ตอนที่ 3801 ติงเหยียนขึ้นสังเวียน

WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์

รายชื่อของติงเหยียนตกหล่น?
  ความคิดในหัวต้วนหลิงเทียนตอนนี้ เรียกว่าแตกต่างจากโหวชิ่งหนิงอย่างสิ้นเชิง เขาวิเคราะห์เรื่องราวอย่างละเอียด ‘ลุงของติงเหยียนจะอย่างไรก็เป็นถึงผู้อาวุโสมังกรดำของนิกายมังกรสวรรค์’
  ‘ถึงแม้จะเป็นอาคันตุกะทรงเกียรติไม่ได้เป็นคนของนิกายโดยแท้จริง แต่นิกายมังกรสวรรค์ไหนเลยจะมอบตำแหน่งอาวุโสมังกรดำให้ใครส่งเดช เช่นนั้นก็บอกได้คำเดียวว่าลุงของติงเหยียนคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ’
  ‘ติงเหยียนได้ตัวตนเช่นนี้เปิดประตูหลังให้ เช่นนั้นจะเป็นไปได้อย่างไรที่ทางนิกายทำรายชื่อติงเหยียนตกหล่น’
  ‘ในกรณีนี้มันก็มีความเป็นไปได้แค่ 2 ทางเท่านั้น’
  ‘ความเป็นไปได้อย่างแรกคือพวกมันตั้งใจดูแลติงเหยียน’
  ‘ความเป็นไปได้ประการที่ 2 ก็คือพลังฝีมือติงเหยียนไม่เลว ก็เลยไม่ต้องลงประลองช่วงแรกๆ’
  ในความเป็นไปได้ 2 อย่าง ต้วนหลิงเทียนให้ภาษีข้อหลังมากกว่า
  “ติงเหยียน”
  ทันใดนั้นเอง ต้วนหลิงเทียนก็หันไปมองติงเหยียนที่กำลังมองโหวชิ่งหนิงด้วยสายตามีเลศนัย “ถึงแม้ตอนนี้เจ้าจะเป็นราชาเทพขั้นต่ำแล้ว แต่ให้ข้าเดาความก้าวหน้าของกฏแห่งไฟเจ้าสมควรเหนือกว่าระดับพลังบ่มเพาะกระมัง?”
  “เอ๋!?”
  อยู่ๆต้วนหลิงเทียนก็พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา ทำให้ติงเหยียนอดประหลาดใจไม่ได้ “เจ้า…นี่เจ้ารู้ได้ยังไง?”
  มันลองถามตัวเองดูก็ตอบได้ว่านอกจากตัวมันกับลุงสือคงแล้ว ก็มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่ล่วงรู้ความสำเร็จในกฏแห่งไฟของมัน
  บางทีอาวุโสมังกรดำ หลันอวี่ซาน ที่รับผิดชอบการแข่งขันมังกรซ่อนอาจจะรู้
  ทว่าไม่น่าจะเป็นไปได้เลยที่ต้วนหลิงเทียนจะล่วงรู้ด้วย
  “ดูเหมือนในสายตาอาวุโสนิกายมังกรสวรรค์ ความแข็งแกร่งของเจ้าจะเหนือกว่าโหวชิ่งหนิงมาก”
  ต้วนหลิงเทียนหัวเราะ
  ขนาดนี้แล้วหากโหวชิ่งหนิงยังไม่อาจเข้าใจได้ว่าเป็นเรื่องราวใด เกรงว่าชีวิตมันที่อยู่มาหลายปีคงสูญเปล่า
  พอโหวชิ่งหนิงฟื้นสติ มันก็มองจ้องไปยังติงเหยียนด้วยสายตาเหลือเชื่อ “ติงเหยียน…เจ้า…ความเข้าใจในกฏแห่งไฟของเจ้าถึงระดับไหนแล้ว?”
  “วันนี้เจ้าไม่ต้องลงประลองเลยสักครั้ง”
  “และหากข้ามองไม่ผิด ดูเหมือนวันนี้จะมีคนไม่ต้องลงประลองเลยราวๆ 100 คน…อย่าบอกนะว่าในสายตาอาวุโสมังกรสวรรค์ พลังฝีมือของเจ้ามันสูงพอจะติด 100 อันดับแรกของการแข่งขันมังกรซ่อนได้?”
