ตอนที่ 43 บำเพ็ญร่วม (1)
“พรูด!”
แล้วเขาก็กระอักเลือดออกมาอีกครั้ง
หลี่ฮ่าวลืมตาสะลึมสะลือ จนถึงตอนนี้เขาก็ยังใช้วิชาห้าปานภูตอยู่ พลังที่ปะทุอยู่ภายในร่างกายก็ค่อยๆ สงบลงเล็กน้อย
ทว่าพลังสีแดงนั้นทะลักเข้ามาไม่หยุด กระทั่งหลี่ฮ่าวรู้สึกด้วยซ้ำว่าสายเลือดทั้งร่างโดนพลังอุดไว้ ถึงขนาดที่ว่ารู้สึกเหมือนเส้นเลือดในร่างกายแข็งเป็นก้อน เขาไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไร ในทางกลับกันเขาไม่รู้สึกอะไรเลยมากกว่า!
เวลานี้เหมือนว่าร่างกายไม่ใช่ของตัวเอง!
“ตื่นแล้วเหรอ?”
เสียงของอาจารย์ดังขึ้นข้างหู
หลี่ฮ่าวลืมตาขึ้น แววตาฉายแววอ่อนล้า พลันก็เหลือบเห็นอาจารย์กำลังจูงสุนัขเดินเล่นอยู่ด้านข้าง สุนัขที่เขากำลังพาเดินเล่นนั้นก็คือเจ้าเสือดำนั่นเอง
“อาจารย์ครับ!”
หลี่ฮ่าวไอแล้วกระอักเลือดออกมา แต่เลือดที่ไหลออกมาเป็นสีดำ
หยวนซั่วในตอนนี้อ่อนล้าอย่างยิ่ง แต่ก็ยังเฝ้าหมอนี่อยู่หนึ่งวันเต็มๆ กระทั่งในที่สุดก็เห็นหลี่ฮ่าวฟื้นคืนสติพร้อมพลังที่ฟื้นฟูกลับมาจึงคร้านจะพูดอะไรมากมาย แต่ขโมยจี้หยกกระบี่ราวเหมือนเป็นหัวขโมยแทน
“เอามาให้ฉันดูดซับพลังหน่อย!”
หลี่ฮ่าวเผยสีหน้าเหนื่อยหน่าย การกระทำเช่นนี้ของอาจารย์…ไม่ค่อยจะเหมาะสมกับสถานะอาจารย์ของเขาเลย!
“อาจารย์ ผม…”
“ฉันรู้น่า ฉันตรวจสอบดูแล้ว พลังในร่างกายเธอมีมากเกิน แต่ว่าตอนนี้กำลังประคองให้อยู่ในสภาวะที่สมดุล ตอนนี้ยังไม่ตายหรอก… ถ้าเธอไม่ยกพลังของเธอให้ฉันดูดซับเข้าไปละก็ อีกเดี๋ยวได้กลายเป็นศพให้ฉันตามเก็บแน่นอน!”
หยวนซั่วกล่าวเหมือนล้อเล่น แต่ความจริงแล้วค่อนข้างหนักหนาสาหัสมากทีเดียว
หากไม่ใช่เพราะก่อนหน้านี้กลัวว่าขโมยจี้หยกกระบี่ไปแล้วนักเรียนคนสนิทของตัวเองจะโดนพลังทะลวงจนตาย เขาคงแย่งไปนานแล้ว
แต่นั่นเพราะอีกฝ่ายเป็นนักเรียนของตน หากเป็นคนอื่น หยวนซั่วจะยอมรอถึงตอนนี้เหรอ
พลังภายในร่างกายตอนนี้ปั่นป่วนเหลือเกิน!
