ตอนที่ 8 แสดงละครเป็นต่างหากถือเป็นจุดแข็ง (2)
เงาดำร่างนั้นอยู่ในชุดสีดำตั้งแต่หัวจรดเท้าราวกับเป็นส่วนหนึ่งของราตรีนี้ มีเพียงดวงตาสีน้ำเงินคู่นั้นที่ชวนให้ขนลุก เขาสวมใส่หน้ากากผีเพื่อปิดบังใบหน้าทำให้ไม่อาจล่วงรู้ว่าคนภายใต้หน้ากากเป็นหญิงหรือชาย
“หลี่ฮ่าว เพื่อนร่วมชั้นและเพื่อนสนิทของจางหย่วน นักศึกษาชั้นปีที่สองของมหาวิทยาลัยกู่ย่วนประจำเมืองหยิน เมื่อปีที่แล้วหลังจากที่จางหย่วนตายเขาก็ลาออกจากมหาวิทยาลัยแล้วเอาแต่คอยตามสืบคดีของจางหย่วนมาโดยตลอด วันนี้เขารายงานเรื่องนี้ต่อหวังเจี๋ยหัวหน้ากองแฟ้มคดีโดยเชื่อมหกคดีไฟคลอกเข้าด้วยกันและหวังว่าจะไขคดีได้”
ข้อมูลที่เกี่ยวกับหลี่ฮ่าวปรากฏขึ้นในหัวของเงาดำร่างนั้นทันที
ความจริงหลี่ฮ่าวเตะตาคนพวกนี้ตั้งแต่เขาลาออกไปสมัครเข้ากองตรวจการณ์เมื่อปีที่แล้ว
ยิ่งไปกว่านั้นเหมือนจะไม่ใช่เพียงเท่านี้ หลี่ฮ่าวอาจจะเป็นตัวแปรสำคัญคนหนึ่งด้วย เพียงแต่เรื่องนี้ไม่ได้อยู่ในขอบเขตที่เงาทมิฬดูแลจึงยังไม่รู้ เพียงแต่มีคนกำชับเอาไว้ว่าอย่าเพิ่งผลีผลามทำอะไรหลี่ฮ่าวผู้นี้เพราะเก็บไว้อาจจะมีประโยชน์
เงาดำลอบคิดในใจ เขาผลีผลามลงมือไม่ได้จริงๆ
เมื่อครู่หลี่ฮ่าวคุยโทรศัพท์กับหยวนซั่วผู้เป็นอาจารย์ของเขาหรือ?
หยวนซั่วบุคลากรชั้นสูงเก่าแก่ของมหาวิทยาลัยกู่ย่วนประจำเมืองหยิน เขาเป็นคณะบดีคณะตามรอยอารยธรรมโบราณทำงานร่วมกับผู้พิทักษ์รัตติกาล ถือได้ว่าเป็นบุคลากรชั้นสูงจำนวนน้อยนิดของเมืองหยินที่สามารถติดต่อกับพวกผู้พิทักษ์รัตติกาลโดยตรง
“ไม่ต้องให้ใครมาบอกหรอกว่าทำอะไรหลี่ฮ่าวไม่ได้…”
เงาทมิฬค่อยๆ ขยับเข้าไปใกล้บ้านของจางหย่วน เขาเองก็อยากจะรู้ว่าหลี่ฮ่าวเข้าไปในนั้นทำไม?
เบาะแส?
คดีไฟคลอกจางหย่วนตายที่กู่ย่วน แล้วจะเจอเบาะแสในบ้านได้อย่างไรกัน?
หรือเพราะหาของบางอย่าง?
ส่วนเรื่องที่ว่าเขาหาอะไรนั้น เงาทมิฬเองก็มิอาจล่วงรู้ได้ แต่ภารกิจของเขาก็คือคอยจับตาดูทุกคนที่เข้าไปหรือแม้แต่เข้าใกล้บ้านของจางหย่วน
……
“เอ๋ง เอ๋ง!”
