ในขณะที่เซวียหมิงจื่อกับกวงเทียนเจิ้ง หารือกันเรื่องจะล่อต้วนหลิงเทียนออกไปฆ่านอกนิกายมังกรสวรรค์
ด้านนิกายมังกรสวรรค์ก็ได้ต้อนรับกลุ่มแขกไม่ได้รับเชิญ
และแขกไม่ได้รับเชิญกลุ่มนี้ ก็คือคนจากนิกายมหาเอกะ ทั้งมีประมุขนิกายมหาเอกะนามาด้วยตัวเอง ไม่ต่างอะไรจากเมื่อไม่กี่ปีก่อนตอนที่นาคนมาท้านิกายมังกรสวรรค์ทาศึกจักรพรรดิ
“ประมุขหลัว ศึกจักรพรรดิก็เริ่มต้นขึ้นแล้ว…มิทราบท่านมานิกายมังกรสวรรค์ของข้าด้วยเหตุอันใดหรือ?”
เมื่อประมุขนิกายมหาเอกะมาเอง หลงฉิงชง ในฐานะประมุขนิกายมังกรสวรรค์ก็ต้องออกมาต้อนรับอีกฝ่ายด้วยตัวเอง
ประมุขนิกายมหาเอกะนั้น มีรูปลักษณ์เป็นชายวัยกลางคน แลดูสง่างาม หว่างคิ้วไม่ขาดความน่าเกรงขาม มันมองหลัวฉิงชงที่ยื่นอยู่ไม่ไกลพลางยิ้มตอบ “ประมุขหลง ศึกจักรพรรดิครั้งนี้ เรื่องราวภายในสนามรบราชาเทพดูเหมือนจะรุนแรงมิน้อย ยังสูญเสียไปแล้วกว่าร้อยคนในเวลาอันสั้น…”
ในขณะที่ประมุขนิกายมหาเอกะเกริ่นถึงจุดนี้ ประมุขนิกายมังกรสวรรค์ก็เอ่ยขัดออกมาเสียก่อน “ประมุขหลัว เรื่องสูญเสีย 100 กว่า
คนท่านสมควรบอกว่ามีแต่นิกายมหาเอกะท่าน…เพราะนิกายมังกรสวรรค์ของข้า จานวนผู้ตายพึ่งจะถึงหลักร้อยเท่านั้น…”
หลงฉิงชง ตั้งใจกล่าวแย้ง
ได้ยินคากล่าวแย้งของหลงฉิงชง ประมุขนิกายมหาเอกะก็ไม่ได้โกรธอะไร เพียงยิ้มบางๆกล่าวว่า “ประมุขหลง บางเรื่องที่รู้ๆกันอยู่ก็คงไม่จาเป็นต้องพูดกระมัง…”
“หากนิกายมหาเอกะของข้าไม่เรียกตัวซีเหมินหลงเซี่ยงกลับมา ศิษย์ราชาเทพของนิกายท่านอย่างไรก็ต้องตกตายอีกหลายคน…”
ได้ยินคาพูดดังกล่าวของประมุขนิกายมหาเอกะ หลงฉิงชงก็หัวเราะออกมาทันที “ประมุขหลัว นี่ท่านคิดล้อข้าเล่นหรือไร?”
“ยังมีผู้ใดไม่ทราบบ้าง ว่าหากเข้าสู่สนามรบทั้ง 3 ที่อยู่ในระนาบศึกจักรพรรดิแล้ว จักมิอาจติดต่อกันได้…ไม่ว่าจะด้านนอกติดต่อไปหาก็ดี หรือด้านในติดต่อออกมาก็ดี”
“เช่นนั้นช่วยบอกข้าทีเถอะ นิกายมหาเอกะท่านจักเรียกซีเหมินหลงเซี่ยงกลับมาได้อย่างไร?”