  การแข่งขันมังกรซ่อนครั้งนี้ โหวชิ่งหนิงไม่กล้าฝันเรื่องติด 100 อันดับแรกด้วยซ้ำ ถึงแม้มันจะมีอุปกรณ์เทพขั้นสูงที่ต้วนหลิงเทียนให้ยืมมาก็ตาม
  เพราะจนถึงบัดนี้ แม้มันจะเอาชนะคู่ต่อสู้ไม่ได้ทั้ง 2 รอบ แต่พลังฝีมือของอีกฝ่ายก็แข็งแกร่งมาก ถึงขั้นที่มันเอาชนะได้เฉียดฉิวแม้จะมีอุปกรณ์เทพขั้นสูงแล้วก็ตาม
  มันยังจดจำสายตาไม่ยินยอมพร้อมใจทั้งอิจฉาของอีกฝ่าย ขณะจ้องมาที่อุปกรณ์เทพขั้นสูงในมือของมันดี
  มันยังรู้ดีแก่ใจด้วยซ้ำ หากไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายมีแค่อุปกรณ์เทพขั้นกลาง มันก็คงมีแต่แพ้กับแพ้ ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของอีกฝ่ายเลย
  แต่ก็นั่นล่ะ ผู้ใดใช้ให้มันโหวชิ่งหนิงมีสหายอย่างต้วนหลิงเทียนเล่า?
  นี่แหละชีวิต!
  หากเจ้าอิจฉาก็ไปหายืมอุปกรณ์เทพขั้นสูงมาสิ!
  แน่นอนว่าประโยคดังกล่าวโหวชิ่งหนิงก็ได้แต่พูดในใจเท่านั้น หากพูดออกมาตรงๆ มันคงได้กลายเป็นศัตรูร่วมของผู้คนทันที เพราะมีอัจฉริยะที่เข้าร่วมการแข่งขันมังกรซ่อนมากมายที่ไร้อุปกรณ์เทพขั้นสูง มีที่ยืมมาเหมือนมันไม่กี่คนเท่านั้น
  อุปกรณ์เทพขั้นสูงไม่ใช่หัวผักกาดที่พบเจอเกลื่อนกลาดข้างถนน กระทั่งในขุมกำลังระดับจอมราชันเทพเอง ก็ถือว่าเป็นของหายากไม่ใช่น้อย ผู้ที่จะมีไว้ในครอบครองก็มีแต่ชนชั้นระดับสูงๆของขุมกำลังเท่านั้น
  “ก็ไม่เท่าไรหรอก ดีกว่าแต่ก่อนนิดเดียวเอง”
  ติงเหยียนคลี่ยิ้มออกมาอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง
  “เพ่ย! รีบคายออกมาให้หมด ที่แท้เจ้าก้าวหน้าไปขนาดไหนแล้ว!”
  โหวชิ่งหนิงเอ่ยถามซ้ำด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง
  “ก็แค่…เข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏแห่งไฟ 3 ประการชุดนึงเท่านั้นเอง…”
  พอติงเหยียนกล่าวตอบออกมา โหวชิ่งหนิงที่รอฟังอย่างใจจดจ่อก็ถึงกับตกตะลึงปากอ้าค้างไปทันที เพราะเท่าที่มันรู้ ความเข้าใจในกฏระดับนี้ มันแทบจะเทียบได้กับเหล่าอัจฉริยะชั้นแนวหน้าของขุมกำลังระดับจอมราชันเทพเลย
  กระทั่งความเข้าใจในกฏมิติของต้วนหลิงเทียนเอง ก็เหมือนจะเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้งของกฏมิติดีกว่านี้ไม่เท่าไหร่ไม่ใช่เหรอ?
  ส่วนซั่งกวนฉงเฟิงกับหลงเซียวที่ตกตายคามือต้วนหลิงเทียนไป ไม่ใช่ว่าก็มีความเข้าใจในกฏพอๆกับติงเหยียนในปัจจุบันหรอกเหรอ?
