ตอนที่ 33 คนดีดวงดี (2)
ชายชราก็ไม่ได้ตอบกลับอะไรแต่เดินเร็วขึ้นเรื่อยๆ ร่างของเขาก็ค่อยๆ หายไปจากตรอกเล็กๆ นั่น
ในเมื่อแน่ใจแล้วว่าโจวเฮ่อถูกจับตัวไปคงไม่จำเป็นต้องสั่งให้เขาทำอะไรต่ออีก
…
ณ กองตรวจการณ์
แม้ว่าอีกไม่นานหลี่ฮ่าวจะถูกย้ายแล้ว แต่เขาก็ยังทำภารกิจของตัวเองให้ลุล่วงอย่างจริงจังตั้งใจ
ช่วงบ่ายพอเขาทำงานของตัวเองเสร็จ โทรศัพท์บนโต๊ะทำงานก็ดังขึ้น
หลิวเยี่ยนโทรมา
บอกให้เขาแวะไปที่หน่วยปฏิบัติการหน่อย
หลี่ฮ่าวบอกกล่าวเฉินน่าและหวังหมิงก่อนจะเดินจากไปเพียงลำพังโดยมุ่งหน้าไปทางหน่วยปฏิบัติการภายใต้สายตาที่อิจฉาของเฉินน่าและสายตาที่อยากรู้อยากเห็นของหวังหมิง
ณ ห้องใต้ดิน
รอยเลือดถูกทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว
เขาไม่เห็นตัวโจวเฮ่อและผู้หญิงที่แซ่หยวนนั่นเลยไม่รู้ว่าตายหรือยังมีชีวิตอยู่
แต่หลี่ฮ่าวไม่ได้สนใจเรื่องนี้
บางครั้งหลี่ฮ่าวก็มองว่าการตายเป็นเรื่องปกติ อยู่โดดเดี่ยวลำพัง เพื่อนก็ตายแล้ว พ่อแม่ก็ตายแล้ว แฟ้มคดีมากมายที่เขาทำมาไม่มีใครที่หนีความตายพ้นเลยสักคน
ทำคดีมามาก พอทำมามาก ใจก็ค่อยๆ ชินไปเอง
ชั้นใต้ดินมีห้องประชุมขนาดเล็กอยู่ห้องหนึ่ง
ในตอนนี้ทั้งหลิวหลงและหลิวเยี่ยนต่างก็อยู่ที่นั่น ส่วนคนอื่นไม่รู้ว่าไปไหนแล้ว เพราะไม่เห็นพวกเขาโผล่มาเลย
เมื่อหลี่ฮ่าวเดินเข้ามา หลิวหลงก็บอกให้เขานั่งลง
หลี่ฮ่าวนั่งลงแต่โดยดี
แต่จนถึงตอนนี้หลิวเยี่ยนที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ยังคงแสดงท่าทีแปลกๆ
หล่อนเหลือบมองหลิวฮ่าวแวบหนึ่ง ถามขึ้นด้วยแววตาแปลกใจ “ตอนกลับไปทำงานคิดถึงเรื่องน่าขยะแขยงอะไรบ้างไหม”
“…”
สีหน้าหลี่ฮ่าวเต็มไปด้วยความสงสัย เรื่องน่าขยะแขยงอะไรกันเหรอ
หลิวเยี่ยนทำได้เพียงพูดขึ้นอีกครั้ง “ไม่กลัวหรอ?”
“หะ?”
หลี่ฮ่าวรู้สึกแปลกใจ กลัวเหรอ?
ทำไมล่ะ
จบไปแล้วไม่ใช่หรอ
ทำไมยังต้องกลัวอีก
ครั้นหลิวเยี่ยนเห็นแววตาเช่นนี้ของเขาก็รู้สึกเหนื่อยใจและจนใจแล้วจริงๆ เจ้าหมอนี่ต้องเป็นโรคจิตวิปริตแหงๆ
เขากลับไปทำงานต่อจริงๆ เหรอ
ลงสนามครั้งแรก มีใครบ้างที่จะไม่คิดย้อนรำลึกถึงมัน!
ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ ไม่ว่าจะฆ่าคนหรือไม่ กระทั่งไม่แม้แต่จะเห็นเลือด มันก็คุ้มค่าที่จะนึกย้อนถึงมันนี่นา!
แล้วหลี่ฮ่าวล่ะ
ทำราวกับว่าเรื่องทุกอย่างมันผ่านไปแล้วอย่างนั้นเหรอ!
“เสี่ยวฮ่าวฮ่าวไม่คิดอะไรบ้างเลยหรอ?”
