจี๋ยกล่าวผ่านข้อความ
  “ใครหรือ?”
  ต้วนหลิงเทียนส่งข้อความไปถามด้วยความสงสัย
  “แขกอีกคนบอกว่า พอเจ้าเห็นก็จะจำได้เอง”
  หลิงหูเหรินเจี๋ยกล่าว ราวกับช่วยอีกฝ่ายขายของ
  ต้วนหลิงเทียนถึงกับพูดไม่ออกเมื่อได้ยินดังกล่าว แต่เขาก็อดบังเกิดความสงสัยขึ้นมาไม่ได้ ใครเป็นแขกที่มีฐานะสูงส่งที่หลิงหูเหรินเจี๋ยเอ่ยถึงกันแน่ แถมอีกคนยังบอกว่าพอเขาเห็นก็จะจำได้เองอีก
  ‘หรือจะเป็นอาวุโสของตระกูลหลิงหูในนิกายมังกรสวรรค์’
  ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะคาดเดาไปทำนองดังกล่าว
  ด้วยความอยากรู้ ต้วนหลิงเทียนก็เลิกสนใจโอสถเทพที่กำลังหลอมอยู่ตรงหน้า วางมือและปล่อยมันไปตามยถากรรมทันที จากนั้นก็เปิดประตูเดินออกจากห้องไป ออกจากบ้านพักส่วนตัว ไม่นานนักก็บรรลุถึงห้องโถงใหญ่
  ภายในห้องโถงใหญ่ นอกจากหลิงหูเหรินเจี๋ยแล้วก็มีอีก 2 คนยืนรออยู่
  หนึ่งในนั้นมีรูปลักษณ์เป็นชายหนุ่ม มาในชุดคลุมสีขาวบุคลิกแลดูองอาจน่าเกรงขาม กับชายวัยกลางคนร่างสูงใบหน้าคมเข้มทั้งสองตายังคล้ายมีอัสนีแล่นวาบ
  ทั้งสองคนพอมายืนเคียงข้างกัน หว่างคิ้วของพวกมันก็แลดูคล้ายกัน 3-4 ส่วน แถมรูปร่างยังพอๆกันอีกด้วย
  ให้บอกว่าสูงเท่ากันเลยก็ไม่ผิด
  ‘คนผู้นี้…’
  หลังต้วนหลิงเทียนเดินเข้ามาในห้องโถงใหญ่ สายตาเขาก็ไปหยุดลงยังร่างชายวัยกลางคนพักหนึ่ง เพราะเขารู้สึกว่าหน้าตาของอีกฝ่ายมันคุ้นๆอย่างไรชอบกล ราวกับเขาเคยพบเจอที่ไหนสักแห่ง แต่ปุบปับกลับนึกไม่ออก
  “ผู้อาวุโสเชวียไห่ชวน นี่คืออาคันตุกะทรงเกียรติของตระกูลหลิงหูเรา ต้วนหลิงเทียน”
  ขณะที่ต้วนหลิงเทียนกำลังนึกอยู่ หลิงหูเหรินเจี๋ยก็แนะนำต้วนหลิงเทียนให้ชายหนุ่มชุดขาวรู้จัก
  พอเสียงของหลิงหูเหรินเจี๋ยดังจบคำ ต้วนหลิงเทียนก็ละสายตาออกจากร่างชายวัยกลางคน และหันไปมองชายหนุ่มชุดขาวข้างๆทันที
  เชวียไห่ชวน”
  คนผู้นี้น่ะหรือคือเชวียไห่ชวน!