กล่าวถามจบคา หลงฉิงชงก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมาดังร่า
ประมุขนิกายมหาเอกะ ส่ายหน้าไปมาช้าๆ ค่อยกล่าวเสียงเรียบ “ประมุขหลง หรือท่านไม่รู้ว่าใต้หล้านี้ ผู้ที่เป็นฝาแฝดกันบางคู่อาจมี
ความสามารถส่งกระแสจิตถึงกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหนึ่งในคู่แฝดบรรลุถึงขอบเขตเทพแล้ว กระแสจิตที่ว่ายังแรงขึ้น…”
“เมื่อคู่แฝดตกอยู่ในอันตรายที่เกี่ยวพันกับความเป็นตาย…ย่อมสัมผัสได้ทันที”
ได้ยินคาพูดดังกล่าวของประมุขนิกายมหาเอกะ หลงฉิงชงประมุขนิกายมังกรสวรรค์ก็มองลึกไปยังอีกฝ่ายทันที “ประมุขหลัว ท่านกล่าวเช่นนี้ คิดจะบอกข้าว่าซีเหมินหลงเซี่ยงผู้นั้นมีพี่ชายฝาแฝดในนิกายหรือ?”
หลงฉิงชงย่อมเข้าใจในสิ่งที่อีกฝ่ายจะสื่อ
เพราะในนิกายมังกรสวรรค์เองก็มีคู่แฝดที่มีความสามารถดังกล่าว
นอกจากนั้นยังไม่ใช่แค่คนเดียวด้วย กระทั่งในบันทึกประวัติศาสตร์ของนิกายก็มีคู่แฝดที่สามารถส่งกระแสจิตถึงกันทานองนี้หลายคู่แล้ว
ประมุขนิกายมหาเอกะส่ายหัวไปมาเบาๆ “มิเชิง…เป็นน้องสาวฝาแฝด”
“ซีเหมินหลงเซี่ยงนั่นมีน้องสาวฝาแฝดนามว่าซีเหมินหวิน อีกทั้งๆคู่ยังกราบ ลู่จ่านถู อาจารย์ลุงข้าเป็นอาจารย์…และอาจารย์ลุงของข้าก็ใช้ซีเหมินหวิน เพื่อเรียกตัวซีเหมินหลงเซี่ยงให้กลับออกมาจกสนามรบราชาเทพเมื่อไม่กี่วันที่ก่อน”
อันที่จริงหลงฉิงชงประมุขนิกายมังกรสวรรค์เองก็ได้ยินเรื่องที่ซีเหมินหลงเซี่ยงกลับออกมาจากสนามรบราชาเทพเมื่อไม่กี่วันก่อนแล้วเช่นกัน แค่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายจะกลับมาเพราะถูกเรียก
ที่ไฉนรู้ได้ เพราะในนิกายมหาเอกะก็มีคนของนิกายมังกรสวรรค์แฝงตัวเป็นสายมากกว่าหนึ่งคน
และพอดีมีสายคนหนึ่งที่สังเกตเห็นการกลับออกมาจากสนามรบราชาเทพของซีเหมินหลงเซี่ยงเมื่อไม่กี่วันก่อน จึงส่งข่าวมาให้นิกายทราบ
เมื่อครู่เหตุผลที่มันไม่เชื่อคาพูดของประมุขนิกายมหาเอกะ เพราะมันคิดว่าอีกฝ่ายก็แค่ฉกฉวยสถานการณ์ให้เป็นประโยชน์ และใช้เรื่องที่ซีเหมินหลงเซี่ยงพึ่งกลับออกมาเป็นข้อต่อรอง
แต่คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าที่แท้ซีเหมินหลงเซี่ยงจะมีน้องสาวฝาแฝด
“แล้วอย่างไร?”
หลงฉิงชงมองลึกไปทางประมุขนิกายมหาเอกะ “ประมุขหลัว นี่ท่านคงไม่ถ่อมาบอกเรื่องนี้กับข้าถึงที่นี่กระมัง…หรือที่แท้ท่านคิดจะให้ต้วนหลิงเทียนกับซีเหมินหลงเซี่ยงประลองเป็นตายกัน?”