ปั่นป่วนยิ่งกว่าหลี่ฮ่าวเสียอีก หลี่ฮ่าวแค่โดนพลังทะลวง แต่เขากำลังสูญเสียพละกำลัง พลังภายในสลายหายไป บวกกับพลังจิตวิญญาณก็ได้รับบาดเจ็บไปไม่น้อย
กระทั่งทำร้ายไปจนถึงชั้นจิตวิญญาณ
สมแล้วที่ ‘เคล็ดวิชาดาบโลหิต’ นั้นเป็นวิชาต้องห้าม หยวนซั่วเองก็สัมผัสได้ถึงความร้ายกาจของวิชาประเภทนี้เป็นครั้งแรก และแน่นอนว่า ‘เคล็ดวิชาดาบโลหิต’ ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับหลี่ฮ่าว
แต่มันเกี่ยวโยงกับการใช้พลังในชั้นจิตวิญญาณ หลี่ฮ่าวต้องรอจนบรรลุขั้นพันยุทธ์ก่อนแล้วค่อยว่ากัน วิชาต้องห้ามนี้ถึงแม้ว่าจะแข็งแกร่ง แต่ก็ใช่ว่าคนทั่วไปจะใช้ได้ เพราะคนที่ใช้อาจชดใช้ราคาที่ต้องจ่ายไม่ไหว
เขาดูดซับพลังของจี้หยกกระบี่…
ในวินาทีนั้นอาการบาดเจ็บในร่างกายเขาก็ดีขึ้นบ้างแล้ว หยวนซั่วเองก็อดถอนหายใจไม่ได้
สะใจจริงๆ!
สะใจอย่างบอกไม่ถูก!
ความรู้สึกเมื่อเห็นรุ้งหลังฝนตกช่างสบายเสียจริง บ้าเอ๊ย หากว่าก่อนนี้ตนเองได้ใส่จี้หยกกระบี่ ไม่แน่ว่าอาจจะสามารถใช้เคล็ดวิชาดาบโลหิตได้อีกครั้งหนึ่ง อาวุธของทั้งแปดตระกูลนั้นร้ายกาจกว่าที่จินตนาการเอาไว้มาก
รวมไปถึงหินมีดนั้นด้วย หากไม่ใช่เพราะมีหินมีดอยู่ในมือ เขาก็อาจจะไม่สามารถทะลวงการป้องกันของเจ้าหมอนั่นได้อย่างง่ายดายด้วยพลังในขั้นพันยุทธ์ของเขาเช่นนี้แน่นอน
การจะสามารถสังหารปรมาจารย์เซียนดับสวรรค์ย่อมขาดหินมีดและเคล็ดวิชาดาบโลหิตไม่ได้
ครั้งนี้ที่เอาชนะคู่ต่อสู้ได้ ถือว่าโชคดีมากแล้ว
“อาจารย์!”
หลี่ฮ่าวมองหยวนซั่ว หยวนซั่วในตอนนี้ดูอ่อนล้าไม่เหมือนว่ากำลังเสแสร้งอยู่เลย อีกทั้งแถวนั้นก็ไม่มีคนอื่น ฉะนั้นเสแสร้งแกล้งทำไปก็ไม่มีความหมายอะไร
“พวกเราชนะแล้วเหรอครับ?”
“ชนะแล้ว!”
หยวนซั่วดูดซับพลังพลางก่นด่า “พวกชาดจันทรานี่โหดใช้ได้เลย! แค่รับมือกับคนธรรมดา แต่กลับส่งสุดยอดผู้แข็งแกร่งในขั้นไตรสุริยามาคนหนึ่ง พวกเขาทำได้ลงคอจริงๆ… โชคดีที่ถูกฉันกำจัดไปแล้ว!”
ไตรสุริยา?
หลี่ฮ่าวในตอนนี้ขยับตัวไม่ได้จึงทำได้แค่พิงผนังที่สกปรกแล้วกล่าวถาม “ไตรสุริยา…อยู่เหนือสุริยะพรายอีกเหรอครับ”
“ถูกต้อง หมอนั่นนั่นแหละ!”
หยวนซั่วสูดลมหายใจขณะสัมผัสการฟื้นฟูของอาการบาดเจ็บ จากนั้นอารมณ์ก็ดีขึ้นไม่น้อย “เหนือขั้นสุริยะพรายคือพลังไตรสุริยา สุริยะพรายทั้งสามรวมกันคือไตรสุริยา หมายความว่าพลังของผู้มีพลังเหนือธรรมชาติในขั้นสุริยะพรายสามคนรวมกันจะเท่ากับยอดฝีมือในขั้นไตรสุริยา !”
