ตอนที่ 10-2 หน่วยปฏิบัติการเมืองหยิน (2)

STARGATE ปริศนาประตูแห่งดารา

ตอนที่ 10 หน่วยปฏิบัติการเมืองหยิน (2)

หลี่ฮ่าวกระดากอายไปน้อยๆ แล้วกล่าวเสียงแผ่ว “ห้อมแฟ้มคดีเรามีกันทั้งหมด 28 คนแล้วก็มีผู้ตรวจการณ์คนเก่าคนแก่ด้วย…”

จากคำพูดที่เขาสื่อออกมานั้น หลิวหลงพูดจาเกินจริงไปหรือเปล่า

หลิวหลงนั้นไม่เกรงใจแม้แต่น้อยเขาหัวเราะเสียงเย็น “หวังเจี๋ยหัวหน้าห้องแฟ้มคดีของคุณ เมื่อก่อนเขาก็แข็งแกร่งและมีความสามารถอยู่บ้าง มิฉะนั้นคงไม่มีทางได้ครอบครองตำแหน่งหัวหน้าหรอก! ตั้งแต่เข้าไปทำงานในห้องแฟ้มคดีเมื่อหลายปีก่อนก็ปล่อยปละละเลย ไม่ฝึกปรือฝีมือ จนตอนนี้ไม่ว่าจะคนในหน่วยปฏิบัติการณ์คนไหนของผมก็เอาชีวิตเขาได้ทั้งนั้น! ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่พวกเราจัดอยู่ในหมวดตัวอันตราย”

“คุณต้องเข้าใจนะว่าเราไม่ได้จัดระดับพวกผู้กระทำผิดทุกคน พวกที่พวกเราจัดลำดับความอันตรายล้วนแต่เป็นบุคคลอันตรายทั้งสิ้น!”

“คดีฆ่าล้างครัวที่เกิดขึ้นในเมืองหยินเมื่อสามปีก่อน คนชั่วที่ฆ่าคนตระกูลหูไป 32 คนด้วยมือเปล่าในคืนเดียว ก็คือคนชั่วระดับสามที่พวกเราพูดถึง!”

“หลายปีมานี้พวกตัวอันตรายในเมืองหยินที่เราแบ่งระดับไม่ได้มีมากหรอก”

ทันที่ได้ยินคำพูดของอีกฝ่ายหลี่ฮ่าวก็เข้าใจทันที

คิดไม่ถึงว่าตัวอันตรายระดับสองจะน่ากลัวขนาดนี้

และแน่นอนว่านี่คือมาตรฐานที่ตั้งโดยหน่วยปฏิบัติการ ไม่ใช่มาตรฐานที่ใช้กันทั่วไป และทางฝั่งห้องแฟ้มคดีก็ไม่ค่อยมีคนพูดถึง

พอนึกถึงผู้ตรวจการณ์คนก่อนนี้ซึ่งก็คือคนในระดับสองหรืออาจะถึงขั้นระดับหนึ่งที่อู๋เชากล่าวไว้ แววตาหลี่ฮ่าวก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจเกินไป คนผู้นั้นอาจจะเป็นยอดมนุษย์ แต่คนที่หน่วยปฏิบัติการจัดลำดับให้ ปกติแล้วจะเป็นคนธรรมดา

จะเป็นระดับสอง หรือหนึ่งหรืออาจจะเกินระดับหนึ่งไปก็ยังถือว่าปกติมาก

ส่วนที่หลี่ฮ่าวประหลาดใจก็คือถึงแม้จะเป็นคนชั่วระดับสาม แต่คิดไม่ถึงว่าจะร้ายกาจขนาดนี้ คนลึกลับผู้นั้นอาจจะอยู่เหนือกว่าจินตนาการของตนเอง

หนำซ้ำสิ่งที่เขาเซอร์ไพรส์ยิ่งกว่าคือฝ่ายตรงข้ามได้ข้อมูลมากมายผ่านเพียงรอยเท้าเท่านั้น

ตอนนี้ชายวัยกลางคนร่างบางอ่อนแอคนนั้นหรือก็คืออู๋เชาที่หลิวหลงเรียก เขาหันหน้ามองหลี่ฮ่าวเล็กน้อย แล้วส่งยิ้มที่ชวนขนลุกแล้วกล่าวเสียงแผ่ว “คุณหลี่คิดว่าผมพูดเหลวไหลอยู่ใช่ไหมครับ?”