หลงฉิงชงย่อมรู้ดีแก่ใจ ว่าการเข้าสู่สนามรบราชาเทพของซีเหมินหลงเซี่ยงนั้น 9 ใน 10 ไม่พ้นเข้าไปเพื่อฆ่าต้วนหลิงเทียน!
เพียงแค่สนามรบราชาเทพมันกว้างใหญ่ไพศาลเกินไป ความน่าจะเป็นที่คนสองคนจะพบกันในนั้นมันมีน้อยมาก
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากต้วนหลิงเทียนได้กลับออกมาจากสนามรบราชาเทพแล้ว มันก็รู้ดีว่านิกายมหาเอกะคงไม่ปล่อยให้ซีเหมินหลงเซี่ยงเป็นดั่งแมลงวันหัวขาดอยู่ในสนามรบราชาเทพ
ถึงแม้ในขณะที่ตามหาตัวต้วนหลิงเทียน ซีเหมินหลงเซี่ยงอาจมีโอกาสฆ่าศิษย์นิกายมังกรสวรรค์ได้อีกหลายคน แต่ก็ไม่มีความหมายอะไร
“หากเป็นเรื่องนั้น ข้าเกรงว่าคงไม่อาจรับปากท่านได้”
ไม่รอให้ประมุขนิกายมหาเอกะทันได้พูดอะไร หลงฉิงชง ก็ส่ายหัวไปมาพลางกล่าวสืบต่อ “เรื่องเช่นนี้ ต้องให้เจ้าตัวตัดสินใจเอง ข้าไม่มีอานาจตัดสินใจแทนต้วนหลิงเทียนหรอก”
หากเป็นศิษย์ธรรมดาๆของนิกายมังกรสวรรค์ หลงฉิงชงอาจสามารถตัดสินใจแทนได้อยู่บ้าง
อย่างไรก็ตาม กับต้วนหลิงเทียนนั้นมันต่างกัน
มันเองก็เชื่อว่าในนิกายมหาเอกะนั้น แม้แต่ประมุขนิกายมหาเอกะเอง ก็ไม่อาจตัดสินใจแทนซีเหมินหลงเซี่ยงได้
“ประมุขหลง ท่านกาลังเข้าใจข้าผิด…”
ประมุขนิกายมหาเอกะส่ายหัวไปมา “ที่ข้ามาหาท่านครานี้ มิได้จะมาเสนอให้ต้วนหลิงเทียนประลองเป็นตายกับซีเหมินหลงเซี่ยง เพียงแค่คิดจะมาหารือเรื่องบางอย่างกับท่านเท่านั้น”
“อ้อ?”
สองตาหลงฉิงชงทอประกายเรืองขึ้นวูบหนึ่ง
“ประมุขหลง…”
ประมุขนิกายมหาเอกะชักสีหน้าจริงจัง เอ่ยคาเสียงหนัก “ท่านสมควรรู้แล้วว่าความแข็งแกร่งของซีเหมินหลงเซี่ยงกับต้วนหลิงเทียนนั้น…การเข้าสู่สนามรบราชาเทพมันออกจะไม่เป็นธรรมกับคนอื่นๆอยู่บ้าง เพราะต่อให้เป็นคนกลุ่มใหญ่ก็ไม่แน่ว่าจะรอดพ้นความตายใต้เงื้อมมือทั้งคู่”
“เว้นเสียแต่จะเป็นกลุ่ม 100 คน…”
กล่าวถึงจุดนี้ ประมุขนิกายมหาเอกะก็ไม่คิดอ้อมค้อม เลือกจะเปิดประตูเห็นภูผากล่าวออกมาตรงๆ “ที่ข้ามาหาท่านครั้งนี้ เพียงเพราะคิดหารือกับนิกายมังกรสวรรค์ เรื่องที่นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ซีเหมินหลงเซี่ยงจักไม่เข้าสู่สนามรบราชาเทพอีก…”
“กลับกัน ฝั่งท่านก็ต้องไม่อนุญาตให้ต้วนหลิงเทียนเข้าสู่สนามรบราชาเทพเช่นกัน”
ประมุขนิกายมหาเอกะเผยวัตถุประสงค์การมาครั้งนี้
หลงฉิงชงที่ได้ยินข้อเสนอดังกล่าว สองตาก็เป็นประกาย “แล้วซีเหมินหลงเซี่ยงเห็นด้วยกับเรื่องนี้หรือยัง?”