หลี่ฮ่าวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นว่า “คิดสิครับ พี่สาว ผมก็ไม่ใช่คนไม่มีหัวจิตหัวใจนะ ระหว่างทางกลับผมคิดมาตลอดทางว่าโจวเฮ่อเป็นปรมาจารย์นักรบสิบสังหาร เขาจะมีวิทยายุทธลับอะไรติดตัวหรือเปล่า หากปรมาจารย์ตายไปแล้วจะแยกพลังเหนือธรรมชาติออกมาได้เหมือนกับพวกมีพลังเหนือธรรมชาติหรือไม่…แม้จะไม่มี แต่ปรมาจารย์ก็มีกำลังภายใน แล้วเราสามารถแยกกำลังภายในออกมาได้หรือเปล่า
‘บ้าเอ้ย!’
หลิวเยี่ยนในตอนนี้รู้สึกว่าเจ้าหมอนี้บ้าไปแล้วแน่ๆ
เธออดก่นด่าเขาไปทีไม่ได้ “โรคจิต! นายนี่มันเลือดเย็นชะมัด!”
“…”
หลี่ฮ่าวช่างไร้เดียงสาจังแฮะ!
ทำไมล่ะ
ในความคิดของเขา ทีมล่าปีศาจต่างหากที่ไม่ปกติ
นี่เป็นเรื่องที่คนปกติทั่วไปต้องคิดอยู่แล้วไม่ใช่เหรอ?
คนชั่วฆ่าคนได้สายสะพายทองคำ แล้วเขาฆ่าสิบสังหารไปทั้งคน หากจะถามว่ามีผลประโยชน์อะไรยึดมาได้บ้างจะแปลกตรงไหน?
หลิวหลงเองก็เอือมระอาจึงเอ่ยเสียงขรึมตัดบทสนทนาของพวกเขาทั้งคู่ “เอาเถอะ! เรายังไม่ต้องคุยกันเรื่องนี้! มาคุยเรื่องที่ผมเพิ่งได้รับรายงานมาเมื่อสักครู่ดีกว่า หลี่ฮ่าวคุณคือบุคคลที่อยู่ในเหตุการณ์ ดังนั้นจึงต้องให้คุณมารับฟังด้วย!”
หลี่ฮ่าวพยักหน้าอย่างว่าง่าย
“โจวเฮ่อที่คุณฆ่า…”
หลี่ฮ่าวยกมือขึ้นราวกับเป็นเด็กนักเรียน เขารีบปฏิเสธ “ผมไม่ได้ฆ่าเขา!”
“…”
หลิวหลงพูดเสียงเรียบ “คุณซัดจนกระดูกขาเขาแหลก ตะกุยเขาจนเห็นกระดูกขาว เตะไตของเขาจนเละไม่เหลือชิ้นดี และทุบม้ามของเขาจนทะลุ…หากไม่ใช่เพราะเป็นปรมาจารย์ที่มีพลังชีวิตแข็งแกร่งคงตายคาที่ไปแล้ว แต่ต่อให้เป็นเช่นนั้นก็ช่วยชีวิตเขาไว้ไม่ทัน!”
แสดงว่าโจวเฮ่อตายแล้วจริงๆ
หลี่ฮ่าวผงะเล็กน้อย แต่ไม่นานก็กลับมาปกติเช่นเดิม เขาเงียบไม่พูดอะไร
ตายก็ตายไปสิ
อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้ฆ่าอีกฝ่ายตายด้วยมือตัวเอง คู่กรณีเสียชีวิตระหว่างสอบสวนต่างหาก หากไม่ได้ตายต่อหน้าเขา หลี่ฮ่าวก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ไป
ลงมือครั้งแรกก็จัดการฆ่าปรมาจารย์นักรบสิบสังหารตายแล้ว
ความจริงหลี่ฮ่าวแอบสนใจเรื่องนี้อยู่บ้าง เพียงแต่…พอคิดว่าอีกฝ่ายเป็นคนชั่ว หลี่ฮ่าวก็กลับมาใจสงบเช่นเดิม ในฐานะที่เป็นผู้ตรวจการณ์ การลงโทษความชั่วและส่งเสริมความดี จัดการฆ่าพวกคนร้าย นี่คือสิ่งที่กองตรวจการณ์เคยกล่าวถึงในระหว่างการอบรม
ในกรณีที่คนร้ายขัดขืนและภายใต้สถานการณ์ที่สามารถทำร้ายตนได้ทุกเมื่อ กองตรวจการณ์แนะนำว่าให้ลงมือจัดการคนร้ายได้เลย!