เสียงครางต่ำดังออกมาจากลำคอของเจ้าเสือดำ มันกัดขากางเกงหลี่ฮ่าวด้วยท่าทีร้อนรน
เหมือนกำลังจะฟ้องอะไรบางอย่าง
ใบหน้าหลี่ฮ่าวเรียบเฉยแต่ในใจกลับหวาดระแวงอย่างยิ่ง
มีใครเข้ามาใกล้เหรอ?
หรือว่าการที่ตนโทรคุยกับอาจารย์ยังไม่มากพอที่จะหยุดความคิดของคนพวกนั้นได้?
เขาไม่พูดอะไรมากแต่เอื้อมมือไปลูบหัวเจ้าเสือดำเบาๆ ปลอบมันอยู่ครู่ใหญ่แล้วถึงมองบ้านเก่ารกร้างของจางหย่วนให้เต็มตา
เป็นบ้านหลังที่ไม่เล็กไม่ใหญ่นัก
ตรงหน้าเขาก็คือห้องนอนใหญ่
ส่วนทั้งสองฝั่งขนาบด้วยห้องนอนเล็กของจางหย่วนฝั่งหนึ่งและห้องครัวอีกฝั่งหนึ่ง หลี่ฮ่าวคุ้นเคยกับที่นี่เป็นอย่างดีเพราะตอนเด็กๆ เขามาที่นี่อยู่บ่อยๆ หรือแม้แต่เขาจะโตแล้วก็ตาม ก่อนที่พ่อแม่ของเขาจะลาโลกไป ถึงบ้านหลังนี้จะไม่ได้ใหญ่โต ไม่เหมาะให้มาเล่นแต่เขาเองก็ยังมาที่นี่เสมอ
ครั้งนี้เป้าหมายหลักของหลี่ฮ่าวคือหินทรงมีดประจำตระกูล
เขากวาดตามองบ้านหลังนี้ก็สังเกตเห็นว่าเหมือนไม่มีใครเคยเข้ามาก่อน แต่เขามั่นใจว่าต้องเคยมีคนมาแน่นอน เอาแค่ตำแหน่งสิ่งของบางอย่างที่จัดวางเรียงไว้อาจดูเหมือนไม่มีอะไรผิดปกติ แต่เขากลับรู้แก่ใจดีว่าสิ่งของพวกนี้โดนคนแตะต้องมาก่อน
บ้านของจางหย่วน นอกจากเจ้าตัวแล้วก็คงจะเป็นหลี่ฮ่าวที่คุ้นเคยมากเป็นพิเศษ
กระทั่งต้นไม้เก่าแก่ที่มุมบ้านเองก็อาจมีคนเคยแตะต้องเพราะดูแล้วเหมือนเคยโดนขุดมาก่อน หลังจากนั้นจึงขุดหลุมปลูกต้นไม้กลับไปอีกครั้ง
‘หากว่าหินมีดยังอยู่ที่บ้านตระกูลจางย่อมไม่มีทางอยู่ที่ห้องนอนใหญ่หรือห้องนอนเล็กแน่นอน!’
หลี่ฮ่าวมาที่นี่บ่อยเขาย่อมรู้เรื่องนี้ดี หากว่าอยู่ตรงสองที่นั้นเขาคงจะเห็นไปนานแล้วและไม่มีทางจะจำไม่ได้ เขารื้อข้าวของในบ้านตระกูลจางอยู่บ่อยครั้ง ในตอนนั้นเขาเห็นบ้านหลังนี้เสมือนบ้านของตนเองโดยไม่คิดเกรงใจใดๆ
‘ครั้งสุดท้ายที่เห็นหินมีดก็คือตอนที่คุณอาจางฟาดเสี่ยวหย่วน จำได้ว่าตอนนั้นคุณอาจางโยนมันส่งๆ ลงพื้นแต่ไม่รู้ว่าหลังจากนั้นเขาได้เก็บขึ้นมาไหม’
หลี่ฮ่าวคิดย้อนไปเหมือนจำได้ลางๆ เหมือนว่าตอนนั้นจางหย่วนเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตนเองไปเก็บหินมีดก้อนนี้มาจากหลืบไหน
เกรงว่าพ่อของจางหย่วนเองก็คงจะจำไม่ได้ด้วยซ้ำกว่าก่อนหน้านี้ตนเองโยนหินก้อนนี้ไว้ที่ไหนจนบุตรชายเป็นคนไปเจอเข้า เขาเลยอาศัยโอกาสนี้ด่าบุตรชาย ส่วนเรื่องที่เป็นมรดกสืบทอดอะไรนั้นเกรงว่าคนเป็นพ่อก็คงไม่ได้ถือเป็นจริงเป็นจังด้วยซ้ำไป
ก็แค่หินเก่าๆ ก้อนหนึ่งเท่านั้น!