“หากมันไม่เห็นด้วย ข้าคงไม่อยู่ที่นี่”
ประมุขนิกายมหาเอกะกล่าวคาเป็นมั่นเหมาะ
“เรื่องนี้…นิกายมังกรสวรรค์เราต้องขอถามเจ้าตัวดูก่อน”
หลงฉิงชงกล่า
“นั่นเป็นเรื่องธรรมดา”
…
ต้วนหลิงเทียนที่เดิมกาลังกักตัวฝึกฝนอยู่ ก็ถูกใครบางคนปลุกให้ตื่น และคนที่ปลุกเขาก็ไม่ใช่ใครอื่น เป็นเซวียไห่ชวน
“พี่ไห่ชวน ท่านมีเรื่องอันใดหรือ?”
ในสายตาต้วนหลิงเทียน การที่เชวียไห่ชวนถึงกับมาหาเขาถึงบ้านและปลุกเขาโดยตรงแบบนี้ ต้องมีเรื่องอะไรสาคัญแน่นอน
“เป็นท่านประมุขขอให้ข้ามา…”
เชวียไห่ชวนถอนหายใจ “ท่านประมุขให้ข้ามาถามเจ้าว่า…เจ้าไม่เข้าไปในสนามรบราชาเทพแล้วได้หรือไม่? หากได้ท่านประมุขจะมอบคะแนนอุทิศให้เจ้า 200,000 แต้ม”
“ทาไมล่ะ?”
ต้วนหลิงเทียนย่อมงุนงงกับคาขอดังกล่าวของประมุขนิกายมังกรสวรรค์เป็นธรรมดา อย่างไรก็ตามเดิมทีเขาก็วางแผนจะรอเข้าสนามรบจอมราชันเทพอยู่แล้ว ส่งเชวียไห่ชวนมาถามเรื่องนี้กับเขายังต่างอะไรกับเอาคะแนนอุทิศมาแจก?
“หากเจ้าตกลง ด้านนิกายมหาเอกะก็จะสั่งห้ามไม่ให้ซีเหมินหลงเซี่ยงเข้าสู่สนามรบราชาเทพอีกต่อไป เพราะเจ้าเล่นฆ่าศิษย์นิกายมหาเอกะในสนามรบราชาเทพไปเป็นร้อย ส่วนซีเหมินหลงเซี่ยงนั่นแม้จะฆ่าได้น้อยกว่าเจ้า และฆ่าไปแค่ 60 คน แต่นั่นเป็นเพราะมันเข้าสู่สนามรบราชาเทพหลังเจ้า”
“หาไม่แล้ว เกรงว่าคนที่มันฆ่าได้ ก็ไม่น่าจะน้อยไปกว่าเจ้า”
เชวียไห่ชวนกล่าว
“ที่แท้เป็นแบบนี้…”
ต้วนหลิงเทียนอึ้ง
เรื่องตัวตนของซีเหมินหลงเซี่ยงนั้น เขาได้ยินมาตั้งแต่ตอนอยู่ในระนาบศึกจักรพรรดิแล้ว กล่าวได้ว่าหลังเขาออกจากสนามรบราชาเทพมา ก็ได้ยินคนเอ่ยถึงซีเหมินหลงเซี่ยงพอสมควร
ขณะที่เขาอยู่ในเมืองสันติ ยังมีศิษย์นิกายมหาเอกะซุบซิบคุยกันหนาหู ว่าเขาไม่ได้พบเจอกับซีเหมินหลงเซีย่งในสนามรบราชาเทพแน่นอน หาไม่แล้วเขาคงไม่มีโอกาสรอดออกมาทั้งยังมีลมหายใจ!
