ตอนที่ 25 พึงพอใจอย่างมาก (1)
ออกจากกู่ย่วนมาก็ปาไปบ่ายสี่โมงกว่าแล้ว
เวลานี้เป็นช่วงบ่ายของวันที่ 14 เดือนกรกฎาคม
พยากรณ์อากาศบอกว่าวันที่ 18 ฤดูฝนจะมาเยือนเมืองหยินแล้ว อีกทั้งยังอยู่ในฤดูกาลนี้นานด้วย
“เหลือเวลาอีกสามวัน”
หลี่ฮ่าวขี่จักรยานพลางเอ่ยพึมพำขึ้นมาประโยคหนึ่ง
เพราะวันที่ 18 ฝนตก ดังนั้นจะนับรวมวันนั้นด้วยไม่ได้และเหลือเวลาอีกไม่มากแล้วด้วย
ส่วนจะแม่นยำไหมนั้น กองพยากรณ์อากาศของเมืองหยินมีความแม่นยำสูงพอตัว
หลี่ฮ่าวกลับไปยังกองตรวจการณ์พลางขบคิดบางอย่างในใจ
อย่างไรเสียก็ต้องตอกบัตรเลิกงานอยู่ดี
อีกอย่างหวังหมิงบอกว่าเย็นนี้อยากเลี้ยงข้าวพวกเขาด้วย
ในฐานะที่เป็นโสดและเป็นคนดีของห้องเก็บแฟ้มคดีมาโดยตลอด หลี่ฮ่าวย่อมไม่มีทางปฏิเสธอยู่แล้ว หากปฏิเสธคงทำเขาผิดแผนน่ะสิ
……
ณ ห้องเก็บแฟ้มคดี
ครั้นเห็นหลี่ฮ่าวกลับมา หวังหมิงที่กำลังเรียนรู้การจัดเก็บแฟ้มเอกสารกับเฉินน่าก็ดวงตาเป็นประกายเล็กน้อย
ทว่าแววตาแห่งความสงสัยกลับหายวับไปในพริบตา
ทว่าหลี่ฮ่าวที่สังเกตพฤติกรรมของเขามาโดยตลอดกลับเห็นอย่างชัดเจน
หากไม่สนใจคงไม่เห็น แต่พอสนใจขึ้นมากลับสังเกตเห็นได้อย่างง่ายดายว่าหวังหมิงคนนี้ไม่ใช่พวกวางแผนรอบคอบอะไร อาจเพราะอายุยังน้อยจริงๆ บางทีอาจเป็นผู้พิทักษ์รัตติกาลที่เริ่มทำภารกิจได้ไม่นานเหมือนหลี่เมิ่งก็ได้
หลี่ฮ่าวเดาว่าเรื่องที่อาจารย์จู่โจมทำร้ายหลี่เมิ่งก่อนหน้านี้คงถูกใครรู้เข้าแล้ว
มิเช่นนั้นตอนเดินออกไปก่อนหน้านี้ก็ไม่เห็นหวังหมิงจะมีท่าทีใคร่รู้ขนาดนี้เลย
บางทีตอนนี้เจ้าหมอนี่อาจกำลังแปลกใจว่าอาจารย์ถ่ายทอดเคล็ดวิชาลับอะไรให้เขา ในเมื่อข้ออ้างของหยวนซั่วก็คือถ่ายทอดเคล็ดวิชาลับนั่นเอง
“พี่ฮ่าวกลับมาแล้ว!”
หวังหมิงแสดงท่าทีเกรงใจและให้เกียรติไม่น้อยเพราะเอ่ยเรียกแต่พี่ฮ่าวไม่ขาดปาก
หลี่ฮ่าวพยักหน้ายิ้มๆ “อืม จัดการธุระเรียบร้อยแล้ว”
เฉินน่าแหงนหน้าขึ้นมาพร้อมฉีกยิ้มร่า “เสร็จธุระอะไรกัน ฉันว่าเป็นเพราะนายไม่อยากทำอาหารกินเองเลยกลับมาหาของกินมากกว่า! เวลาเลิกงานป่านนี้แล้วนายยังกลับมาแสดงว่าจดจ่ออยากกินข้าวของเสี่ยวหมิงแน่นอน”
เสี่ยวหมิง!