หลี่ฮ่าวรีบส่ายหน้า “เปล่าครับ เพียงแต่แปลกใจในความสามารถของพี่อู๋ก็เท่านั้น”

“นักศึกษาของมหาวิทยาลัยกู่ย่วนประจำเมืองหยินถ่อมตัวขนาดนี้เลยเหรอ?”

อู๋ฮ่าวยิ้มน้อยๆ “นักศึกษาจากกู่ย่วนแต่ละคนชอบดูถูกคนกันเหลือเกินแต่คุณไม่เหมือนคนพวกนั้น แต่ก็จริงคุณลาออกแล้วนี่ ตอนนี้คุณเป็นแค่คนในกองตรวจการณ์เท่านั้นเอง!”

เหมือนว่าจงใจจะแสดงความสามารถต่อหน้าหลี่ฮ่าวอย่างไรอย่างนั้น อู๋เชาแค่กระทืบเท้าเบาๆ ก็กระโดดตัวลอยขึ้นสูงมากแล้ว ในวินาทีที่เท้าเขาแตะพื้นก็ทิ้งรอยเท้าไว้บนพื้นดิน

แล้วตอนนี้อู๋เชาก็ยิ้มน้อยๆ “คนที่มีความสามารถต่างกัน ปฏิกิริยาขณะแตะพื้นก็ย่อมต่างกัน รอยเท้าที่ทิ้งบนพื้นลึกตื้นไม่เท่านั้น ถึงขนาดที่ว่ารอยเท้าส่วนหน้าและหลัง แล้วส่วนไหนตรงไหนแตะพื้นก่อน ลงพื้นท่าไหนก็สามารถดูออกทั้งนั้น!”

“แล้วถึงตั้งข้อสันนิษฐานและข้อมูลต่างๆ ผ่านท่วงท่าที่เท้าแตะลงพื้น…รอยเท้าที่พบในสถานที่เกิดเหตุลึกตื้นไม่เท่ากัน ตอนที่เท้าแตะพื้นนั้นน่าจะกระโดดลงมาจากสถานที่ความสูงกี่เมตร หากรองเท้าที่ทิ้งไว้ไม่ลึกมากแปลว่าฝ่ายตรงข้ามสามารถควบคุมกล้ามเนื้อทั้งร่างกายได้อย่างสบายๆ…”

เขาอธิบายซึ่งปกติไม่จำเป็นต้องสาธยายยืดยาวเช่นนี้

แต่หลี่ฮ่าวเป็นคนที่เผชิญเหตุในคืนนี้ และเป็นนักศึกษาที่ลาออกมาจากมหาวิทยาลัยกู่ย่วน แต่ยังมีความสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับทางกู่ย่วน เขาจึงเลือกที่จะเล่าเรื่องพวกนี้ให้ชายหนุ่มตรงหน้าฟัง

ส่วนหลิวหลงฟังเงียบๆ ไม่ได้ขัดแต่อย่างใด

จนอู๋เชาพูดจบ หลิวหลงกล่าวเสียงเย็นชา “ช่างเถอะ! เขาก็ไม่ใช่คนของหน่วยปฏิบัติการสักหน่อย ไม่จำเป็นต้องพูดมากนักหรอก!”

หลี่ฮ่าวยิ้มแล้วไม่พูดอะไรอีก

แต่หลิวหลงมองไปรอบๆ แล้วถึงมองบ้านของตระกูลจาง เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ใจกล้ามากเลยนี่ คิดไม่ถึงว่าฆ่าคนแล้วจะยังคอยสอดแนมต่ออีกหลายวัน!”

อู๋เชายิ้ม “หัวหน้าครับ ฝ่ายตรงข้ามใจกล้าก็เป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่เหรอ? หน่วยปฏิบัติการเมืองหยินของเรา…อาจจะทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้”

“ทำอะไรไม่ได้?”

แววตาหลิวหลงเย็นยะเยียบทันที “นั่นก็ไม่แน่! บางคนมักจะรู้สึกว่าตนเองสูงส่งกว่าคนอื่น ไม่เห็นหัวคนอื่น แต่หลายปีมานี้…หรือว่าหน่วยปฏิบัติการเมืองหยินของเราไม่เคยฆ่าคนที่สูงส่งเลยหรือไง?”

