ตอนที่ 15 ขอบเขตพลังเหนือธรรมชาติ (2)
เฉินเจียนตอบด้วยท่าทางซื่อๆ “สิบหกปี! ผมเพิ่งเรียนตอนอายุสิบสอง”
“…”
หลี่ฮ่าวหมดคำจะพูด
ไม่ใช่เพราะเขาเรียนการต่อสู้มาตั้งสิบหกปีแล้ว แต่เป็นเพราะ…อีกฝ่ายอายุยี่สิบแปดแล้วต่างหาก!
ล้อเล่นกันน่า!
พี่เพิ่งจะอายุยี่สิบแปดเองเหรอ
ตอนเห็นเจ้าอ้วนนี่แวบแรกเขาคิดว่าอย่างน้อยเฉินเจียนคงอายุราวสี่สิบได้ ปรากฏว่าอีกฝ่ายเพิ่งจะอายุยี่สิบแปดปีเท่านั้นเหรอ
หมดคำจะพูดจริงๆ!
หลี่ฮ่าวคิดในใจแต่ไม่ได้พูดออกไป ใบหน้าดูระอาใจอยู่หน่อยๆ “อาจารย์ผมเคยบอกว่าความจริงการฝึกการต่อสู้ อย่างแรกต้องดูพรสวรรค์ อย่างที่สองดูที่ความขยันหมั่นเพียร! ความขยันสำคัญกว่าพรสวรรค์! ฝึกการต่อสู้มาสิบหกปี ผมยังไม่บอกว่าผมมีพรสวรรค์หรือเปล่า เพราะต่อให้มี แต่ด้วยนิสัยขี้เกียจชอบอู้ในช่วงนี้แล้วไม่ถูกพี่เฉินฟาดจนตาย นั่นเพราะพี่เฉินปรานีกันมากแล้ว!”
เฉินเจียนตอบยิ้มๆ “อย่าพูดอย่างนั้นเลย ความจริงก็ไม่เท่าไร ถึงผมจะเผื่อแรงเอาไว้แต่ก็ใช้แรงไปสามส่วนแล้ว ฟาดโดนตัวนาย นายยังไม่สลบเหมือดแต่แค่นอนคว่ำกับพื้น ความจริงก็เก่งมากแล้ว”
“…”
นี่คือคำชมหรือ
หลี่ฮ่าวมองเจ้าอ้วนที่ดูท่าทางซื่อๆ อย่างเขาทีหนึ่ง ประโยคนี้…ไม่ได้มีความหมายอื่นแอบแฝงใช่ไหม?
ตำแหน่งฝ่ายตั้งรับคนหนึ่ง ใช้แรงสามส่วน แล้วตบคุณจนนอนแอ้งแม้งกับพื้นไม่ถึงขั้นตาย เป็นเรื่องน่าภาคภูมิใจจริงเหรอ?
ขณะนั้นเองหลิวหลงก็ปริปากเอ่ย “ได้สติแล้วก็ดี ผมยังคิดอยู่ว่าถ้าคุณโดนฟาดทีเดียวแล้วอยากลาออก ผมก็จะอนุญาต แต่ดูเหมือนว่าคุณยังมีความเข้มแข็งอยู่”
ว่าแล้วน้ำเสียงก็กลับไปเย็นชาดังเดิม “แต่ผมอยากบอกคุณว่าเฉินเจียนเป็นแค่ปรมาจารย์นักรบระดับสิบสังหาร แถมยังรับตำแหน่งตั้งรับเป็นหลัก! คุณต้องจำเอาไว้ ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติทุกคนล้วนอยู่เหนือกว่าเขาทั้งหมด! ในเมื่อคุณหลบไม่ได้กระทั่งการจู่โจมของเฉินเจียน ก็ยิ่งอย่าคิดจะเอาตัวรอดภายใต้เงื้อมของผู้มีพลังเหนือธรรมชาติคนอื่นๆ เลย”
“แน่นอนว่าคุณเพิ่งเข้ามา ด้อยกว่าคนอื่นหน่อยย่อมเป็นเรื่องปกติ ตอนนี้นับว่าคุณเป็นเพียงสมาชิกตัวสำรอง นอกจากจะรับมือกับหมอนั่นในคดีไฟคลอกที่คุณต้องเป็นเหยื่อล่อแล้ว ในเวลาอื่น…คุณก็ต้องดูแลตัวเองเป็นหลัก รวมถึงช่วยวิเคราะห์ข้อมูลบางอย่างให้เราด้วย!”