หลี่ฮ่าวนึกขำแต่ก็ยังอดกลั้นไว้ได้
เขาเรียกหวังหมิงเช่นนี้ คิดว่าเฉินน่าคงได้ยินเข้า ตอนนี้เลยเริ่มเรียกเขาว่าเสี่ยวหมิงแทนแล้ว
หวังหมิงฉายแววเอือมระอาพาดผ่านดวงตาแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร แสดงว่าเขายอมรับการเรียกชื่อของเฉินน่าไปโดยปริยาย จากนั้นเขาก็รีบพยักหน้ากล่าว “สถานที่กินข้าวผมหาไว้เรียบร้อยแล้วครับ รอเลิกงานแล้วพวกเราค่อยไปกัน เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะถูกปากพวกพี่ๆ กันหรือเปล่า”
“ฉันกินได้ทุกอย่างแหละ อะไรก็ได้”
ในเมื่อเฉินน่าว่าง่ายขนาดไหน หลี่ฮ่าวย่อมว่าง่ายไม่แพ้กัน แต่เขาก็เอ่ยถามไปอีกประโยคว่า “มีแค่พวกเราสามคนเหรอ”
หวังหมิงรีบตอบว่า “วันนี้เลี้ยงพี่ๆ สองคนก่อนเพราะรบกวนพวกพี่สองคนมาทั้งวันแล้ว ส่วนพี่ๆ คนอื่นผมค่อยเลี้ยงวันพรุ่งนี้แล้วกันครับ!”
หลี่ฮ่าวไม่ได้พูดอะไรอีกแล้วกลับไปยังประจำที่นั่งของตนเอง จากนั้นก็จัดการเอกสารจำนวนหนึ่งด้วยความรวดเร็ว
หลังจากวุ่นๆ อยู่กับงานเพียงครู่เดียวก็ถึงเวลาเลิกงานแล้ว
……
เวลาห้าโมงครึ่ง
ณ ประตูใหญ่กองตรวจการณ์
หวังหมิงมองรถจักรยานของหลี่ฮ่าวพลางเหม่อลอยเล็กน้อย เขาอดถามไม่ได้ว่า “พี่ฮ่าวครับ พี่จะขี่รถไปเหรอ”
เขาไม่ได้เอารถมาที่นี่ด้วย
และยังไม่ทันได้ซื้อรถเลย
หลี่ฮ่าวบอกว่าจะพาเขาไปเองด้วยท่าทีเกรงใจ ทว่าสุดท้ายพริบตาเดียวก็เห็นหลี่ฮ่าวขี่รถจักรยานคันเก่าทรุดโทรมของตนมา ถึงแม้ตอนเที่ยงเขาจะเห็นหลี่ฮ่าวขี่มันออกไป แต่…ใครจะคิดว่าเขาจะมีรถจักรยานเพียงคันเดียวกันเล่า!
“ไม่ไกลหรอก!”
หลี่ฮ่าวฉีกยิ้ม “ด้านหน้านี้เอง ขี่รถสิบนาทีก็ถึงแล้ว ไม่อย่างนั้นนายนั่งรถไปก็ได้ พี่น่ามีรถนะ…”
“พวกเราไปนั่งรถพี่น่าด้วยกันเถอะครับ”
“แบบนั้นไม่ได้หรอก!”
หลี่ฮ่าวส่ายศีรษะ “คืนนี้ฉันต้องกลับบ้าน ถ้าทิ้งจักรยานไว้ที่นี่ฉันก็ต้องเดินกลับ แบบนั้นยุ่งยากจะตายไป!”
หวังหมิงอดด่าใครบางคนในใจไม่ได้!
เจ้าหมอนี่ช่างหัวรั้นจริงๆ!
อายุน้อยแค่นี้แต่ทำไมถึงทำตัวเหมือนคนแก่ขนาดนี้นะ ขี่จักรยานออกบ้าน อ่านหนังสือพิมพ์ตอนทำงาน ถึงอย่างไรเสียก็เป็นถึงนักศึกษาของมหาวิทยาลัยกู่ย่วน แต่กลับไม่แสวงหาไขว่คว้าอะไรเลย
ถึงแม้เขาจะไม่พอใจเจ้าจักรยานบ้าๆ นี้สักเท่าไร เฉินน่าผู้หญิงคนหนึ่งขับรถเองเพียงลำพัง แต่หลี่ฮ่าวกลับขี่จักรยาน หลังจากผ่านการขบคิดครู่หนึ่งหวังหมิงก็ตัดสินใจไปกับหลี่ฮ่าว อีกอย่างเขาอยากทำความรู้จักกับหลี่ฮ่าวมากกว่า
เพราะขายาวใหญ่ของหวังหมิงไร้ที่จะวางบนรถจักรยานได้เลยทำให้ดูออกจะแปลกๆ ไปสักหน่อย
เวลานี้เขาจำเป็นต้องจับเอวของหลี่ฮ่าวไว้ และนี่นับว่าเป็นประสบการณ์ครั้งแรกของเขาเช่นกัน
พอจับเอวได้ครู่หนึ่งก็อดเอ่ยขึ้นมาไม่ได้ว่า “พี่ฮ่าวครับ ในกระเป๋ากางเกงใส่อะไรไว้เหรอครับ แข็งโป๊กเชียว”
ถ้าไม่ใช่เพราะอยู่ตรงส่วนเอวของหลี่ฮ่าว เขาคงคิดฟุ้งซ่านไปไกลแล้ว
เพราะมันแข็งมาก!