“เดิมทีฉันคิดว่าต่อให้คนที่ชักใยอยู่เบื้อหลังมีแผนการอะไรก็ตาม แต่ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติเพิ่งจะปรากฏตัวเมื่อ 20 ปีก่อน คนขั้นไตรสุริยาในมณฑลหยินเยวี่ยก็มีเพียงน้อยนิด แต่ฝั่งภาคกลางอาจจะมีมากหน่อย พอฝ่ายตรงข้ามส่งคนในขั้นสุริยะพรายมาก็ถือว่าเขาให้ความสำคัญกับเธอมากแล้ว…หนุ่มน้อย แต่นี่เล่นส่งคนในขั้นไตรสุริยามาเชียวนะ!”
ครั้งนี้อันตรายมากจริงๆ
หากไม่ใช่เพราะมีหินมีดอยู่ หากไม่ใช่เพราะหยวนซั่วเลื่อนขั้นและยังมีตำราโบราณจำนวนนับไม่ถ้วนที่พอจะใช้ได้อยู่ละก็ คนในขั้นไตรสุริยาคงจัดการพวกเขาทุกคนได้อย่างสบายๆ และหากจะทำลายเมืองหยินให้ราบเป็นหน้ากลองก็ไม่ใช่เรื่องยากอะไร
หลี่ฮ่าวเองก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่ง
นั่นสิ ให้เกียรติกันจริงๆ เชียว!
ยิ่งเป็นแบบนี้ก็ยิ่งพิสูจน์ได้ว่า ความยุ่งยาก…ยังไม่จบลงแค่นี้แน่!
เพื่อคนธรรมดาเพียงคนเดียวอย่างตน ฝ่ายตรงข้ามถึงขั้นส่งคนที่มีพลังในระดับเช่นนี้มา ครั้งนี้ถูกอาจารย์สังหารไปได้ แล้วครั้งหน้าล่ะ
“อาจารย์ครับ ทำไมอาจารย์ฆ่าหมอนั่นได้ อาจารย์ทะลวงผ่านขั้นพลังเหรอครับ”
“ไม่”
ทันใดนั้นเองหยวนซั่วก็เลิกคิ้วขึ้นพลางส่ายหน้า “ไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้นหรอก ก่อนอื่นเราไม่พูดถึงพวกผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ แต่พวกปรมาจารย์นักรบในขั้นพันยุทธ์…หมดสิ้นหนทางแล้ว!”
หมดสิ้นหนทางแล้ว!
หลี่ฮ่าวชะงักไปเล็กน้อย “งั้นที่อาจารย์กลายเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติก็เหมือนกัน แค่พลังมีดไม่พอเหรอครับ?”
“ไม่ใช่เพราะเหตุผลนี้หรอกนะ ตอนนี้ยังบอกนายไม่ได้ ส่วนนายเอง…ทะลวงไปถึงขั้นทะลวงร้อยก่อนแล้วค่อยว่ากัน หนทางภายหน้ายังอีกยาวไกล”
ในตอนนี้เขาไม่อยากพูดอะไรมาก พูดมากไปก็รังแต่จะรบกวนจิตใจคนตรงหน้าเปล่าๆ
แล้วเขาก็กล่าวอีก “แน่นอน สถานการณ์ของนายในตอนนี้….ฉันเองก็อ่านไม่ออกหรอกนะ! นายดูดซับพลังอะไรเข้าไป เลือดในร่างกายถึงแข็งทื่อไม่ยอมหมุนเวียน ทั้งหมดล้วนเป็นพลังทั้งนั้นแถมยังไม่ใช่พลังลี้ลับเสียด้วย”
หลี่ฮ่าวครุ่นคิด แล้วเปิดปากอธิบาย “ก็ชั้นจิตวิญญาณที่ผมบอกไปไงครับ มันเข้าไปในร่างกายผมแล้วถูกกระบี่ของผมทำร้ายกลับ จากนั้นพลังจำนวนมหาศาลก็ทะลักเข้าไปในร่างกายผมแล้วผสานเข้ากับพลังกระบี่ในร่างกายจนเกิดเป็นพลังพิเศษกลุ่มหนึ่ง…ก่อนหน้านี้ผมเองก็เคยดูดซับมาก่อน เพียงแต่ว่าดูดซับน้อยเกินไปเลยส่งผลอย่างมากกับเลือด แต่ไม่เหมือนตอนนี้ที่ดูดซับไปมากเกินไป จนดูดซับได้ไม่ดีมากนัก!”
