ตอนที่ 49 สาขาย่อยของเมืองหยิน (1)

STARGATE ปริศนาประตูแห่งดารา

ตอนที่ 49 สาขาย่อยของเมืองหยิน (1)

เมืองหยิน

หลังจากพวกเฮ่อเหลียนชวนจากไป พวกชาดจันทราก็ถูกกำราบไปด้วย ทำให้เมืองหยินค่อยๆ สงบสุข

เหมือนว่าการต่อสู้ที่ผ่านมาเป็นเพียงแค่ความฝัน

จากนั้นทางฝั่งชาดจันทราก็ไม่ได้ส่งคนมาอีก พวกผู้พิทักษ์รัตติกาลต่างก็แยกย้ายกันไป เมืองหยินก็ยังคงเป็นเมืองหยินแบบที่เคยเป็นมา เพียงแต่มหาวิทยาลัยกู่ย่วนของเมืองหยินในตอนนี้กลับมีปรมาจารย์นักรบที่ปราบไตรสุริยาจนเขย่าขวัญคนทั่วทั้งเมืองหยินได้!

ผู้พิทักษ์รัตติกาลเอากระบี่ที่หยวนซั่วให้หลี่ฮ่าวกลับไปด้วย

ฝ่ายตรงข้ามป่าวประกาศออกไปแล้ว…ส่วนเรื่องป่าวประกาศอย่างไรหรือป่าวประกาศจริงหรือไม่นั้น ความจริงหลี่ฮ่าวเองก็ไม่ได้รู้เรื่องทั้งหมดนี้มากนักเพราะเขาไม่ได้อยู่ในแวดวงนี้จึงไม่ได้รู้เรื่องราวภายใน

ทว่าพอมีอาจารย์คอยจับตามอง หลี่ฮ่าวเองก็ไม่กลัวว่าฝ่ายตรงข้ามจะเล่นลูกไม้ใดด้วยอีก

ส่วนผลประโยชน์ที่ตกปากรับคำเอาไว้นั้น ผู้พิทักษ์รัตติกาลยังไม่ทันได้ส่งมาให้ ซึ่งในจุดนี้หยวนซั่วก็ให้หลี่ฮ่าวรอไปก่อน ถ้าผู้พิทักษ์รัตติกาลไม่ตกปากรับคำก็อีกเรื่อง แต่ที่รับปากเอาไว้ก็ควรจะให้ดั่งปากว่า เพียงแต่อาจจะล่าช้าไปสักหน่อย

ในตอนนี้การค้นหาโบราณสถานเป็นสิ่งสำคัญ ผู้พิทักษ์รัตติกาลต้องการทรัพยากรจำนวนมหาศาล เกรงว่าเวลานี้คงจะไม่อยากทุ่มให้หลี่ฮ่าวมากจนเกินไป รอให้การค้นหาโบราณสถานเสร็จสิ้นลงก่อน ตอนนั้นไม่ว่าจะสำเร็จหรือล้มเหลว จะมากจะน้อยก็น่าจะได้อะไรบ้าง

จากคำพูดของของหยวนซั่ว พอถึงตอนนั้นบางทีหลี่ฮ่าวอาจฉกฉวยโอกาสเลือกสมบัติที่เหมาะสมกับตัวเองได้

เพราะเรื่องที่หยวนซั่วบรรลุขั้นส่งผลให้การค้นหาโบราณสถานต้องล่าช้าลงไปอีกระยะหนึ่ง ทุกคนต่างต้องใช้เวลาเพื่อดูดซับพลัง รวมถึงองค์กรของพวกผู้มีพลังเหนือธรรมชาติเองก็ต้องการเวลาเตรียมตัว หยวนซั่วคนเดิมแทบจะไม่เข้าตาใคร แต่หากหยวนซั่วในตอนนี้อยากจะเข้าร่วมด้วยก็จำเป็นต้องทุ่มพลังมากกว่า

อย่างน้อยๆ องค์กรใหญ่แต่ละแห่งต้องส่งคนในขั้นสุริยะพรายมาหนึ่งถึงสองคน หรืออาจจะเป็นคนในขั้นไตรสุริยาสักคนมารับมือกับหยวนซั่ว ยอดฝีมือพวกนี้ใช่ว่าอยากส่งมาก็ส่งมาได้เลยเสียเมื่อไหร่

