ตอนที่ 1 กองตรวจการณ์ (1)
ณ เมืองหยิน
กองตรวจการณ์
หลี่ฮ่าวเป็นชายหนุ่มร่างผอมแห้ง ขอบตาเขาดำเล็กน้อยราวกับอดหลับอดนอนมาเมื่อคืน
เขาอยู่ในชุดเครื่องแบบของผู้ตรวจการณ์ระดับสาม หลี่ฮ่าวสาวเท้าเดินเข้าโซนทำงานของกองตรวจการณ์
ในฐานะสมาชิกกึ่งใหม่ที่เพิ่งเข้ามาทำงานในกองตรวจการณ์ได้เพียงหนึ่งปีคนหนึ่ง หลี่ฮ่าวมีประสบการณ์ในด้านนี้ไม่มากนัก ปกติเขาจึงมาเช้ากว่าคนอื่นเพื่อทำความสะอาดง่ายๆ แล้วค่อยต้มน้ำรอเพื่อนร่วมงานคนอื่นมาทำงาน
แต่วันนี้หลี่ฮ่าวมาสายกว่าปกติเล็กน้อย ดังนั้นที่ทำงานในตอนนี้จึงมีคนมาถึงไม่น้อยแล้ว
ครั้นเห็นหลี่ฮ่าวเดินเข้ามา ก็มีคุณป้าวัยกลางคนในชุดเครื่องแบบเหมือนเขาคนหนึ่งนั่งตรงโต๊ะทำงานหน้าประตูเผยสีหน้ากระตือรือร้นแฝงรอยยิ้มยียวนเล็กน้อย ก่อนเอ่ยถามเชิงหยอกเย้าว่า “เสี่ยวฮ่าว วันนี้มาสาย แถมขอบตาดำมาขนาดนี้ เมื่อคืนไปเที่ยวกลางคืนมาใช่ไหม”
หลี่ฮ่าวส่งยิ้มใสซื่อราวกับไม่เข้าใจแล้วรีบยกมือบอกปัด “พี่อวี้ อย่าพูดซี้ซั้วไป ผมยังไม่ได้หาแฟนเลยนะ พี่พูดแบบนี้วันหลังคงไม่มีใครแต่งงานกับผมแน่เลย!”
“ฮ่าๆ เด็กอย่างเธอนี่นะ อยู่กองตรวจการณ์มาตั้งหนึ่งปีแล้วยังรับมุกไม่ทันอีก”
เหมือนคุณป้าวัยกลางคนจะชอบหยอกเอินหลี่ฮ่าวพอตัว
พอเห็นแววตาของหลี่ฮ่าวซึ่งแตกต่างจากคนอื่นอยู่บ้างจึงหัวเราะชอบใจอยู่พักหนึ่ง ฉับพลันก็เอ่ยคำพูดเดิมๆ ขึ้นอีกครั้งว่า “เสี่ยวฮ่าว ปกติอยู่คนเดียวไม่มีเวลาทำกับข้าว กินอาหารข้างนอกก็ไม่สะอาด เดี๋ยวไปกินที่บ้านฉันแล้วกัน”
ใบหน้าหลี่ฮ่าวผุดรอยยิ้มขึ้นมาอีกครั้งแต่ก็ยังคงปฏิเสธอีกฝ่าย “พี่อวี้ ไม่รบกวนพี่หรอกครับ”
พี่อวี้ยังไม่ทันได้เปิดปากพูด ก็ปรากฏหนุ่มร่างใหญ่กำยำคนหนึ่งหัวเราะเย้ยใส่จากมุมที่ไม่ไกลนักแล้วเอ่ยแทรกขึ้นว่า “เสี่ยวฮ่าว พี่อวี้ของนายเรียกให้นายไปกินข้าวด้วยใช่ไหมล่ะ? คงเรียกให้นายไปถวายตัวเป็นลูกเขยถึงที่มากกว่า ทำไมเด็กอย่างนายไม่ให้เกียรติเลยนะ!”
“ฮ่าๆ!”
วินาทีนั้นก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้นมาจากคนในที่ทำงานอย่างพร้อมเพรียง
ต่อให้พี่อวี้ถูกเปิดโปงเจตนาเช่นนั้นแต่กลับไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนใจเลยสักนิด หล่อนถลึงตาแล้วกล่าว “ฉันพอใจนี่! เสี่ยวฮ่าวดีจะตาย นิสัยก็ดี สมองก็ดี รูปลักษณ์ก็ดี ถ้ามาเป็นลูกเขยฉันจริงๆ ฉันคงยิ้มอย่างสุขใจในความฝันจนตื่นด้วยซ้ำ!”
