ตอนที่ 53-4 ตระกูลเฉียว (4)

STARGATE ปริศนาประตูแห่งดารา

ตอนที่ 53 ตระกูลเฉียว (4)

ใช่แล้ว พลังแสงที่แทบมองไม่เห็นเมื่อมีประตูกั้น

แต่จังหวะที่เปิดประตูหลี่ฮ่าวกลับรู้สึกเหมือนตาแทบจะบอด

ให้ตาย!

พลังแสงนี้ทำให้หลี่ฮ่าวรู้สึกว่า…บางทีอาจจะอ่อนกว่าปรมาจารย์ดับสวรรค์ในวันนั้นหน่อย แต่ไม่อ่อนกว่ามากอย่างแน่นอน

ไตรสุริยาอย่างนั้นเหรอ

ระดับสูงสุดของสุริยะพรายหรือเปล่านะ

ทำไมอยู่ข้างนอกถึงสัมผัสไม่ได้สักนิด ต้องรู้ด้วยว่าพลังแสงนี้ไม่ใช่สิ่งที่อะไรจะบดบังได้ แต่เป็นการกระจายตัวของพลังที่หลี่ฮ่าวสามารถมองทะลุเห็นได้

แต่ก่อนหน้านี้เขามองไม่เห็น!

นี่บ่งบอกอะไร

บ่งบอกว่าคนแก่ตรงหน้าเก็บซ่อนคลื่นพลังไว้ทั้งหมด กระทั่งรอหลี่ฮ่าวเจออีกฝ่ายเองกับตาถึงเห็นพลังภายในตัวอีกฝ่าย แถมยังไม่แผ่กระจายออกมาด้วย

เขาควบคุมและปกปิดพลังได้ในระดับปรมาจารย์นักรบ

แต่พลังของปรมาจารย์นักรบล้วนมาจากการฝึกของตน ฉะนั้นหากไม่สะดุดตาจึงเป็นเรื่องปกติ

ทว่าพลังของผู้มีพลังเหนือธรรมชาติแทบจะได้มาจากปัจจัยภายนอกทั้งหมด ดูดซับมันมาจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะปกปิดได้สมบูรณ์แบบขนาดนี้…นอกเสียจากว่ามีวัตถุเหนือธรรมชาติที่เทียบเท่าของหลี่ฮ่าวบดบังอยู่!

‘เฉียวเฟยหลง กลับเป็นผู้แข็งแกร่งระดับสูงสุดของสุริยะพรายหรือไตรสุริยาเสียได้!’

น่าเหลือเชื่อ!

หลี่ฮ่าวคิดไม่ถึงจริงๆ เขาคิดว่าต่อให้กิจการเหมืองแร่เฉียวกรุ๊ปจะเป็นองค์กรรอบนอกของยมราช เฉียวเฟยหลงก็เป็นแค่ผู้ที่คอยเสกเงินให้พวกเขาเท่านั้น

แต่ความจริงพิสูจน์แล้วว่าเรื่องมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด

ผู้แข็งแกร่งที่อยู่ในระดับสูงสุดของสุริยะพรายหรือไตรสุริยาจะเป็นแค่เครื่องมือเสกเงินจริงหรือ

แถมปกปิดได้อย่างสมบูรณ์แบบขนาดนี้!

หลี่ฮ่าวถือเครื่องตรวจจับเดินสำรวจต่อไปพลางคำนวณในใจทีหนึ่งอย่างตะลึงงัน

‘หากตัดเฉียวเฟยหลงไปยังมีเดือนหงายอีกหนึ่งคน แสงดาราสามคนเปิดเผยตัวตนไปแล้ว…นี่เป็นแค่สำนักงานใหญ่นะ แล้วที่อื่นๆ ล่ะ’

ตระกูลเฉียวแกร่งกว่าที่จินตนาการไว้มาก

หากเป็นไปตามที่หลี่ฮ่าวคาดเดาไว้ ทางนี้มีจันทราทมิฬก็ถือว่าดีไม่หยอกแล้ว สูงสุดก็เดือนหงายซึ่งอาจจะเป็นไพ่ใบสุดท้าย แต่เพราะหยวนซั่วยังอยู่ในเมือง หลี่ฮ่าวจึงไม่กลัวอะไรจริงๆ

“ผู้บังคับการตรวจตราหลี่ สำรวจเสร็จหรือยัง”

เฉียวเผิงในเวลานี้ก็ชักจะไม่สบอารมณ์ประมาณหนึ่ง หากหลี่ฮ่าวท้าทายขนาดนี้เขายังไม่ทำอะไรก็ดูเสแสร้งเกินไปแล้ว

หลี่ฮ่าวตอบอย่างหงุดหงิดว่า “จะรีบทำไม!”