เขาก็ไม่คาดหวังว่าหลี่ฮ่าวจะช่วยอะไรได้ในตอนนี้
ไม่คาดหวังเลยสักนิด!
พูดจบหลิวหลงก็กระชับเสื้อโค้ท หันมองคนอื่นแวบหนึ่งแล้วพูดขึ้นอย่างรวดเร็วว่า “หลิวเยี่ยน เธอดูแลหมอนี่ด้วย ให้เขาเข้าใจสถานการณ์ก่อนแล้วค่อยว่ากัน! อย่าเผลอตายโดยไม่รู้ตัวในภารกิจครั้งต่อไปละ”
“ลูกพี่วางใจได้ ฉันจะดูแลเขาอย่างดีเลย!”
หลิวเยี่ยนยิ้มกว้าง หลี่ฮ่าวกลับอึกอักอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่คิดๆ แล้วก็ช่างเถอะ ตามสบายเลยแล้วกัน
ในเวลานี้เขาเป็นน้องเล็กสุดของทีมล่าปีศาจนี้แล้ว
เฉินเจียนที่ขึ้นชื่อว่าอ่อนที่สุดยังฟาดตนให้ตายได้ง่ายๆ แล้วยังจะพูดอะไรได้อีก
ส่วนคุณหมออวิ๋นเหยา หลี่ฮ่าวก็ไม่อยากถามอะไรจากเขาอีกแล้ว คนๆ นี้ดูภายนอกแล้วเป็นมิตรและอ่อนโยนอย่างมาก แต่ความจริงใครจะรู้ว่าเป็นอะไรเช่นไรบ้าง บางคนยิ่งดูอ่อนโยนมากแค่ไหนความจริงก็ยิ่งน่ากลัวมากเท่านั้น
ส่วนหลิวเยี่ยนก็พอจะคุ้นเคยกันอยู่บ้าง อย่างน้อยๆ ก็คุยกันรู้เรื่องมากกว่าหน่อย
หลิวเยี่ยนมองหลี่ฮ่าวพร้อมรอยยิ้มแต้มใบหน้า “เสี่ยวหลี่ฮ่าว ไปคุยกับพี่สาวที่ห้องทำงานกันหน่อย ตรงนี้บรรยากาศอึมครึมเกินไปแล้ว”
หลี่ฮ่าวคิดๆ แล้วก็เอ่ยปากกล่าว “รองหัวหน้าหลิวครับ เรื่องนี้ผมไม่รีบ”
ว่าแล้วก็หันไปมองทางหลิวหลงแล้วพูดขึ้นมา “หัวหน้าหลิว…”
“อนุญาตให้คุณเรียกผมว่าลูกพี่ได้!”
หลิวหลงทำหน้าหยิ่งยโส เหมือนว่าการให้เขาเรียกลูกพี่เป็นเรื่องน่าภาคภูมิใจก็ไม่ปาน
หลี่ฮ่าวไม่ว่าอะไร เพราะในเมื่ออาศัยพึ่งพาเขา ถ้าจะให้เรียกว่าลูกพี่อย่างนั้นเรียกลูกพี่ก็ได้
“ลูกพี่ ฆาตกรที่ฆ่าจางหย่วน เกรงว่าจะรู้ว่าเรากำลังตามสืบเรื่องเขาอยู่เพราะเมื่อคืนเราลงปฏิบัติใหญ่โตเอิกเกริกมากทีเดียว! ผมเคยศึกษาแฟ้มคดีมาก่อน ในทุกๆ วันที่ฟ้าครึ้ม อาจจะเป็นเวลาที่อีกฝ่ายลงมือ…จากเวลาที่เกิดเหตุคดีคราวก่อนก็เกือบจะปีหนึ่งแล้ว หากลองคาดการณ์จากเวลา อีกไม่กี่วันก็จะเป็นวันฟ้าครึ้ม บางทีอาจจะเป็นช่วงเวลาที่อีกฝ่ายลงมือก็ได้”
หลิวหลงพยักหน้ารับน้อยๆ “ผมรู้! ผมย่อมเตรียมพร้อมอยู่แล้ว คุณอยากบอกว่าเป้าหมายคนต่อไปอาจจะเป็นคุณ คุณเลยกลัวงั้นเหรอ”
หลี่ฮ่าวไม่ปริเสียง
“วางใจได้!”