พอคำพูดนี้หลุดออกมาจากปากพี่อวี้ ทุกคนก็กลับมาขำก๊ากอีกครั้ง อีกทั้งยังมีคนไม่น้อยที่พยักหน้าเห็นด้วย
หลายคนมั่นใจในตัวเจ้าเด็กหลี่ฮ่าวคนนี้มาก
หนุ่มวัยกลางคนร่างสูงกำยำที่เข้ามาแทรกระหว่างบทสนทนาก่อนหน้านี้ถูกก่นด่าแต่เขาไม่สะทกสะท้าน ทว่ากลับเอ่ยด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย “เสี่ยวฮ่าวไม่เลวเลย แต่น่าเสียดายไปสักหน่อย!”
น่าเสียดายอะไรอย่างนั้นเหรอ?
พอคำพูดนี้หลุดออกมา คนอื่นๆ ก็พากันแสดงท่าทีเศร้าใจเล็กน้อย
แต่ตัวหลี่ฮ่าวกลับไม่ใส่ใจนัก เขาฉีกยิ้มสดใสกล่าว “พี่โจว ผมเป็นคนเลือกเอง มีอะไรให้น่าเสียใจกัน?”
หนุ่มวัยกลางคนร่างใหญ่กำยำแซ่โจวยังคงนึกเสียดายเลยถอนหายใจพลางเอ่ย “จะพูดแบบนั้นไม่ได้ เสี่ยวฮ่าว กองตรวจการณ์ไม่แย่ก็จริง แถมนายเข้ามาแค่ครึ่งปีก็ผ่านงานแล้ว ตอนนี้เป็นพนักงานระดับสามซึ่งสำหรับคนอื่นถือว่าดีอยู่ แต่ถ้าสมมตินายไม่ลาออกจากมหาวิทยาลัยกู่ย่วนประจำเมืองหยินแล้วเรียนต่อจนจบ จากนั้นค่อยเลือกเข้ามาทำงานในกองตรวจการณ์แบบนี้ อย่างน้อยตอนเริ่มเข้าทำงานก็น่าจะเป็นผู้ตรวจการณ์ระดับหนึ่งแล้ว!”
พอมีคนเอ่ยเช่นนี้ ทำให้คนอื่นๆ อยากจะร่วมผสมโรงด้วย
เฉินน่า หญิงสาวหน้าตาสะสวยหุ่นดีที่เพิ่งเดินผ่านประตูด้านหลังหลี่ฮ่าวเข้ามาพูดต่อทันทีว่า “นั่นสิ หลี่ฮ่าว นายอยู่ดีๆ จะลาออกก่อนทำไม? นายดูพวกเราสิ อยากสอบเข้ามหาวิทยาลัยกู่ย่วนประจำเมืองหยินยังไม่มีโอกาสเลย เหลืออีกแค่สองปีก็เรียนจบแล้ว ผู้ตรวจการณ์ระดับสามอย่างพวกเราถ้าจะเลื่อนขึ้นไปเป็นผู้ตรวจการณ์ระดับหนึ่ง ต่อให้ราบรื่นขนาดไหน ถ้าทำงานไม่ถึงห้าปีขึ้นไปก็หมดโอกาส แต่ถ้าไม่ราบรื่นทำงานทั้งชีวิตได้เลื่อนเป็นผู้ตรวจการณ์ระดับหนึ่งได้ก็ถือว่าดีมากแล้ว!”