พอสิ้นคำก็หันไปมองเฉียวเฟยหลง “ประธานเฉียว เดิมทีผมเด็กกว่าจึงไม่ควรวู่วามแบบนี้! แต่ประธานเฉียวเป็นบุคคลในตำนานของเมืองหยิน ผมคิดว่าประธานเฉียวอาจจะกำลังยุ่งกับงานเกินไปจนลืมอบรมสั่งสอนลูกหลานนะครบ!”

เฉียวเฟยหลงยิ้มอย่างเป็นมิตร “หมายความว่ายังไง ผู้บังคับการตรวจตราหลี่บอกมาตรงๆ ก็ได้”

“เฉียวเผิงคนนี้!”

หลี่ฮ่าวชี้ไปทางเฉียวเฟิง “เจ้าหมอนี่ใจกล้าไม่น้อย! หลิวเยี่ยนเป็นรองหัวหน้ากลุ่มปฏิบัติการของผู้พิทักษ์รัตติกาล และผมเป็นผู้บังคับการตรวจตราเจ้าหน้าที่ระดับสูง! แต่เฉียวเผิงคนนี้กลับพูดจาล่วงเกินไม่ให้เกียรติต่อหน้าทุกคนหลายครั้งแล้ว!”

หลี่ฮ่าวดูเดือดดาลไม่น้อย “รังแกหญิงหม้ายมันน่าภูมิใจมากเหรอ หน่วยงานย่อยของผู้พิทักษ์รัตติกาลเพิ่งก่อตั้งก็จริง แต่คิดจะกำจัดตระกูลเฉียวของคุณก็ไม่ใช่เรื่องเกินตัว! ตอนนี้พลังเหนือธรรมชาติผงาดขึ้น ธุรกิจตระกูลเฉียวของพวกคุณใหญ่โตคับฟ้าแค่ไหน ถ้าไม่รู้จักทำอะไรอย่างรอบคอบ ปล่อยให้คนผู้นี้สร้างปัญหาไปทั่ว ผมคิดว่าต้องเกิดเรื่องในสักวันแน่!”

เฉียวเฟยหลงทำหน้าปกติ สักพักก็พยักหน้าน้อยๆ “คุณสอนถูกเลย! เฉียวเผิงค่อนข้างเอาแต่ใจจริงๆ…ที่แท้ก็เพราะเรื่องนี้นี่เอง ผู้บังคับการตรวจตราหลี่วางใจได้ หลังจากนี้ไปเฉียวเผิงจะไม่ตามตื๊อหลิวเยี่ยนอีก!”

“พ่อครับ!”

เฉียวเฟิงทำท่าไม่พอใจ เฉียวเฟยหลงกลับพูดเสียงจริงจังว่า “อายุตั้งสามสิบกว่าแล้วไม่รู้ขอบเขตสักนิด! ผู้บังคับการตรวจตราหลี่อายุยังน้อย แต่คำพูดในวันนี้ฉันคิดว่ามีเหตุผลดี! พลังเหนือธรรมชาติผงาดขึ้น แกไม่คิดหาวิธีเลื่อนขั้นเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ กลับเอาแต่สร้างปัญหาเพราะผู้หญิงคนหนึ่งอยู่วันยังค่ำ!”

ว่าแล้วก็หันไปมองหลี่ฮ่าวกล่าว “ความขัดแย้งระหว่างกันควรได้รับการแก้ไขไม่ใช่ทำให้มันใหญ่โตกว่าเดิม เฉียวเผิงทำตัวขาดความรอบคอบ รองหัวหน้าทีมหลิวก็ใช่ว่าจะยอมพบผม ผมขอโทษเธอแทนเฉียวเผิงด้วย รบกวนผู้บังคับการตรวจตราหลี่ฝากบอกที นอกจากนี้ยังได้เตรียมของไว้ชิ้นหนึ่งด้วย…”

หลี่ฮ่าวโบกมือปัด “ช่างเถอะครับ ไม่จำเป็น!”