นอกจากนั้นหลังจากฟังตงฟางเหยียนเหนียนเล่า เขาก็ได้ทราบว่าซีเหมินหลงเซี่ยงคืออัจฉริยะอันดับ 1 ของนิกายมหาเอกะ!
“พี่ไห่ชวน ท่านบอกประมุขได้เลยว่าข้าตกลงเรื่องที่จะไม่เข้าสู่สนามรบราชาเทพ…อย่างไรก็ตาม ข้าไม่อยากได้คะแนนอุทิศ 200,000 แต้ม แต่ข้าขอเป็นสมุนไพรแทน”
เอ่ยถึงจุดนี้ ต้วนหลิงเทียนก็ให้รายชื่อสมุนไพรที่เขาต้องการกับเชวียไห่ชวน ซึ่งสมุนไพรทั้งหมดนั้นค่อนข้างเป็นอะไรที่หายากพอสมควร แถมบางอย่างก็มีให้แลกในเมืองสันติอย่างเดียว ไม่มีให้แลกในนิกายมังกรสวรรค์
สมุนไพรที่เขาต้องการเหล่านั้นแค่อย่างเดียวก็ต้องใช้แต้มรบนับพันแล้ว ต้วนหลิงเทียนย่อมไม่อาจหาแต้มรบมากขนาดนั้นจากสนามรบราชาเทพได้ในเวลาอันสั้น ก็เลยได้แต่ต้องเอ่ยปากขอไปแบบนี้
อันที่จริงสมุนไพรที่เขาต้องการ ไม่ใช่ว่านิกายมังกรสวรรค์จะไม่เคยมี และตอนที่มีให้แลกคะแนนอุทิศที่ต้องใช้ก็มีแค่ราวๆแสนแต้มเท่านั้น
อนิจจาเพราะมันหายาก ตอนนี้ทางนิกายเลยไม่มีให้แลก
เว้นเสียแต่นิกายมังกรสวรรค์ จะส่งคนไปยังเมืองใหญ่ไกลห่าง และใช้หินเทพไม่ก็ผลึกเทพรวมถึงของอย่างอื่นเพื่อหาซื้อหรือแลก มิฉะนั้นเขาก็ได้แต่ต้องพึ่งโชค และรอให้มีคนนามาแลกเปลี่ยนในตาหนักกิจการฝ่ายในเท่านั้น
“สมุนไพรที่ข้ากล่าวถึง ต้องหามาให้ข้าภายใน 3 ปี”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวกาชับเพิ่มอีกประโยค
เพราะเขาลองคานวณดูอัตราก้าวหน้าของการบ่มเพาะพลังในปัจจุบัน หลังจากนี้ 3 ปี หากเขาได้สมุนไพรเหล่านั้นมา ก็จะสามารถนามาหลอมเป็นโอสถเสริมการบ่มเพาะที่สาคัญได้
ถึงตอนนั้นเขาก็จะทะลวงถึงขอบเขตจอมราชันเทพได้ในคราวเดียว!