ในคำพูดแฝงด้วยความอิจฉาอยู่บ้าง อิจฉานักศึกษาที่จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยกู่ย่วนประจำเมืองหยิน
ทั้งยังเสียดายด้วยที่อีกแค่สองปีหลี่ฮ่าวก็จะเรียนจบแล้ว แต่จู่ๆ กลับลาออกก่อน แล้วเลือกเข้ามาทำงานในกองตรวจการณ์แทน
เรื่องหลี่ฮ่าวเข้ามาทำงานในกองตรวจการณ์ แม้แต่ผู้อำนวยการกองตรวจการณ์เมืองหยินยังเคยมาสอบถาม ถึงกระทั่งเกลี้ยกล่อมให้เขากลับไปเรียนต่อ ถ้าคิดจะมาทำงานที่นี่จริงๆ รอเรียนจบค่อยกลับมาสมัครสอบกองตรวจการณ์ก็ย่อมได้
น่าเสียดายที่ถึงแม้หลี่ฮ่าวจะว่าง่าย อายุยังน้อย มีมารยาท แต่เรื่องนี้กลับหัวรั้นเหลือเกิน
เขาที่เป็นคนว่าง่ายมาตลอดกลับไม่รับปากว่าจะกลับไปเรียนต่อเลยสักคำ
กระทั่งเฉินน่ายังรู้ด้วยซ้ำว่าอาจารย์ที่ปรึกษาของหลี่ฮ่าวยังเคยเกลี้ยกล่อมไม่ให้เขาลาออก เพราะอนาคตของเขานั้นจะไปได้อีกไกล
ครั้นได้ฟังทุกคนถกเถียงเรื่องของตน ใบหน้าของหลี่ฮ่าวก็ยังคงแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มเช่นเคย
พอเขาเดินมายังมุมหนึ่งก็เริ่มต้มน้ำ เขาทำงานวุ่นๆ พลางยิ้มตอบกลับไปว่า “เริ่มทำงานเป็นผู้ตรวจการณ์ระดับสามก็ดีมากเหมือนกันไม่ใช่เหรอครับ? อีกอย่างถ้ารอจนเรียนจบจากมหาวิทยาลัยกู่ย่วนแล้วค่อยเข้ามาคงจะรู้จักพวกพี่ๆ ช้าไปตั้งสองปีไม่ใช่เหรอครับ? แบบนั้นคงเศร้าใจแย่เลย”
“ฮ่าๆ พูดถูกแฮะ!”
ทุกคนต่างหัวเราะพรืดออกมาในทันที คำพูดนี้ช่างน่าฟังเหลือเกิน
หลี่ฮ่าวปากหวาน อายุก็ยังน้อย ปีนี้อายุเพิ่งครบยี่สิบปี นับว่าเป็นเด็กอายุน้อยที่สุดในกองตรวจการณ์แถมยังเป็นเด็กฉลาด พอได้ยินคำพูดเอาใจของเขาทุกคนก็พลอยรู้สึกสบายใจไปด้วย
เช้าตรู่วันนั้นในโซนทำงานของกองตรวจการณ์ก็เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะครึกครื้น
จากนั้นก็ไม่มีใครพูดถึงเรื่องที่หลี่ฮ่าวลาออกจากมหาวิทยาลัยกู่ย่วนประจำเมืองหยินอีก นั่นเพราะหลี่ฮ่าวเองก็ไม่ได้ใส่ใจนัก ดังนั้นทุกคนจึงไม่เอ่ยถึงอีก อย่างไรเสียการลาออกจากมหาวิทยาลัยกู่ย่วนถือเป็นเรื่องน่าเศร้าใจยิ่งใหญ่ในชีวิตเลยทีเดียว
สำหรับเรื่องที่ว่าตอนนั้นหลี่ฮ่าวคิดเช่นไร เหตุใดถึงเลือกเช่นนี้ ทุกคนต่างไม่กล้าเค้นถามอะไรมากนัก
หากตามที่หลี่ฮ่าวบอกก็คือเพื่อให้มีเงินเดือน เพราะค่าเล่าเรียนสูงเกินไปเลยเสียเงินไปไม่น้อย ดังนั้นเขาจึงไม่มีเงินแล้ว
แต่ในฐานะนักศึกษาของมหาวิทยาลัยกู่ย่วน หากค่าเล่าเรียนไม่พอ นับว่าเป็นเหตุผลจริงๆ เหรอ?
เสียงหัวเราะสนุกสนานก็ค่อยๆ เงียบลงเมื่อบรรดาหัวหน้าของกองตรวจการณ์มาถึง
สวัสดีครับ
ทางอิงค์สโตนได้รับทราบฟีดแบ็กเรื่องการแบ่งตอนจากนักอ่านแล้ว จึงอยากขอชี้แจงดังต่อไปนี้ครับ
เนื่องจากผลงานเรื่อง ในแต่ละตอนมีจำนวนตัวอักษรต้นฉบับภาษาจีนมาก ส่งผลให้ราคาขายต่อตอนซึ่งพิจารณาจากจำนวนตัวอักษรต้นฉบับตามเงื่อนไขสัญญาสูงตามไปด้วย โดยราคาเต็มอาจสูงถึง 15-20 บาทต่อตอน และอาจทำให้นักอ่านหลายท่านไม่สะดวกที่จะจ่ายในราคาต่อตอนที่สูงถึงขนาดนั้น ด้วยเหตุนี้ทางทีมงานจึงแบ่งตอนใหญ่ออกเป็นตอนย่อย เพื่อให้ราคาขายไม่สูงจนเกินไป และนักอ่านทุกคนสามารถเข้าถึงได้ครับ
ทางทีมงานขอขอบคุณฟีดแบ็กจากนักอ่านทุกท่าน และขออภัยในความไม่สะดวกด้วยครับ
ทีมงาน InkStone