……

เพียงชั่วพริบตาเดียวเวลาก็ดำเนินมาถึงวันที่ 25 กรกฎาคมแล้ว

ในระยะเวลาหนึ่งอาทิตย์นี้หลี่ฮ่าวกำลังทำความคุ้นเคยกับพลังที่เพิ่มมากขึ้น หากช่วงทำงานกลางวันไม่มีอะไรทำ สมาชิกทุกคนก็จะพักผ่อน ส่วนกลางคืนก็จะไปเรียนหนังสือที่บ้านอาจารย์ ไปฟังเรื่องราวที่พิลึกกึกกือน่าตื่นตาตื่นใจพวกนั้น

เอาเถอะ ถือว่าเป็นบันทึกโบราณแล้วกัน

หลายปีมานี้หยวนซั่วไปขุดโบราณสถานต่างๆ มามากมาย ตัวเขาเองยังไม่ยกอะไรให้ใครทั้งนั้นและไม่เอาของออกมาจากสถานที่ดังกล่าวด้วย เพราะบางอย่างเก็บรักษาได้ไม่สะดวก ส่วนใหญ่เขาจะอ่านแล้วจำอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ทำลายทิ้งจนเกลี้ยง

ดูจากการกระทำของคนผู้นี้แล้ว ความจริงไม่ถือว่าเป็นคนดีอะไรมากมายนัก

แน่นอน จากจุดนี้สามารถมองออกว่าหยวนซั่วมีความจำเป็นเลิศ มิน่าตอนนั้นถึงอยากรับหลี่ฮ่าวเป็นลูกศิษย์ เห็นได้ชัดว่าการมีความจำที่ดีถือเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญที่เขาใช้พิจารณา

หลายวันหลังจากนั้นสมองของหลี่ฮ่าวก็เหมือนจะระเบิดอยู่รอมร่อ หยวนซั่วบอกว่าลำดับต่อไปมีเรื่องต้องไปจัดการ เขาอยากส่งมอบทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเก็บสะสมเอาไว้ตลอดหลายปีนี้ให้หลี่ฮ่าว ในช่วงนี้หลี่ฮ่าวจะต้องท่องจำหนังสืออย่างๆ น้อยหลายสิบเล่ม

แต่นี่เป็นเพียงแต่เศษเสี้ยวของมรดกความรู้จากหยวนซั่วด้วยซ้ำ

หยวนซั่วเลือกแค่พวกตำราโบราณที่สำคัญเท่านั้น เขาไม่ทิ้งตำราอะไรที่เป็นหลักฐานทางลายลักษณ์อักษรไว้เลย หากหลี่ฮ่าวสามารถท่องจำได้ก็ถือว่าเป็นความรู้ของเขาไป แต่ถ้าจำไม่ได้หยวนซั่วก็ไม่ได้ตระเตรียมหนังสือหรือหาอะไรไว้ให้เขาแต่อย่างใด

……

ณ กองตรวจการณ์

หน่วยปฏิบัติการ

หลายวันมานี้ไม่มีพวกผู้มีพลังเหนือธรรมชาติปรากฏกายขึ้นอีก ส่วนพวกคนในหน่วยปฏิบัติการก็สงบลงไปมาก คนที่ควรจะลาดตระเวนก็ออกไปทำหน้าที่ของตัวเอง ส่วนพวกที่ควรไขคดีก็ทำงานของตัวเองไป

ส่วนพวกหลิวเยี่ยนเองก็ย้ายขึ้นมาจากชั้นใต้ดินกลับไปทำงานในห้องทำงานของตัวเองแล้วเช่นกัน

ส่วนหลี่ฮ่าวก็เริ่มทำงานตามปกติ ตอนนี้เขาถูกย้ายมาที่หน่วยปฏิบัติการอย่างเป็นทางการ

ตอนเช้าหลี่ฮ่าวเพิ่งเดินเข้าไปในตัวอาคาร ผู้ตรวจการณ์สาวฝ่ายต้อนรับในห้องโถงก็กล่าวพลางยิ้มสดใส “หลี่ฮ่าว หัวหน้าหลิวกำลังตามหาตัวนายอยู่ บอกว่าถ้านายมาแล้วให้ไปพบเขาหน่อย!”

“ได้เลยครับ ขอบคุณนะครับพี่อู๋!”