  ด้วยความเข้าใจดังกล่าว รวมกับสายเลือดคลั่งของติงเหยียน…
  เช่นนั้นกล่าวได้ว่า ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของติงเหยียน ต่อให้ยกไปเทียบกับซั่งกวนฉงเฟิงกับหลงเซียวในอดีต ก็ไม่ได้ด้อยกว่าแม้แต่นิดเดียว?
  “บ้าไปแล้ว นี่เจ้าเข้าใจกฏแห่งไฟอย่างไรกันแน่? ความเร็วในการก้าวหน้าของเจ้ามันจะไม่เกินจริงไปหน่อยรึไง?”
  สองตาโหวชิ่งหนิงแทบถลนออกเบ้าอยู่รอมร่อ
  “เดายากตรงไหนกัน?”
  ต้วนหลิงเทียนหัวเราะเบาๆ ก่อนจะมองลึกไปทางติงเหยียน “ไม่พ้นลุงของติงเหยียน โยนมันเข้าไปในห้องลับแห่งกฏของนิกายมังกรสวรรค์แน่นอน”
  “เท่าที่ข้ารู้มา นิกายมังกรสวรรค์ที่เป็นขุมกำลังระดับจักรพรรดิเทพ ได้ตั้งถิ่นฐานอยู่บนสายแร่หินเทพขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นอะไรที่เหนือกว่าสายแร่หินเทพของขุมกำลังระดับจอมราชันเทพหลายเท่า เช่นนั้นห้องลับแห่งกฏของนิกายมังกรสวรรค์ ย่อมสามารถช่วยให้ผู้คนเข้าใจการผสานรวมความลึกซึ้ง 3 ประการได้แน่”
  “ติงเหยียน…”
  เอ่ยถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็คลี่ยิ้มหยอกล้อออกมา “ท่าทางลุงสือคงของเจ้าจะไม่ใช่อาวุโสมังกรดำธรรมดาๆสินะ”
  ในเวลาน้อยกว่า 30 ปี กลับเข้าใจกฏแห่งไฟถึงระดับนี้
  ปริมาณหินเทพที่ติงเหยียนผลาญไป ให้เทียบกับปริมาณหินเทพที่เขาใช้ไปในตระกูลหลิงหู เกรงว่าคงมีแต่มากกว่าไม่น้อยกว่า
  และนั่นไม่ใช่อะไรที่อาวุโสมังกรดำธรรมดาๆ จะแบกรับค่าใช้จ่ายได้ไหว
  “ต้วนหลิงเทียน”
  ติงเหยียนคลี่ยิ้มแห้งๆ “ข้าพึ่งรู้ว่าเจ้าไม่เพียงมีพรสวรรค์กับความเข้าใจร้ายกาจ กระทั่งความคิดอ่านยังน่ากลัวอยู่บ้าง…เจ้าเดาไม่ผิด ข้าได้เข้าใช้ห้องลับกฏแห่งไฟของนิกายมังกรสวรรค์จริงๆ”
  กล่าวจบคำ ติงเหยียนก็ถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง
  เพราะเหตุการณ์ดังกล่าว ทำให้มันรู้สึกติดค้างท่านลุงสือคงของมันมาก และต่อไปก็คงยากที่มันจะตอบแทนได้ไหว เว้นเสียแต่พลังฝึกปรือของมันจะเหนือกว่าอีกฝ่าย
  “ห้องลับแห่งกฏของนิกายมังกรสวรรค์!!”