  ต้วนหลิงเทียนไม่อาจคุ้นหูกับนามเชวียไห่ชวนได้มากไปกว่านี้อีกแล้ว เพราะตอนที่เขาอยู่ในนิกายหมอกเร้นลับ ก็มีคนพูดว่าเขาอาจจะเป็นเชวียไห่ชวนคนที่ 2 อยู่บ่อยครั้ง
  จนภายหลังทุกคนก็ไม่คิดจะเทียบเขากับเชวียไห่ชวนอีก
  กระทั่งหลังจากที่เขาฆ่าซั่งกวนฉงเฟิงกับหลงเซียววันนั้น อาวุโสหลายๆคนยังกระซิบกระซาบกัน ว่าตอนที่เชวียไห่ชวนอายุเท่าๆเขา ความสำเร็จของอีกฝ่ายยังด้อยกว่าเขามาก
  กล่าวได้ว่าก่อนจะได้พบเจอเชวียไห่ชวนตัวเป็นๆ เขาได้ยินชื่ออีกฝ่ายจนหูชาก็ไม่เกินเลย
  ยังดีที่เชวียไห่ชวนไม่รู้ความคิดในหัวของต้วนหลิงเทียนตอนนี้ หาไม่แล้วอีกฝ่ายคงไม่พ้นต้องมองต้วนหลิงเทียนตาปริบๆ แล้วบอกว่า ‘ชื่อต้วนหลิงเทียนของเจ้า ก็ดังสะท้านจนหูข้าชาเหมือนกัน’
  “ต้วนหลิงเทียน”
  หลังจากแนะนำต้วนหลิงเทียนให้เชวียไห่ชวนรู้จักแล้ว หลิงหูเหรินเจี๋ยก็กล่าวแนะนำเชวียให้ชวนให้ต้วนหลิงเทียนรู้จักเช่นกัน “นี่คืออาวุโสเชวียไห่ชวน 1 ใน 3 อาวุโสมังกรขาวที่มีอายุน้อยที่สุดในนิกายมังกรสวรรค์ และผู้อาวุโสเชวียไห่ชวนก็เคยเป็นศิษย์นิกายหมอกเร้นลับเหมือนเจ้า ข้าว่าตอนเจ้าอยู่ในนิกายหมอกเร้นลับก็สมควรได้ยินชื่ออาวุโสเชวียไห่ชวนมาบ้างแล้วกระมัง”
  “อาคันตุกะต้วน นามเลื่องลือของท่านข้าชื่นชมมานานแล้ว”
  เชวียไห่ชวนคลี่ยิ้มบางๆพลางพยักหน้าทักทายต้วนหลิงเทียน สองตาที่ฉายชัดถึงความเป็นมิตรอย่างออกหน้าออกตาของอีกฝ่าย ทำให้ต้วนหลิงเทียนรู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง
  เชวียไห่ชวนแม้จะเป็นศิษย์เก่าของนิกายหมอกเร้นลับ แต่อย่างไรวันนี้ก็เป็นคนของนิกายมังกรสวรรค์ไปแล้ว
  สามารถกล่าวได้ว่าต่อให้ไม่มีเรื่องเกลียดชังเขา แต่ก็ไม่น่าจะมีความเป็นมิตรมากถึงขนาดนี้
  “อาวุโสเชวียไห่ชวน นามเกริกไกรของท่านข้าเองก็เลื่อมไสมานาน”
  ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะลอบระแวงในใจ ด้วยไม่ทราบว่าเชวียไห่ชวนผู้นี้ที่แท้เป็น ‘พยัคฆ์หน้ายิ้ม’ ตัวเอ้หรือไม่ หาไม่แล้วไฉนถึงแลดูเป็นมิตรกับเขาจัง?
  เข้าทำนอง ไม่รู้จักแต่มากไมตรี ถ้าไม่มีอะไรหวังผลก็เป็นโจร!
  “ฮ่าๆๆ”
  หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนกับเชวียไห่ชวนทักทายทำความรู้จักกัน ชายวัยกลางคนร่างสูงข้างๆเชวียไห่ชวน ก็มองต้วนหลิงเทียนพลางหัวเราะร่า “อะไรกันศิษย์น้องต้วน นี่ยังพึ่งสิบกว่าปีเอง…แต่เจ้าลืมข้าหมดสิ้นแล้ว?”