หลี่ฮ่าวปากหวาน พอมาทำงานที่หน่วยปฏิบัติการหลายๆ วันเข้าก็เริ่มคุ้นเคยกับคนพวกนี้ขึ้นมาบ้างแล้ว ทุกคนต่างก็ชอบเขามาก ยิ่งพอรู้ว่าเขาเป็นนักเรียนจากกู่ย่วน ซึ่งถือว่าเป็นพวกมีการศึกษา แถมเจอใครก็ยังยิ้มแย้มให้ บางครั้งก็เผยรอยยิ้มเขินอายจนชวนให้เหล่าสาวๆ ในกองตรวจการณ์ชอบเขามากขึ้นไปอีก

ฟากของหน่วยตรวจการณ์เองก็รู้เรื่องของทีมล่าปีศาจบ้างแล้ว

ทว่าทุกคนต่างรู้ดีแก่ใจว่าหลี่ฮ่าวถูกลากเข้าไปเกี่ยวข้องโดยไม่ได้ตั้งใจ หนำซ้ำเจ้าตัวก็ยังไม่ใช่ปรมาจารย์นักรบที่ต่อสู้ได้อย่างเก่งกาจเหมือนหัวหน้าทีม ดังนั้นพวกเขาจึงยิ่งเห็นใจกับการที่เจ้าตัวต้องเข้าร่วมทีมล่าปีศาจที่แสนจะอันตรายอย่างยิ่ง

ผู้ตรวจการณ์สาวที่ทำหน้าที่ต้อนรับผู้นี้เห็นใจหลี่ฮ่าวมาก ครั้นเห็นหลี่ฮ่าวกำลังขึ้นไปด้านบน หล่อนก็รีบกล่าวขึ้นว่า “หลี่ฮ่าว ช่วงนี้หน่วยตรวจการณ์เสียหายไปไม่น้อย มีหลายจุดที่ขาดแคลนกำลังคน ถ้านายไม่มีอะไรทำก็บอกหัวหน้าให้ย้ายนายไปทีมอื่นก็ได้ ถ้าไม่ได้จริงๆ ก็คอยอยู่เป็นฝ่ายต้อนรับกับฉันที่นี่ก็ได้ สบายกว่าเยอะ!”

“ครับๆ ผมจะต้องไปบอกหัวหน้าแน่ๆ ขอบคุณนะครับพี่อู๋!”

หลี่ฮ่าวหันกลับไประบายยิ้มให้อีกฝ่ายอีกครั้ง

ผู้ตรวจการณ์หญิงที่ถูกเรียกว่าพี่อู๋นั้นส่งยิ้มหวานให้เขา หล่อนชอบหนุ่มน้อยที่ว่านอนสอนง่ายแบบหลี่ฮ่าวที่สุด…พ่อหนุ่มน้อยเอ๋ย

……

หลี่ฮ่าวเดินไปที่ห้องทำงานของหลิวหลงด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม

หลายวันมานี้ทุกคนต่างกำลังดูดซับพลังต่างๆ ที่ได้มาจากรางวัลหลังสงคราม

ลูกพี่เรียกหาเขาทำไมกันนะ

หรือว่ามีภารกิจอีกแล้วเหรอ

เขาเดินขึ้นไปด้านบนด้วยความสงสัย ยังไม่ทันได้เข้าไปในห้องทำงาน แววตาก็วูบไหวแปลกๆ

ในห้องทำงานมีกลุ่มแสงปรากฏ!

ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ!

ดูจากขนาดของแสงและความสว่างของมันแล้ว น่าจะเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติในระดับขั้นจันทราทมิฬ

ผู้มีพลังเหนือธรมชาติคนไหนมากันนะ?

เขาเคาะประตูแล้วเสียงหลิวหลงก็ดังแว่วออกมา “เข้ามาได้!”

หลี่ฮ่าวจึงผลักประตูเข้าไป เมื่อเห็นสถานการณ์ภายในห้องแล้ว เขาก็ชะงักไปเล็กน้อย

ไม่มีคนนอก!

ภายในห้องล้วนแต่เป็นคนในทีมล่าปีศาจที่คุ้นเคยกันดี

เขามองไปที่คนผู้หนึ่งอย่างประหลาดใจ อวิ๋นเหยา!

ใช่แล้ว อวิ๋นเหยาบรรลุขั้นแล้ว

หล่อนกลายมาเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติแล้ว!