ตัวเขาเองก็เป็นผู้ชาย…แน่นอนว่าตรงส่วนเอวนั้น น่าจะเพราะเขาคิดมากไปเอง
“อ้อ เกือบลืมไปเลย”
หลี่ฮ่าวขี่จักรยานพลางเอ่ยน้ำเสียงติดตลกโดยไม่หันหลังกลับมามองว่า “นั่นเป็นของเก่าแก่ที่สืบทอดต่อกันมาในตระกูล เหมือนว่าช่วงนี้หมู่บ้านเราจะไม่ค่อยปลอดภัยเท่าไร กลางคืนหมาก็เห่าหอนไม่หยุด พี่กลัวว่ามันจะหายเลยเก็บใส่กระเป๋ากางเกงไว้น่ะ”
หวังหมิงดวงตาเป็นประกายขึ้นมาในทันที!
ของเก่าแก่อย่างนั้นเหรอ?
แถมเป็นของสืบทอดกันในตระกูลด้วย?
เหมือนเขาจะนึกสนใจขึ้นมา จากนั้นก็แสร้งเอ่ยถามไปทีว่า “ของเก่าแก่อะไรเหรอครับถึงพกพาไปไหนมาไหนด้วยขนาดนี้ แถมไม่กลัวทำพังอีกต่างหาก พี่ฮ่าวไม่ระมัดระวังเอาเสียเลยนะครับ”
“ไม่หรอก!”
หลี่ฮ่าวผุดรอยยิ้มขึ้นมาทันที “ไม่ใช่เครื่องเซรามิกอะไรสักหน่อย นี่เป็นกระบี่โลหะขนาดเล็กเล่มหนึ่งเท่านั้น ต่อให้เขวี้ยงลงพื้นก็ไม่เสียไม่พังแน่นอน ไม่รู้ว่าตอนเด็กๆ ฉันเขวี้ยงลงพื้นมาแล้วกี่ครั้งด้วยซ้ำ”
“กระบี่เล็กเหรอครับ”
เวลานี้ครั้นหวังหมิงเห็นว่าหลี่ฮ่าวหันหลังให้ตนอยู่ แววตาก็ลุกวาวเป็นประกายจนน่าตกใจ!
นับว่ามาไม่เสียเที่ยวเลยจริงๆ!
กระบี่ของตระกูลหลี่…อยู่บนตัวหลี่ฮ่าวจริงๆ ด้วย เวลานี้ใส่อยู่ในกระเป๋ากางเกงซึ่งแค่ตนเอื้อมหยิบก็คว้ามาได้แล้วอีกต่างหาก
เขารู้สึกเหลือเชื่ออยู่บ้าง แต่ไม่นานเขาก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติทั่วไป
หมู่บ้านไม่ค่อยปลอดภัย ดังนั้นของดีๆ ย่อมต้องพกติดตัวอยู่แล้ว
เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าเขาจะเจอกระบี่ของตระกูลหลี่รวดเร็วขนาดนี้
ความจริงภายในหน่วยผู้พิทักษ์รัตติกาลก็มีเอกสารที่เกี่ยวกับกระบี่เล่มนี้เหมือนกัน แน่นอนว่าไม่ได้เขียนอธิบายไว้ชัดเจนนัก ในเมื่อหน่วยผู้พิทักษ์รัตติกาลก่อตั้งขึ้นได้ไม่นาน เพียงแค่อ้างอิงข้อมูลเพียงคร่าวๆใช้รายงานผลเท่านั้น
แปดตระกูลใหญ่ในเมืองหยินอาจจะสืบทอดกันมาช้านาน บางทีอาจมีมาหลายร้อยปีหลายพันปีด้วยซ้ำ ส่วนรายละเอียดในตอนนี้ยังตามสืบได้ยาก
แต่อาวุธของแปดตระกูลใหญ่เมืองหยินที่ปรากฏในบทเพลงพื้นบ้าน ตามคำวิเคราะห์ตัดสินของผู้พิทักษ์รัตติกาล อย่างน้อยก็อยู่ในขั้นสุริยะพรายแล้ว!