หลิวหลงไม่ได้ให้คำอธิบายสาวความยืด เขาแค่ย้ำเตือนหลี่ฮ่าวไปว่า “เป้าหมายของคุณในตอนนี้คือทำความเข้าใจให้มากขึ้น รู้ให้มากขึ้น และรักษาชีวิตเอาไว้ให้ดียิ่งขึ้น! ส่วนพวกที่บงการอยู่เบื้องหลังคดีไฟคลอก เราจะหาทางต่อกรกับพวกมันเอง!”
หลี่ฮ่าวทำได้เพียงเลือกจะเชื่อพวกเขา
อีกอย่างเขาคิดว่าหลิวหลงก็คงไม่รนหาที่ตายแน่นอน
ว่าแล้วหลิวหลงก็สาวเท้าเดินออกไป อู๋เชากับเฉินเจียนรีบตามไปอย่างรวดเร็ว อวิ๋นเหยาไม่ได้ตามไปแต่เข้ามาทักทายพวกหลี่ฮ่าวทีหนึ่ง ก่อนจะเดินไปยังส่วนลึกของห้องชั้นใต้ดิน
หลิวเยี่ยนมองอวิ๋นเหยาวูบหนึ่ง พอเห็นหลี่ฮ่าวจดจ้องอวิ๋นเหยาก็รู้สึกสนุกขึ้นมาฉับพลัน พลางกระซิบเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะว่า “เจ้าหนู คุยกับพี่สาวแล้วกดดันมากเหรอ ผู้หญิงคนนั้น นายอย่าคิดไปเลย พี่สาวดีกว่าเห็นๆ”
“รองหัวหน้าหลิวเข้าใจผิดแล้ว!”
หลิวเยี่ยนหัวเราะอีกครั้ง “เข้าใจผิดหรือเปล่าไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก แค่เตือนเท่านั้นเอง! คุณหมอ…ใช่ว่าใครๆ ก็เป็นคุณหมอได้! สำหรับเราแล้วอาการบาดเจ็บทั่วไปหาคุณหมอไม่ได้ผล! อีกอย่างโดยทั่วไปคุณหมอมักจะรับหน้าที่สำคัญในทีม รับผิดชอบภารกิจที่คนอื่นๆ ไม่สามารถทำให้สำเร็จได้”
หลี่ฮ่าวรู้สึกสนใจขึ้นมาฉับพลันเลยถามด้วยความสงสัยว่า “อะไรเหรอครับ”
หลี่ฮ่าวในเวลานี้รู้สึกสนใจกับทุกเรื่อง มีเพียงแค่ถ้าเขารู้ทุกอย่างถึงจะก้าวตามจังหวะคนอื่นได้ทัน
“ช่วงชิงพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติไง!”
หลิวเยี่ยนพูดพลางฉีกยิ้ม แต่รอยยิ้มกลับดูระหวาดระแวงอยู่ไม่น้อย
ช่วงชิงพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติ!
หลี่ฮ่าวชะงักงันไป
พลังลี้ลับเหนือธรรมชาติ สิ่งนี้คนทั่วเหมือนจะมองไม่เห็น ส่วนผู้ที่มีพลังเหนือธรรมชาติจะเห็นหรือไม่นั้น…อาจจะเห็น แต่คนตรงหน้าต่างก็ไม่ใช่ เห็นได้ชัดว่าการช่วงชิงพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติมันไม่ง่ายเลย
แต่อวิ๋นเหยากลับทำได้!
หากเป็นไปตามที่หลิวเยี่ยนกล่าว อวิ๋นเหยาเป็นกลไกสำคัญในทีมจริงๆ พวกเขาไล่ล่าผู้มีพลังเหนือธรรมชาติก็เพื่อช่วงชิงพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติ ถ้าไม่มีอวิ๋นเหยา ถ้าอย่างนั้นทีมเล็กๆ แค่นี้ก็หมดซึ่งความหมายอีกต่อไป
คนที่กำเริบเสิบสานอย่างหลิวเยี่ยนกลับยังระแวงเอาได้
ณ ตอนนี้หลี่ฮ่าวจดจำเอาไว้ในใจแล้ว
ในทีมเล็กๆ นี้อย่าเห็นว่ามีแต่คนธรรมดา แต่ความจริงกลับไม่ธรรมดาทั้งสิ้น คนที่เข้ามาอยู่ในทีมนี้ได้ไม่มีใครธรรมดากันสักคน
“ไปเถอะ หยุดมองได้แล้ว!”