ทันทีที่กล่าวออกมาเช่นนี้ สมาชิกในหน่วยปฏิบัติการคนอื่นๆ ก็หัวเราะเสียงเย็น

แต่ใจหลี่ฮ่าวเต้นกระตุกมากกว่า

หมายความว่าอะไร?

หรือว่าคนผู้นี้จะพูดถึงพวกยอดมนุษย์?

หน่วยปฏิบัติการประจำเมืองหยินเคยฆ่าคนที่มีพลังลึกลับเหนือธรรมชาติมาก่อนเหรอ?

ในตอนที่หลี่ฮ่าวกำลังคิดถึงเรื่องนี้อยู่ หลิวหลงหันมองหลี่ฮ่าวแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงติดเย็นชาว่า “หนุ่มน้อย บางครั้งต้องเชื่อในความสามารถของหน่วยปฏิบัติการ! ผมรู้ว่าคุณไปฟ้องศาสตราจารย์หยวนซั่ว บางทีคุณอาจจะมีแผนการอะไรบางอย่าง เพราะดูไปแล้วคุณก็ไม่โง่นะ คุณสามารถยื้อเวลาแล้วหาคดีไฟคลอกทั้งหกคดีออกมาจากกองคดีจำนวนมหาศาลได้ แถมยังจัดการคดีเองด้วย แปลว่าคุณเป็นคนมีความอดทนและมีสติปัญญา! กองตรวจการณ์ของพวกเราต้องการคนที่ละเอียดแบบคุณ!”

“เหตุที่คุณไม่ยอมแจ้งเรื่องนี้กับหน่วยตรวจการณ์เพราะห่วงหน้าพะวงหลัง ผมก็พอเข้าใจ!”

หลิวหลงกล่าวเสียงเรียบ “แต่ว่าคุณต้องจำเอาไว้มังกรแกร่งต่างถิ่นเอาชนะงูเจ้าถิ่นไม่ได้หรอก! บางทีคุณอาจจะรู้ว่าทั้งหกคดีนี้ไม่ใช่ฝีมือของคนธรรมดา อาจจะถึงขั้นที่ร้ายกาจกว่าคนชั่วระดับหนึ่งที่ถูกจัดลำดับโดยหน่วยปฏิบัติการของเราด้วยซ้ำไป! แต่แล้วอย่างไรเล่า?”

จู่ๆ รังสีน่ากลัวบนตัวหลิวหลงก็แผ่ออกมามากขึ้นพร้อมแฝงด้วยไอเย็นยะเยียบจนทำให้ต้องรีบกระชับเสื้อคลุม

“ในเมืองหยินเป็นพื้นที่ของเรา! ไม่ใช่ว่าไม่มีผู้พิทักษ์รัตติกาลแล้วจะทำอะไรไม่ได้เสียหน่อย! ในกลุ่มผู้พิทักษ์รัตติกาลก็มีคนที่อ่อนแอ ไม่ใช่ว่าหน่วยปฏิบัติการเราจะไม่เคยซ้อมพวกเขามาก่อนเสียหน่อย!”

น้ำเสียงโมโหทำให้พอจะเห็นความไม่พอใจของหัวหน้าผู้นี้ได้

แต่หลี่ฮ่าวกลับตกใจจนอ้าปากค้าง

จริงเหรอ?

ที่สำคัญก็คือคิดไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะพูดถึงผู้พิทักษ์รัตติกาลตรงๆ แถมยังพูดแทงใจดำหลี่ฮ่าวด้วย เขารู้ว่าหลี่ฮ่าวเดาอะไรไว้ในใจ รู้ว่าเขาคิดว่าคดีนี้น่าจะเกี่ยวพันกับพลังเหนือธรรมชาติ เห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้เองก็คิดแบบนี้เหมือนเขา แต่ยังคงไม่ไปหาผู้พิทักษ์รัตติกาล ดูท่าทางแล้วน่าจะให้หน่วยปฏิบัติการจัดการเอง

เขาเอาความมั่นใจจากไหนมา?