“แน่นอน!”
หยวนซั่วพยักหน้า “ฉันเข้าใจคุณสมบัติของร่างกายเธอเป็นอย่างดี มีพลังในขั้นสิบสังหารก็ไม่ถือว่าอ่อนแอแล้ว แต่พลังที่เธอดูดซับเข้าไปนั้น…เกรงว่าคงจะเหนือกว่าขั้นพันยุทธ์เสียอีก! มากเกินไปทำให้แบกรับไม่ไหว แต่ที่ไม่อาจทำอะไรเธอได้น่าจะเป็นเพราะจี้หยกกระบี่! ผสานพลังของมันเข้าไว้ด้วยกันแต่กลับทำให้เธอตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากแทน”
หลี่ฮ่าวเองก็ลองดูดซับพลังครู่หนึ่ง แต่กลับพบว่าทำอะไรไม่ได้ราวกับถูกแช่แข็งเอาไว้จริงๆ!
แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะ
ในตอนนี้อาการบาดเจ็บของหยวนซั่วเองก็ดีขึ้นมาก พอเห็นหลี่ฮ่าวพยายามลองจะดูดซับพลังก็ส่ายหน้าพลางกล่าว “เธอเผลอดูดซับพลังนั้นมากจนเกินไป ตอนนี้มันแข็งไปหมดแล้ว! อาศัยแค่ตัวเองเกรงว่าคงจะดูดซับได้ยาก!”
หลี่ฮ่าวขมวดคิ้ว
เขามองอาจารย์ เขารู้สึกเหมือนอาจารย์ตัวเองน่าจะมีวิธีอะไรบางอย่าง
ในสายตาของเขานั้นหยวนซั่วแทบจะรู้ไปหมดทุกเรื่อง ถึงแม้พูดแบบนี้ไปจะเหมือนเขาประเมินอาจารย์ตนเองสูงเกินไปหน่อย ทว่าตั้งแต่ในอดีตจนถึงตอนนี้กลับเป็นแบบนี้มาตลอด แม้แต่เรื่องที่เขาไม่รู้แต่เหมือนว่าอาจารย์ตนเองจะรู้ดีไปเสียทุกเรื่อง
เพราะไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไร อาจารย์ก็สามารถแก้ไขมันได้หมด
หยวนซั่วกล่าวต่อ “ต่อไปฉันก็ไม่รู้หรอกนะว่าเธอจะเจอปัญหาที่ใหญ่กว่านี้ไหม…แต่ว่าเธอเป็นผู้สืบทอดที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวของทั้งแปดตระกูลในเมืองหยิน พวกองค์กรชาดจันทราไม่สามารถบรรลุเป้าหมายบวกกับเพิ่งจะฆ่ายอดฝีมือในขั้นไตรสุริยาไปหนึ่งคนแบบนี้ พวกเขาคงไม่ยอมเลิกราง่ายๆ แน่!”
“แน่นอนว่าเพราะมีฉันอยู่ ตอนนี้พวกเขาก็ไม่ได้รู้รายละเอียดแน่ชัดย่อมไม่กล้าผลีผลามลงมือแน่…ยิ่งไปกว่านั้นครั้งนี้ฉันฆ่ายอดฝีมือในขั้นไตรสุริยาไปหนึ่งคน ต่อไปฝ่ายตรงข้ามส่งคนมาเกรงว่าคงจะไม่ใช่แค่คนในขั้นไตรสุริยาเพียงคนเดียว อย่างไรเสียก็ยังมีผู้พิทักษ์รัตติกาลอยู่ เอาตามธรรมเนียมปฏิบัติที่ผ่านมาแล้วกัน ในนามที่ฉันยังเป็นศาสตราจารย์ที่มีความร่วมมือกับผู้พิทักษ์รัตติกาลอยู่…อย่างไรเสียในระยะเวลาสั้นๆ นี้ พวกเขาไม่น่าจะกล้าลงมือแน่”
………………………………………………………………..