หล่อนคือหมอของทีม คิดไม่ถึงว่าจะเลื่อนขั้นแล้ว หลายวันมานี้คนอื่นๆ ไม่ได้มีพัฒนาการอะไรมากมายและติดตรงปัญหาเดิมที่ยังคงอยู่ หลังจากหลิวเยี่ยนเลื่อนขั้นเป็นทะลวงร้อยก็แทบจะหลุดออกจากรายชื่อที่จะได้กลายเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติด้วยซ้ำ

คนที่เหลืออย่างเฉินเจียน อู่เชาที่อาการบาดเจ็บเพิ่งจะหายดี ช่วงนี้เวลาดูดซับพลังเหนือธรรมชาติจึงไม่กล้าดูดซับมากเกินไป ส่วนอวิ๋นเหยาบาดเจ็บไม่มากเลยหายดีนานแล้ว

หลายวันมานี้ดูดซับพลังไปก็มาก คิดไม่ถึงว่าจะเลื่อนขั้นแล้วจริงๆ!

เมื่อเห็นว่าทันทีที่หลี่ฮ่าวเข้ามาก็เอาแต่จับจ้องอวิ๋นเหยา หลิวเยี่ยนที่นั่งไขว่ห้างอยู่ภายในห้องทำงานก็ทำสีหน้าไม่พอใจ “มองอะไรกัน! หน้าของหล่อนมีอะไรงอกออกมาหรือไง”

ตั้งแต่บรรลุขั้นทะลวงร้อย ทำให้ตอนนี้หล่อนไม่ได้เกรงกลัวอวิ๋นเหยาเหมือนก่อน

หลี่ฮ่าวเองก็เก้อเขิน เขาไม่ได้ต่อล้อต่อเถียงอะไรด้วย เพียงแต่ทำความเคารพผู้เป็นหัวหน้าเท่านั้น “ลูกพี่!”

“อืม มาแล้วเหรอ คนครบแล้ว!”

ก่อนจะเจอหลี่ฮ่าว เขาได้เจออวิ๋นเหยาก่อนแล้ว ตอนนี้ตัวเขาเองก็เผยรอยยิ้มออกมา “ดูท่าทางถึงแม้ว่านายจะไม่ได้แข็งแกร่งอะไร แต่ประสาทสัมผัสก็ถือว่าใช้ได้… สัมผัสได้ถึงความแตกต่างอะไรอย่างนั้นเหรอ”

“ครับ!”

หลี่ฮ่าวพยักหน้าแล้วมองไปที่อวิ๋นเหยาอีกครั้ง จากนั้นก็กล่าวขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “ขอแสดงความยินดีด้วยครับพี่อวิ๋น!”

บนใบหน้าอวิ๋นเหยาเผยรอยยิ้มที่ไม่รู้ว่าจะเรียกว่ารอยยิ้มได้หรือไม่ ก่อนจะผงกศีรษะน้อยๆ กล่าวเสียงเบา “โชคดีที่เลื่อนขั้นปลดล็อกกลอนพลังเหนือธรรมชาติจนบรรลุกลายเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติแล้ว เพียงแต่เสียดายที่…”

เจ้าหล่อนถอนหายใจน้อยๆ

หลิวหลงกล่าวเสียงเรียบ “เลื่อนขั้นได้ก็ถือว่าไม่เลวแล้ว ยังจะหวังอะไรมากมายอีก”

หลิวเยี่ยนเห็นหลี่ฮ่าวไม่เข้าใจเลยหัวเราะเอิ๊กอ๊ากกล่าว “อวิ๋นเหยาบรรลุขั้นแล้ว ผลคือก่อนนี้เจ้าหล่อนมีพลังพิเศษที่ช่วยในการรักษา แต่จู่ๆ ก็ไม่มีแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่าจะดันมีพลังเหนือธรรมชาติที่เกี่ยวกับน้ำขึ้นมาแทนเสียได้! จากที่เคยเป็นหมอดันกลายเป็นคนที่สั่งน้ำได้ตามใจชอบแทน!”

หลิวหลงอธิบายแทนอวิ๋นเหยา “ปกติ! ก่อนจะกลายเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ ใครก็ไม่สามารถแน่ใจได้ว่าตนเองจะมีพลังเหนือธรรมชาติแบบไหนกันแน่ ยิ่งไปกว่านั้นความจริงพลังเหนือธรรมชาติที่เกี่ยวกับสายน้ำก็ยังพอมีพลังในการรักษาอยู่บ้าง บางครั้งผู้มีพลังเหนือธรรมชาติธาตุน้ำในบางองค์กรต้องรับหน้าที่เป็นหมอรักษาด้วยซ้ำ”

ถึงจะพูดแบบนี้ แต่ความจริงแล้วกลับแตกต่างกันมาก

…………………………………………………………………………………….