สำหรับผู้ที่เริ่มเข้าสู่ขอบเขตพลังเหนือธรรมชาติช้า ตอนนี้แค่เอาวัตถุเหนือธรรมชาติเหล่านี้ไปก็สามารถกำหนดขั้นตามระดับพลังเหนือธรรมชาติได้
ทั้งนี้สุริยะพรายย่อมแข็งแกร่งกว่าปรมาจารย์นักรบขั้นพันยุทธ์อยู่แล้ว
อีกอย่างสำหรับผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ อาวุธที่อยู่ในขั้นสุริยะพรายนับว่าเป็นของล้ำค่าที่หาได้ยากมากเสียด้วย
………………………………………………………………………….
หวังหมิงหวั่นไหวเล็กน้อย เขาอดพูดไม่ได้ว่า “พี่ฮ่าวครับ ในเมื่อกระบี่เล็กเล่มนี้เป็นสมบัติสืบทอดในตระกูล…งั้นแบบนี้ผมจะขอดูได้ไหมครับ เพราะผมเองก็สนใจพวกของเก่าแก่นี้มาก…”
จากนั้นยังพูดต่ออีกว่า “ตอนอยู่ไป๋เยวี่ยผมก็สะสมของเก่าไว้มากเหมือนกัน ถ้าพี่ฮ่าวชอบ รอตอนกลับบ้านช่วงวันหยุดผมค่อยเอามาให้พี่ฮ่าวเล่นหน่อยแล้วกัน”
“ช่างเถอะ”
หลี่ฉ่าวคลี่ยิ้มออกมาด้วยท่าทีใสซื่อกล่าว “นายหยิบเองแล้วกัน ไม่มีอะไรน่าดูนักหรอก แต่แค่ไม่ทำพังก็พอ ถึงแม้อาจจะไม่ได้มีค่าอะไรแต่นี่ก็เป็นสมบัติสืบทอดของตระกูล หลังจากพ่อแม่ลาโลกนี้ไป กระบี่เล่มนี้ก็เป็นของดูต่างหน้าที่มีค่าที่สุดในตระกูลแล้ว”
“วางใจได้ ผมไม่ทำพังแน่นอนครับ”
พอได้รับอนุญาตจากหลี่ฮ่าว หวังหมิงก็ดีใจยกใหญ่!
ได้มาครั้งนี้ไม่เสียเที่ยวเลยจริงๆ!
ถึงเวลานี้จะแอบลักเอาไปไม่ได้ง่ายๆ ถึงอย่างไรทางฝั่งผู้พิทักษ์รัตติกาลก็อยากรู้ข้อมูลมากกว่านี้ รวมถึงข้อมูลบางอย่างของผู้อยู่เบื้องหลังด้วย ดังนั้นขอได้ชมเป็นบุญตาสักครั้งก่อนก็ดีเหมือนกัน
เขาคว้ากระบี่เล็กในกระเป๋ากางเกงหลี่ฮ่าวออกมาโดยไม่เกรงใจอีกต่อไป
ชั่ววินาทีที่คว้ากระบี่เล็กสีเงินมาอยู่ในมือ หวังหมิงก็ผุดท่าทีตกตะลึงเผยออกทางสีหน้าชั่วขณะ
เจ้านี้เป็นวัตถุเหนือธรรมชาติจริงๆ ด้วย!
ถึงแม้พลังลี้ลับจะเบาบางมากกระทั่งหากมีเสื้อผ้ามากั้นอยู่ยังยากที่จะสัมผัสได้ แต่พอเขาคว้ามาอยู่ในมือกลับสัมผัสได้ถึงความแตกต่างอย่างชัดเจน แม้กระทั่งพลังลี้ลับในร่างกายตนยังกระโดดโลดเต้นขึ้นมาในฉับพลัน!
“ของดีเชียว!”
หวังหมิงเผยแววตาหิวกระหายให้เห็น ไม่ว่าจะเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติคนใด ขอแค่ได้สัมผัส บางทีอาจจะหิวกระหายอยากได้มันมาครอบครองกันทั้งนั้น
เพราะขีดจำกัดในการพัฒนาพลังเหนือธรรมชาติน้อยเกินไป
ตอนนี้วัตถุเหนือธรรมชาติขาดแคลนอย่างหนัก เกรงว่าแม้แต่ผู้กล้าขั้นสุริยะพรายบางส่วนในหน่วยผู้พิทักษ์รัตติกาลยังไม่มีวัตถุเหนือธรรมชาติในครอบครองด้วยซ้ำ
อีกอย่างเขาอยู่แค่ขั้นจันทราทมิฬ
หากเทียบกับคนเก่าคนแก่แล้ว เขายิ่งไขว่คว้าสมบัติพวกนี้มาได้ยากกว่า
……………………………………………………………………..