ในเมื่อเป็นเช่นนี้…ก็ไม่มีอะไรต้องพูดอีก
หลิวหลงไม่สนใจว่าเขาจะรู้สึกเช่นไรแล้วเอ่ยเสริม “โจวเฮ่อ อายุ40ปี ปรมาจารย์แห่งเมืองเย่ากวง!”
เมืองเย่ากวงเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของมณฑลหยินเยวี่ย รองจากเมืองไป๋เยวี่ย ประชากรสิบล้าน มั่งคั่งกว่าเมืองหยินสิบเท่า!
“ฝึกการต่อสู้ตอนอายุ 21 เขาได้รับการสอนโดยปรมาจารย์นักรบทะลวงร้อยท่านหนึ่งแห่งเมืองเย่ากวง…อาจารย์ของเขาเสียชีวิตเมื่อสิบปีที่แล้ว โจวเฮ่อเข้าสู่สิบสังหารตอนอายุ 32 หลังจากนั้นแปดปีต่อมาก็ไม่มีความก้าวหน้าใดๆ อีก!”
“เมื่อปีที่แล้วโจวเฮ่อได้เข้าร่วมองค์กรที่เกี่ยวข้องกับผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ องค์กรนี้ชื่อว่าหน้ากากผี! คนที่ดูแลรับผิดชอบองค์กรหน้ากากผีคือปรมาจารย์นักรบทะลวงร้อยท่านหนึ่ง ไม่ใช่ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติแต่อย่างใด ทั้งโจวเฮ่อและหยวนเซียวล้วนเป็นสมาชิกขององค์กรนี้!”
องค์กรที่อยู่ภายใต้ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ?
หลี่ฮ่าวครุ่นคิด ส่วนหลิวหลงเอ่ยเสียงทุ้มขึ้นว่า “องค์กรผู้มีพลังเหนือธรรมชาติมีไม่น้อย แต่กรณีที่เลือกให้ปรมาจารย์นักรบทะลวงร้อยท่านหนึ่งก่อตั้งองค์กรขึ้น อีกทั้งยังคัดเลือกพวกปรมาจารย์นักรบเข้าร่วม แถมมีปรมาจารย์นักรบสิบสังหารไม่น้อยเลยทีเดียว องค์กรแบบนี้…ไม่ธรรมดาแน่นอน!”
“นายต้องรู้ว่าเพราะผลประโยชน์เป็นต้นเหตุ เว้นแต่เรื่องการเลื่อนขั้น สำหรับปรมาจารย์นักรบแล้วการซื้อตัวพวกเขาไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ฉะนั้นหากจะให้พวกเขาถวายชีวิตอย่างเต็มใจย่อมยากยิ่งกว่า แต่องค์กรนี้กลับจัดหาพลังลี้ลับอันมหาศาลให้กับปรมาจารย์นักรบสิบสังหารพวกนี้ได้ แม้ว่าจะกลายเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติไม่ได้แต่ก็อาจจะเลื่อนขั้นเป็นปรมาจารย์ทะลวงร้อยได้…นายต้องรู้ไว้ว่าแม้แต่ผู้พิทักษ์รัตติกาลยังใช้พลังลี้ลับสุ่มสี่สุ่มห้าไม่ได้เลย”
หลี่ฮ่าวขมวดคิ้วเล็กน้อย “ลูกพี่หมายความว่าองค์กรนี้มีสถานภาพทางการเงินที่ไม่ธรรมดา! เป็นองค์กรขนาดใหญ่และมีความสามารถยอดเยี่ยมมากงั้นเหรอครับ?”
“ใช่!”
หลิวหลงพยักหน้า มองหน้าหลี่ฮ่าวแวบหนึ่งเอ่ยต่อ “อีกอย่างเป็นแค่องค์กรที่เกี่ยวข้ององค์กรหนึ่งแต่มีปรมาจารย์นักรบทะลวงร้อยด้วย…ในยุคนี้ปรมาจารย์ทะลวงร้อยมีไม่มากแล้ว แน่นอนว่าเมืองกวงเย่าอาจจะมีมากหน่อย แต่ผู้แกร่งกล้าวิชายุทธ์อย่างปรมาจารย์นักรบทะลวงร้อยจะยอมถวายชีวิตให้ด้วยความเต็มใจนั้นกลับไม่ใช่เรื่องง่ายเลย”
หลี่ฮ่าวพยักหน้าอีกครั้ง
หลิวหลงพูดต่อ “จากคำให้การของโจวเฮ่อ ภารกิจของเขาและหยวนเซียวแค่สะกดรอยตามคุณโดยไม่ให้คุณออกนอกพื้นที่เมืองหยินเท่านั้น ภารกิจง่ายมากย่อมไม่ใช่บทบาทสำคัญอะไร!”