  จังหวะนี้โหวชิ่งหนิงหมดคำจะกล่าวแล้วจริงๆ ยังรู้สึกเสมือนลำคอกลายเป็นแห้งผาก หัวใจยังสั่นไหว
  มันไม่ได้แปลกใจเรื่องที่ติงเหยียนสามารถเข้าใช้ห้องลับแห่งกฏได้
  ด้วยฐานะของผู้อาวุโสมังกรดำ เกรงว่าคงส่งคนเข้าไปใช้ห้องลับแห่งกฏได้ตามอำเภอใจ
  ทว่าเรื่องที่จะเข้าใช้ห้องลับแห่งกฏได้นานแค่ไหนนั้น เกรงว่าต้องขึ้นอยู่กับสถานะของผู้อาวุโสมังกรดำคนนั้นแล้ว ว่าสูงเพียงใดในนิกายมังกรสวรรค์
  มันยังจดจำได้ดี ว่าความเข้าใจในกฏแห่งไฟของติงเหยียนในอดีต ยังสู้มันไม่ได้ด้วยซ้ำ
  แต่บัดนี้ความเข้าใจในกฏแห่งไฟของติงเหยียน กลับทิ้งห่างความเข้าใจในกฏของมันไปไกล ถึงขั้นมองไม่เห็นหนทางจะสู้ได้เลย…
  “ให้ตายเถอะ ก่อนหน้าข้ายังทะลึ่งคิดจะสู้กับเจ้าอีกนะ…ตอนนี้ดูเหมือนต่อให้เจ้าไม่ใช้อุปกรณ์เทพขั้นสูง แต่ข้าใช้อุปกรณ์เทพขั้นสูง ก็คงไม่ใช่คู่มือเจ้าเลย”
  โหวชิ่งหนิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงขื่นขม
  “ข้าแค่โชคดีที่มีบิดาประเสริฐ”
  ติงเหยียนส่ายหัวไปมา มันไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าโหวชิ่งหนิงเพราะเรื่องนี้
  “ที่ข้าชื่นชมมากที่สุดก็คือ ต้วนหลิงเทียน ต่างหาก”
  ติงเหยียนเอ่ยถึงจุดนี้ ก็หันไปมองต้วนหลิงเทียนด้วยสายตาซับซ้อน “ต้วนหลิงเทียน ในฐานะที่เป็นคนจากระนาบเทวโลก พอขึ้นมาถึงระนาบเทพก็เสมือนตัวคนเดียวไร้ที่พึ่ง แต่กลับอาศัยความสามารถของตัวเองก้าวมาถึงจุดนี้ได้ พอคิดว่าต้วนหลิงเทียนทำไปได้อย่างไร ข้าก็เหงื่อตกแล้ว”
  “เหอะๆ ต้วนหลิงเทียนมันเป็นสัตว์ประหลาด มีแต่คนโง่เท่านั้นล่ะที่คิดไปเทียบกับมัน”
  ได้ยินติงเหยียนพูดถึงเรื่องนี้ออกมา โหวชิ่งหนิงก็รู้สึกดีขึ้นไม่น้อย ราวกับได้พบเจอสหายร่วมชะตากรรมอย่างไรอย่างนั้น
  มันถูกความสำเร็จของต้วนหลิงเทียนถล่มมานานแล้ว รู้สึกอ่อนใจไร้หนทางทุกครั้งที่มองอีกฝ่าย
  ในขณะที่พวกต้วนหลิงเทียนกำลังคุยเล่นไปเรื่อยเปื่อย การแข่งขันมังกรซ่อนของวันนี้ก็จบลง
  “ต้วนหลิงเทียน ดูเหมือนถึงข้าจะมีอุปกรณ์เทพขั้นสูงที่เจ้าให้ยืมมา แต่ก็คงยากที่ข้าจะเอาชนะการต่อสู้รอบที่ 3…”
  ระหว่างเดินทางกลับ โหวชิ่งหนิงได้แต่กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มหดหู่
  “ข้าเองก็รู้สึกว่าอาจจะเป็นแบบนั้น”
  ต้วนหลิงเทียนพยักหน้า “แต่เจ้าก็ไม่ต้องกังวลไปหรอก ถึงแม้เจ้าจะแพ้การประลองนัดที่ 3 แต่ก็ไม่มีทางรั้งท้ายจนตกไปเป็นศิษย์ฝ่ายนอกหรอก”
  “จริงของเจ้า”
  หลังได้ยินคำพูดของต้วนหลิงเทียน โหวชิ่งหนิงก็รู้สึกดีขึ้นมาก
  ด้านมู่หรงอวิ๋นเยว่ คุณหนู 3 แห่งตระกูลมู่หรงเอง ก็มีสถานการณ์คล้ายๆกับโหวชิ่งหนิง แม้นางจะแข็งแกร่งกว่าโหวชิ่งหนิงอยู่บ้าง แต่ความแข็งแกร่งของนางก็มีจำกัดนัก
  “ต้วนหลิงเทียน พรุ่งนี้ข้าได้ออกไปสู้แน่ เจ้าเองก็น่าจะต้องขึ้นสังเวียนเหมือนกัน”
  ติงเหยียนหันไปยิ้มกล่าวกับต้วนหลิงเทียน
  “น่าจะ”
  ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับ “ก็ดีเหมือนกัน ข้าได้แต่ดูคนตีกันมาสองสามวันแล้ว แต่ไม่มีโอกาสได้ขึ้นไปสู้เลย นี่ก็เริ่มคันไม้คันมืออยากยืดเส้นยืดสายอยู่บ้าง…แค่ไม่ทราบว่าพวกมันจะจัดคู่ต่อสู้ระดับไหนมาให้ข้า”
  “ข้าว่าเจ้าไม่น่าแค่คันไม้คันมืออยากออกไปยืดเส้นยืดสายหรอกมั้ง อยากขึ้นไปทุบตีผู้คนมากกว่าล่ะสิ?”