ในวินาทีนี้หลี่ฮ่าวก็ครุ่นคิดวางแผนอย่างรวดเร็ว แล้วในวินาทีต่อมาก็เก้อเขินเอ่ยเสียงต่ำว่า “ผมไม่เข้าใจความหมายของหัวหน้าครับ…”

“โกหก!”

หลิวหลงแค่นเสียงเย็น “มีอะไรไม่เข้าใจ! คุณเจอไฟคลอกทั้งหกคดีจากคดีจำนวนนับไม่ถ้วนด้วยตนเอง คดีที่คุณดูคงจะมีจำนวนนับไม่ถ้วน คุณไม่เข้าใจแล้วใครจะเข้าใจ? อย่าบอกผมนะว่าคุณไม่รู้ว่ามีผู้พิทักษ์รัตติกาล! ไม่มีอะไรต้องกังวล สิ่งที่คนอื่นไม่กล้าพูดไม่ได้แปลว่ากองตรวจการณ์จะพูดไม่ได้! ผู้พิทักษ์รัตติกาลต่อให้ร้ายกาจขนาดไหนแต่พวกเขาก็มีผู้บังคับบัญชาอยู่ดี!”

“หลี่ฮ่าวจำเอาไว้! กองตรวจการณ์และผู้พิทักษ์รัตติกาล ฝั่งหนึ่งเป็นแสงสว่าง อีกฝ่ายเป็นความมืด แต่ก็มีต้นสังกัดเดียวกัน! พูดตรงๆ ก็คือพวกเราเป็นพวกเดียวกัน แค่พูดถึงแล้วจะทำไม พวกเขาจะทำอะไรได้? สิ่งที่ผู้พิทักษ์รัตติกาลกังวลที่สุดก็คือต้องลงมือทำร้ายคนของตัวเอง พวกเขาไม่กล้าและไม่ทำด้วย! ดังนั้นขอแค่คุณทำทุกอย่างตรงไปตรงมา จะกลัวผู้พิทักษ์รัตติกาลไปทำไม จะด่าพวกเขาตรงๆ ก็ยังได้!”

“……”

หลี่ฮ่าวตกใจจนอ้าปากค้างเหมือนเขาเพิ่งรู้จักคนผู้นี้เป็นครั้งแรก

จริงหรือเปล่า?

ทุกคนหวาดกลัวอย่างมาก กระทั่งจะพูดถึงผู้พิทักษ์รัตติกาลยังไม่กล้า แล้วทำไมพอออกมาจากปากคนผู้นี้แล้วเหมือนไม่คู่ควรให้เอ่ยถึงอย่างไรอย่างนั้น

และในเวลานี้เองมีผู้ตรวจการณ์หญิงที่อายุอานามไม่ได้ถือว่าน้อยนักปรากฏตัวด้านหลังหลิวหลงพร้อมหัวเราะเสียงแผ่ว “หนุ่มน้อย บางทีหัวหน้าหน่วยก็คุยโวไปหน่อย แต่ก็เหมือนที่หัวหน้าพูดนั่นแหละไม่จำเป็นต้องไปกลัวอะไรมากมาย! ทุกคนไม่พูดถึงเป็นเพราะว่าคนพวกนั้นชอบทำเรื่องใหญ่โต ทุกครั้งที่ปรากฏตัวแปลว่ามีคดีใหญ่โตเกิดขึ้น เป็นสัญลักษณ์ของความอัปมงคล ”

“พูดเหลวไหลอะไรกัน!”

หลิวหลงโวยวายเพราะสมาชิกในหน่วยของเขาบอกว่าเขาคุยโว!

หญิงคนเดิมหัวเราะอย่างมีจริตและไม่ได้สนใจอะไรอีก อีกฝ่ายมองหลี่ฮ่าวแล้วกล่าวเจือหัวเราะ “หัวหน้าหน่วยและพวกเรามีกะจิตกะใจและเวลามาคุยกับนายเยอะแยะขนาดนี้ก็เพราะที่จริงอยากจะบอกนายว่า ห้องเก็บแฟ้มคดีน่ะน่าเบื่อจะแย่ หนูน้อยย้ายมาทำงานที่หน่วยปฏิบัติการของเราดีไหม?

คราวนี้หลี่ฮ่าวตะลึงจนตัวแข็งทื่อ

หมายความว่าอย่างไร?

………………………………………………………………..