มรดกสืบทอดอะไรกัน?
ต่อให้ใช่ก็เถอะแต่ก็ไม่ได้มีมูลค่าอะไรแล้วเขาจะเอาของแบบนั้นมาทำอะไรได้ ถ้าจางหย่วนไม่รื้อออกมา บางทีทั้งชีวิตนี้เขาคงลืมก้อนหินประจำตระกูลที่สืบทอดต่อกันมาชิ้นนี้ด้วยซ้ำ
หลี่ฮ่าวค่อยๆ เดินสาวเท้าช้าๆ ตามความทรงจำที่เลือนรางตรงไปยังมุมหนึ่งของตัวบ้าน
ที่นั่นมีหินกองกันเป็นพะเรอเกวียน เดิมทีหินกองนี้ใช้เพื่อซ่อมแซมกำแพง
หลี่ฮ่าวกวาดตามองอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่มีหินในความทรงจำก้อนนั้นอยู่เลย
เขาจำได้ว่าหินก้อนนั้นหน้าตาละม้ายคล้ายกับมีดมากทีเดียว
‘มีคนคอยแอบจับตาดูเราอยู่ ฉะนั้นจะหาอย่างเปิดเผยไม่ได้’
ขณะที่เขากำลังครุ่นคิดอยู่นั้น จู่ๆ เจ้าเสือดำที่แน่นิ่งไม่เคลื่อนไหวก็คำรามเสียงต่ำออกมา
“แฮ่!”
ไม่ใช่เสียงร้องเพราะหวงของกินแต่เป็นน้ำเสียงแฝงความหวาดระแวงน้อยๆ คำรามผ่านลำคอเสียงเบา
ในเวลานี้เองจู่ๆ หนังศีรษะของหลี่ฮ่าวก็เริ่มชาวาบ!
เขามองตามครรลองสายตาของเจ้าเสือดำไปยังทิศทางของห้องนอนใหญ่พร้อมกับใจที่ดิ่งวูบ วินาทีนี้เองใจของเขาก็เต้นระรัวเร็วกว่าเดิม
ประตูบานใหญ่ของห้องนอนใหญ่ที่เดิมปิดสนิท
ทว่าในเวลานี้ประตูบานเดิมนี้กลับแง้มออกมาเล็กน้อย แล้วในรอยแยกนั้นเหมือนจะเห็นแสงสีแดงลางๆ
‘เงาโลหิต?’
ใจเขาเต้นระส่ำ เงาโลหิตปรากฏตัวแล้วเหรอ?
ก่อนหน้านี้เหมือนเขาเองก็เคยเห็นมาก่อน แต่จากการคาดเดาของเขา วันที่เงาโลหิตลงมือควรจะเป็นวันที่ฝนตกนี่นา ทำไมถึงมาโผล่เอาวันนี้ได้ แถมโผล่มาในบ้านตระกูลจางอีก!
‘หรือว่า… เงาโลหิตเฝ้าหาหินก้อนนั้นอยู่ที่บ้านตระกูลจางมาตลอดโดยไม่ได้ไปไหนเลย?’
เหงื่อเม็ดเล็กจิ๋วจนแทบมองไม่เห็นผุดขึ้นบนใบหน้าหลี่ฮ่าว
การบังเอิญพบกันนั้นมาเร็วเกินไป!