หลิวเยี่ยนเตะสกิดหลี่ฮ่าวไปทีหนึ่ง พูดติดเสียงขันว่า “ผู้หญิงคนนี้นายอยู่ให้ห่างๆ หน่อย! รับมือยากยิ่งกว่าลูกพี่เสียอีก กับลูกพี่ยังพูดล้อเล่นกันได้บ้าง แต่กับเธอ พูดให้น้อยๆ จะดีกว่า!”
หลี่ฮ่าวพยักหน้ารับแต่โดยดี
เขาในตอนนี้เชื่อฟังเป็นอย่างดีราวกับย้อนกลับไปเมื่อหนึ่งปีก่อนที่เพิ่งเข้ามาที่ห้องเก็บแฟ้มคดีก็มิปาน เขาในตอนนี้ซื่อสัตย์ว่าง่าย ไม่กล้าพูดมากแม้แต่ประโยคเดียว เขาถือว่าตนเป็นน้องเล็กก็พอ
ใครให้ทำอะไรก็ทำไปเถอะ!
หนึ่งปีผ่านไปเขายังคงเชื่อฟังเหมือนเดิม แม้แต่คนทั้งห้องเก็บแฟ้มคดียังพูดถึงเขาแต่ในเรื่องดีๆ ไม่มีใครพูดถึงเขาในเรื่องแย่ๆ เลย แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
เขาเดินตามหลิวเยี่ยนไป ทั้งคู่กลับไปยังห้องทำงานชั้นหกอีกครั้ง
ลงไปเพียงครึ่งชั่วโมง พอกลับขึ้นมาอีกทีห้องทำงานที่น่ากลัวเมื่อครู่ ขณะนี้กลับสร้างความอุ่นใจให้แก่หลี่ฮ่าวกว่ามาก อย่างน้อยก็ดีกว่าชั้นล่างมากโข
ปึก!
หลิวเยี่ยนทิ้งตัวลงบนเก้าอี้หนักๆ อย่างไม่รักษาภาพพจน์ สองขาวางพาดบนโต๊ะเป็นเชิงให้หลี่ฮ่าวนั่งตามสบาย
รอหลี่ฮ่าวนั่งลง หลิวเยี่ยนก็ใช้น้ำเสียงสบายๆ แต่กลับกล่าวคำพูดที่ฟังดูไม่ค่อยสบายเท่าไร
“ลูกพี่ให้ฉันอธิบายเรื่องราวบางอย่างให้นายฟังคร่าวๆ กระชับๆ…ฉันก็ไม่รู้ควรเริ่มพูดตั้งแต่ตอนไหน ในเมื่อสำหรับฉันแล้วทุกอย่างใครก็รู้ๆ กันทั้งนั้น นายเป็นฝ่ายถามดีกว่า นายมีอะไรที่อยากรู้ก็ถามมาได้หมด ฉันจะเป็นคนตอบคำถามให้เอง!”
หลี่ฮ่าวทำสีหน้าจริงจัง
เขาดูเหมือนจะให้ความเกรงใจ แต่เพื่อทำความเข้าใจมากขึ้นเขาจึงไม่เกรงใจอะไรอีกต่อไป เลือกถามไปอย่างตรงไปตรงมาทันที “รองหัวหน้าหลิว จะเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติได้ยังไงครับ”
“มีอยู่สองสถานการณ์!”
หลิวเยี่ยนก็ตอบกลับอย่างตรงไปตรงมา “แบบแรก มีมาแต่เกิด! บางคนมีพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติติดตัวมาแต่เกิดโดยไม่ต้องฝึก ไม่ต้องดึงพลังเข้าสู่ร่างกาย ภายในร่างกายพวกเขามีแหล่งพลังลี้ลับเหนือธรรมชาติโดยกำเนิดและเติบโตตามธรรมชาติ คนพวกนี้ถูกขนานนามว่าเป็นปรมาจารย์เซียนสวรรค์โปรด!”
ปรมาจารย์เซียนสวรรค์โปรด!
หลี่ฮ่าวจำศัพท์คำนี้ไว้ขึ้นใจ
…………………………………………………………………………….