“ข้าจะลองถามท่านประมุขดู”
เชวียไห่ชวนกล่าวจบคา มันก็ส่งข้อความไปหา หลงฉิงชง ประมุขนิกายมังกรสวรรค์ทันที ด้านหลงฉิงชงหลังนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก็เห็นด้วย “บอกต้วนหลิงเทียนไป ว่าข้าตกลง”
ขณะส่งข้อความตอบเชวียไห่ชวน หลงฉิงชง ก็รู้สึกปวดตับนัก เพราะก่อนหน้านี้มันได้มอบคะแนนอุทิศให้ต้วนหลิงเทียนไปตั้ง 300,000 แต้มแล้ว
หากไม่ใช่เพราะว่าต้วนหลิงเทียนได้รับคะแนนอุทิศ 300,000 แต้มไปก่อนหน้า อีกฝ่ายคงไม่ปฏิเสธคะแนนอุทิศ 200,000 แต้ม และเลือกจะขอสมุนไพรที่ทาให้บังเกิดความยุ่งยากแทนเช่นนี้
นับว่ามันทุ่มหินทับเท้าตัวเองจริงๆ
“พี่ไห่ชวน ฝ่กท่านขอบคุณประมุขแทนข้าด้วย”
หลังได้ยินคาตอบของประมุขจากเชวียไห่ชวน ต้วนหลิงเทียนก็คลี่ยิ้มสดใส จากนั้นก็คล้ายนึกอะไรได้ออก จึงพูดต่อว่า “จริงสิพี่ไห่ชวน ข้าเจอแม่นาง 7 ในสนามรบราชาเทพแล้ว ตอนนี้นางสบายดีทั้งยังเป็น 1 ใน 2 หัวหน้ากลุ่ม 100 คนอีกด้วย กาลังรบระดับนี้ไม่น่าจะมีปัญหาอะไรในสนามรบราชาเทพ”
“ข้าทราบแล้ว”
เชวียไห่ชวนพยักหน้า มันเองก็รู้เรื่องที่แม่นาง 7 เป็นหัวหน้ากองร้อยร่วมกับศิษย์ราชาเทพอีกคนมาก่อนแล้ว
“พี่ไห่ชวน ท่านกับนางดูเหมือนจะสนิทกันไม่น้อยเลยนะ?”
ต้วนหลิงเทียนหยีตาเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“ไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิดหรอก”
เห็นสายตาแฝงความนัยของต้วนหลิงเทียน เชวียไห่ชวนก็ส่ายหัวไปมา “นางเป็นลูกสาวของสหายเก่าข้า ครั้งสุดท้ายที่พบกัน นางก็ได้นาคาพูดที่มารดาของนางฝากไว้มาบอกข้า”
“ที่ข้าฝากฝังให้เจ้าดูแลนาง เพราะข้ารู้สึกผิดกับมารดานาง”
พอคิดถึงเรื่องราวในอดีต เชวียไห่ชวนก็ได้แต่ถอนหายใจออกมา
“เข้าใจแล้ว”
ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจเรื่องราวได้ไม่ยาก
จากนั้นพอเห็นว่าเชวียไห่ชวนมีอารมณ์ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก ต้วนหลิงเทียนก็พูดอีกไม่กี่คา จากนั้นก็ลาเชวียไห่ชวนก่อนจะกลับไปปิดด่านบ่มเพาะต่อ
ในการฝึกฝนบ่มเพาะ วันเวลาเสมือนถูกลืมเลือนไปโดยสิ้นเชิง
…
ครึ่งปีต่อมา
ที่ไหนสักแห่งในนิกายมังกรสวรรค์ ปรากฏเสียงชราเอ่ยขึ้น น้าเสียงยังฟังดูเด็ดเดี่ยวนัก “ลงมือเลยเถอะ”
“สร้างสถานการณ์หลอกล่อมัน…พยายามปล่อยข้อมูลเรื่องเทพซ่อนของตัวตนระดับจักรพรรดิเทพออกไป กระทั่งเปรยว่าอาจจะเป็นเทพซ่อนของจักรพรรดิเทพขั้นสูง ข้าไม่เชื่อว่ามันจะไม่สนใจ”
มีปัญหาเรื่องสระอำเดี๋ยวมาแก้ทีหลังเน้อ