หลี่ฮ่าวยังเตรียมตัวไม่พร้อม หากเจอเงาโลหิตตอนนี้แล้วอีกฝ่ายลงมือทำร้ายเขาหรือจุดไฟแผดเผาเขา หลี่ฮ่าวคงไม่สามารถโต้ตอบอะไรได้เลย
‘ทำไมถึงมาโผล่ที่นี่ได้?’
‘บ้าเอ๊ย โผล่มาเร็วเกินไปแล้ว กระทั่งผู้พิทักษ์รัตติกาลเรายังไม่เคยเจอเลย…’
หลี่ฮ่าวตัวแข็งทื่อเล็กน้อย ในตอนนี้ร่างกายเขาสั่นเทิ้มแต่เบามากจนมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า กระทั่งเขาอยากจะหันหลังแล้ววิ่งหนีไป
แต่ด้านนอกก็อาจจะมีคนคอยจับตาดูตนอยู่
จริงสิ คนทั่วไปมองไม่เห็นเงาโลหิต
ตนเองจะวิ่งหนีไม่ได้!
มิฉะนั้นต่อให้หนีรอดแต่ความลับเรื่องที่ว่าเขามองเห็นเงาโลหิตได้ก็จะแพร่งพรายออกไปเช่นกัน ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่ยุ่งยากอย่างมหาศาลทีเดียว
ในเมื่อมองไม่เห็นก็ไม่มีเหตุผลให้ต้องหวาดกลัวอีกฝ่าย
ความคิดมากมายแวบเข้ามาในหัว แล้ววินาทีต่อมาหลี่ฮ่าวก็สบถออกมาว่า “ร้องอะไร? เงียบหน่อย!”
เขาดุเจ้าเสือดำแล้วมองไปที่ห้องนอนใหญ่ “ด้านในนั้นมีคนเหรอ? ผมเป็นผู้ตรวจการณ์จากกองตรวจการณ์ ใครอยู่ด้านใน?”
หลี่ฮ่าวชูปืน VORTEX รุ่นที่สามเล็งไปที่ห้องพร้อมตะโกนเสียงกร้าว “มีคนอยู่ไหม? ออกมา!”
ทั้งๆ ที่เขาเห็นเสี้ยวหนึ่งของเงาโลหิตแต่ฝืนใจไม่หันไปมองมุมนั้น ทว่ากลับเอาแต่จ้องและตะโกนใส่ประตูบ้านใหญ่อย่างเอาเป็นเอาตาย
หลี่ฮ่าวสาวเท้าเข้าไปใกล้ประตูทีละก้าวๆ
ทันใดนั้นเองเขาก็ก้าวเท้ายาวๆ ถีบเข้าประตูดังโครมจนเกิดเสียงดังก้อง และประตูบ้านใหญ่ก็โดนเขาถีบเปิดออก
เสียงบานประตูกระแทกลงพื้นดังโครมจนเรียกความสนใจจากชาวบ้านหลายคนที่พักอยู่แถวนั้น
แล้วเสียงซุบซิบก็ดังแว่วเข้ามา
หลี่ฮ่าวไม่ได้สนใจสิ่งที่เกิดขึ้น เขาใช้เท้าถีบประตูแล้วมองเข้าไปในห้องที่มืดสนิทอีกครั้งและตะโกนขึ้นว่า “มีคนอยู่ไหม? ผมเป็นผู้ตรวจการณ์จากกองตรวจการณ์ถ้าไม่แสดงตัว ผมจะลั่นไกปืนแล้วนะ!”
ดวงตาหลี่ฮ่าวมองไปด้านหน้าแต่บนหน้าผากกลับมีเหงื่อเย็นๆ ผุดออกมา แขนของเขาสั่นเล็กน้อย
เจ้าเสือดำที่หมอบแน่นิ่งอยู่แทบเท้าเขาก็พลอยตกใจไปด้วย
ไม่ใช่เพราะอะไร!
แต่เพราะความจริงแล้วหางตาของหลี่ฮ่าวและนัยน์ตาของเจ้าเสือดำมองเห็นเงาโลหิตสีแดงที่ยืนอยู่ตรงทางซ้ายของเขาจนหน้าแทบชนกันอยู่แล้ว
……………………………………………………………