  โหวชิ่งหนิงเบ้ปากกล่าวออกมา คล้ายจะมองเห็นความในใจของต้วนหลิงเทียนได้ปรุโปร่ง
  “เจ้าก็พูดเหมือนคู่ต่อสู้ข้าจะเป็นไก่อ่อนให้ข้าทุบตีง่ายๆไปได้…สุดท้ายก็เป็นคนที่อาวุโสของนิกายมังกรสวรรค์คัดมา หรือเจ้าคิดจะตั้งคำถามกับสายตาของพวกมันเล่า?”
  ต้วนหลิงเทียนส่ายหัว
  …
  อีกวันได้ผ่านพ้นไป
  รุ่งเช้าของวันใหม่ การแข่งขันมังกรซ่อนยังคงดำเนินสืบต่อ
  ในวันนี้แม้โหวชิ่งหนิงกับมู่หรงอวิ๋นเยว่จะมีอุปกรณ์เทพขั้นสูง แต่สุดท้ายก็พ่ายแพ้ไปในที่สุด และคนที่เอชนะทั้งคู่ก็เป็นศิษย์ฝ่ายในที่ใช้อุปกรณ์เทพขั้นกลางเท่านั้น
  แถมคู่ต่อสู้ของโหวชิ่งหนิง ยังมีปากเก่งหลังเอาชนะโหวชิ่งหนิงได้อีกด้วย “เฮอะ หากไม่ใช่เพราะเจ้าใช้อุปกรณ์เทพขั้นสูงล่ะก็ อาศัยพลังฝีมืออ่อนด้อยของเจ้า ข้าเกรงว่าคงแพ้ไปตั้งแต่นัดแรกแล้วกระมัง?”
  ด้านโหวชิ่งหนิงก็ไม่ได้โกรธอะไร “เจ้าอิจฉาก็บอกมาดีๆเถอะ แต่โทษทีหากเจ้าอยากมีอุปกรณ์เทพขั้นสูงมันก็ต้องอาศัยความสามารถเช่นกัน…แต่เท่าที่เห็นเจ้าไม่น่าจะมีนะ?”
  ศิษย์ฝ่ายในที่เดิมคิดจะล้อเลียนโหวชิ่งหนิงให้หัวเสี บัดนี้กลับกลายเป็นหัวร้อนเสียเอง
  “แถมเจ้าจะพูดเยอะทำอะไร ไม่ดูหรือไงว่าเจ้าอายุเท่าไหร่ แล้วข้าอายุเท่าไหร่…ช่างน่าขันนัก!”