หลี่ฮ่าวพยักหน้าอีกครั้ง
จู่ๆ หลิวหลงก็โพล่งถามขึ้นว่า “เรื่องนี้มีเรื่องแปลกๆ แฝงอยู่ด้วย คุณพอจะมองออกไหม”
หลี่ฮ่าวคิดทบทวนเรื่องราวทั้งหมด หลังจากคิดวิเคราะห์อยู่พักหนึ่งก็เหมือนนึกอะไรขึ้นได้จึงเอ่ยเสียงเบา “ลูกพี่หมายถึงว่าองค์กรนี้แข็งแกร่งมาก ดังนั้นคนที่ถูกส่งมาก็ต้องแข็งแกร่งมากด้วย…แต่เรื่องนี้เราคาดเดาได้ตั้งแต่แรกแล้ว คงไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร…”
เขามองหลิวหลงอีกครั้งเหมือนนึกอะไรบางอย่างขึ้นได้ แววตาของเขาสั่นไหวเล็กน้อย: “อีกฝ่ายมีองค์กรที่เกี่ยวข้องอื่นด้วย งั้นก็หมายความว่าไม่ใช่องค์กรผู้มีพลังเหนือธรรมชาติธรรมดาๆ แสดงว่าก็ไม่เชิงว่าไม่ให้ความสำคัญกับคนธรรมดาเลยสะทีเดียว อีกอย่างถ้าพูดถึงปรมาจารย์นักรบทะลวงร้อยทั่วไปแล้วคงไม่ได้ลำบากอะไรขนาดนั้น หากยศตำแหน่งต่ำหน่อยก็คงอยู่ในระดับเดียวกับหัวหน้า หรือไม่ก็เป็นคนระดับสูง ๆในกองตรวจการณ์…หรืออาวุธร้อน”
ทันใดนั้นเขาก็คิดถึงเรื่องนี้ขึ้นได้
พวกหลิวหลงใช้ความสามารถในการต่อสู้ก็จริง แต่แท้จริงแล้วส่วนหนึ่งก็อาศัยพลังของอาวุธร้อนในการโจมตีผู้มีพลังเหนือธรรมชาติเช่นกัน
แสดงว่าองค์กรนี้ก็อาจมีอาวุธร้อนจำพวกปืนอยู่ด้วยอย่างนั้นเหรอ?
หลิวหลงพยักหน้า “ไม่เพียงเท่านี้ฝีมือการต่อสู้ของปรมาจารย์นักรบของฝ่ายตรงข้ามอาจแข็งแกร่งกว่าผู้พิทักษ์รัตติกาลด้วยซ้ำ อาวุธร้อนคือประการที่หนึ่ง ประการที่สอง พวกนั้นอาจมีข้อมูลทั้งหมดของทีมล่าปีศาจเรา! ดังนั้นในสายตาของพวกมัน พวกเราไม่มีความลับใดๆหลงเหลืออยู่แล้ว!”
หลิวเยี่ยนเอ่ยเสริม “ประการที่สาม ในขอบเขตมนุษย์ธรรมดาก็มีองค์กรหนึ่ง สายรายงานมาว่าความสามารถไม่เลวเลย อาจารย์หยวนซั่วของนายก็อาจเป็นบุคคลที่พวกเขากำลังพิจารณาอยู่! รวมถึงผู้พิทักษ์รัตติกาลสองคนนั้นด้วย ผู้พิทักษ์รัตติกาลขั้นจันทราทมิฬสองคนนั้นต่างก็เป็นบุคคลที่พวกเขากำลังพิจารณาอยู่เช่นกัน!”
หลิวเยี่ยนเอ่ยด้วยท่าทีจริงจังขึ้นเล็กน้อย “เมื่อเป็นแบบนี้ ด้วยความรอบคอบของพวกเขาและการวางแผนมานานนับสิบปี อย่างน้อยก็ต้องจัดหาปรมาจารย์นักรบทะลวงร้อยมามากกว่าสองคน ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติขั้นจันทราทมิฬสองคน! รวมกับพวกเรา…อย่างน้อยอีกฝ่ายก็ต้องจัดเตรียมคู่ต่อสู้ขั้นจันทราทมิฬและปรมาจารย์นักรบทะลวงร้อยราวๆ ห้าคนเพื่อจัดการนาย!”
ทว่าเรื่องนี้เกินขอบเขตความสามารถของพวกเขาไปแล้ว
…………………………………………………….