  “คนที่มีอายุเกือบหมื่นปี กลับฝึกฝนมาได้แค่นี้ ข้าที่อายุไม่ถึง 5,000 ปีเห็นแล้วยังรู้สึกเวทนาจับใจ นี่ถ้าข้าเป็นเจ้านะ ข้าเอาหัวไปโขกเต้าหูตายแล้ว…”
  ต้องกล่าวเลยว่าปากของโหวชิ่งหนิงเป็นพิษมาก ศิษย์ฝ่ายในคนนั้นถึงกับเดือด ปะทุพลังปรี่ร่างเข้ามาหมายทุบตีโหวชิ่งหนิงอีกครั้ง แต่ด้วยแรงกดดันพลังจากอาวุโสฝ่ายในของนิกายมังกรสวรรค์ข้างเวที สุดท้ายมันก็ไม่กล้าลงมือทำอะไรโหวชิ่งหนิง
  “ทั้งๆที่เจ้าแพ้มาแท้ๆ แต่ไหงดูเหมือนเจ้าชนะเลยล่ะ”
  หลังโหวชิ่งหนิงกลับมา ติงเหยียนก็หัวเราะกล่าวอย่างถูกใจ
  “ฮึ่ม ไอโง่นั่นมันแส่หาเรื่องเอง”
  โหวชิ่งหนิงกลอกตาเบ้ปาก จากนั้นก็นำอุปกรณ์เทพขั้นสูงเก็บใส่แหวนพื้นที่ที่ต้วนหลิงเทียนให้มา จากนั้นก็ส่งแหวนดังกล่าวคืนให้ต้วนหลิงเทียน
  “ต้วนหลิงเทียน ขอบคุณเจ้ามาก”
  “ครั้งนี้เป็นเจ้าให้ข้ายืมอุปกรณ์เทพขั้นสูง…ครั้งหน้าข้าจะเป็นฝ่ายมอบอุปกรณ์เทพขั้นสูงให้เจ้าเอง!”
  ขณะกล่าวประโยคนี้ ท่าทีของโหวชิ่งหนิงก็แลดูจริงจังนัก
  “เจ้า?”
  ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมา พลางยิ้มกล่าวอย่างหยอกล้อ “ข้าว่าเจ้ารอให้ข้าเป็นฝ่ายมอบอุปกรณ์เทพขั้นสูงให้เจ้าจะง่ายกว่า เพราะกว่าจะถึงตอนที่เจ้าสามารถหาอุปกรณ์เทพขั้นสูงมาให้ข้าได้ ตอนนั้นข้าคงทะลวงไปถึงขอบเขตจักรพรรดิเทพแล้ว”
  “ถึงตอนนั้นเจ้าว่าข้ายังจะขาดอุปกรณ์เทพขั้นสูงอีกไหมเล่า?”
  คำพูดเกทับของต้วนหลิงเทียนก็ทำให้โหวชิ่งหนิงได้แต่กระพริบตาปริบๆอย่างไร้คำจะกล่าวไปพักหนึ่ง สุดท้ายก็โพล่งออกมาอย่างมั่นใจว่า “เพ่ย! ต่อให้เจ้าทะลวงถึงขอบเขตจักรพรรดิเทพแล้วอย่างไร แต่ถ้าตอนนั้นข้าหาอุปกรณ์เทพขั้นสูงที่ตคั้งครรภ์วิญญาณมาให้เจ้าได้เล่า เจ้ายังไม่เอารึ?”
  จังหวะนี้ติงเหยียนหรือแม้แต่มู่หรงอวิ๋นเยว่เองก็ไม่มีใครทนฟังคำโม้ของโหวชิ่งหนิงได้อีกต่อไป ติงเหยียนเบ้ปากมองบน ส่วนมู่หรงอวิ๋นเยว่ก็รู้สึกอายแทน
  ด้านต้วนหลิงเทียนแค่ส่ายหัวไปมาด้วยรอยยิ้มเท่านั้น
  อุปกรณ์เทพขั้นสูงที่ตั้งครรภ์วิญญาณ?
  เขายังต้องการไปทำอะไร เพราะเขามีอุปกรณ์เทพขั้นสูงสุดที่มีจิตวิญญาณอยู่แล้ว…
  “ถึงตาข้าแล้ว!”
  ทันใดนั้นเอง ติงเหยียนที่กวาดตามองไปยังสังเวียนกลางหาวทั้ง 10 ผ่านๆ อยู่ก็ชะงัก สองตายังลุกวาวขึ้นมา เพราะมันสังเกตเห็นว่าชื่อมันปรากฏขึ้นบนสังเวียนแห่งหนึ่ง
  จากนั้นติงเหยียนก็กล่าวบอกพวกต้วนหลิงเทียนทั้ง 3 ก่อนจะเหินร่างขึ้นสังเวียนไปอย่างคึกคัก