“ผู้บังคับการตรวจตราฟังให้จบก่อนค่อยตัดสินใจดีกว่า”

เฉียวเฟยหลงยิ้มเอ่ย “ในเมื่อเฉียวกรุ๊ปเป็นธุรกิจมีชื่อในพื้นที่ ตอนนี้เมืองหยินมีหน่วยงานย่อยก่อตั้งขึ้นย่อมเป็นการเพิ่มระดับการคุ้มครองกิจการในพื้นที่ด้วย! บวกกับเรื่องของรองหัวหน้าหลิว ผมก็พอรู้มาคร่าวๆ สามีของเธอเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุ…แต่ยังไงก็เป็นคนของตระกูลเฉียวผม เสียชีวิตไปอย่างไม่ยุติธรรมแบบนี้ผมเองก็รู้สึกไม่ดีเลย”

“ผมรู้ว่ารองหัวหน้าหลิวใฝ่ฝันที่จะเลื่อนขั้นเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติมาตลอด ตระกูลเฉียวยุ่งเกี่ยวกับขอบเขตพลังเหนือธรรมชาติได้ไม่มาก รู้สึกเสียดายมากที่ไม่สามารถช่วยให้เธอเลื่อนขั้นได้! แต่หลายวันก่อนหน้านี้เราได้รวมรวบพลังลี้ลับจากเมืองไป๋เยวี่ยมาสิบลูกบาศก์ เดิมจะให้เฉียวเผิงไว้ใช้เลื่อนขั้น แต่เฉียวเผิงไม่รู้ขอบเขต ผมกังวลว่าหลังจากเขาเลื่อนขั้นแล้วอาจจะก่อปัญหาไว้มากกว่านี้…สู้มอบให้รองหัวหน้าหลิวดีกว่า ถือว่าเป็นน้ำใจจากผมแล้วกัน!”

เดิมทีหลี่ฮ่าวคิดจะปฏิเสธ แต่พอฟังแล้วก็ทำตัวอึกอัก เงียบไปครู่ใหญ่ก็ตอบเสียงกระท่อนกระแท่นว่า “สิบลูกบาศก์เหรอ นี่…มันแพงเกินไปหรือเปล่าครับ”

“ชีวิตคนมีค่ากว่านี้อีก!”

เฉียวเฟยหลงถอนหายใจกล่าว “มันทำให้ผมสบายใจขึ้นด้วย แต่แค่ช่วยอะไรได้เล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น”

“เอ่อ…พี่หลิวใช่ว่าจะรับไว้…”

หลี่ฮ่าวทำท่าคิดหนัก

“ไม่เป็นไร ถ้าหัวหน้าหลิวไม่เอา…งั้นผู้บังคับการตรวจตราหลี่ก็ทิ้งไปเลย!”

เฉียวเฟยหลงถอนหายใจกล่าว “ของแค่นี้ตระกูลเฉียวคงพอหาได้แต่ก็เสียหายได้เหมือนกัน หวังแค่ว่ารองหัวหน้าหลิวจะสบายใจมากขึ้นและผมก็จะสบายใจมากขึ้นตามไปด้วย”

หลี่ฮ่าวชั่งใจพักหนึ่ง ตอนนี้เฉียวเฟยหลงส่งสัญญาณไป ไม่นานก็มีคนยกกล่องหนึ่งมา

“กล่องนี้เป็นกล่องเก็บพลังที่ได้มาจากพื้นที่ภาคกลาง! มีคุณสมบัติไว้เก็บพลังลี้ลับ ภายในกล่องมีส่วนประกอบของผลึกเหมันต์ พลังลี้ลับสิบลูกบาศก์อยู่ในนี้ แต่เป็นพลังธาตุไฟทั้งหมด ไม่รู้ว่าจะเหมาะกับรองหัวหน้าหลิวหรือเปล่า”

หลี่ฮ่าวรับมาโดยไม่รู้ตัว ไม่หนักมากแต่เขาก็ลดแขนลงหน่อยทำท่าอาลัยอาวรณ์ปนชั่งใจ “นี่…งั้น…ผมรับไว้แล้วนะ ถ้าพี่หลิวไม่เอา…ผมค่อยมาคืนให้พวกคุณ”

“ไม่ต้องหรอก ถ้าเธอไม่เอาก็ทิ้งไปเลยเถอะ!”

หลี่ฮ่าวขบฟันทำท่าเกรงใจหน่อยๆ “งั้น…งั้นผมรับไว้ก่อน ถ้าเธอไม่เอา ผมค่อยทิ้ง…”

“เชิญตามสบาย!”

หลี่ฮ่าวยิ้มออกมาทันทีแล้วรีบกล่าวว่า “ครั้งนี้ถือว่ามารบกวนแล้ว ประธานเฉียวเป็นไอดอลของผม ครั้งนี้เสียมารยาทแล้วจริงๆ! คราวหลังผมปฏิบัติหน้าที่ในเมืองหยินอาจจะต้องพึ่งพาท่านประธานอีกมาก…ขอแค่เฉียวเผิงไม่ตามรังควานพี่หลิว ผมก็จะไม่ทำให้ตระกูลเฉียวต้องลำบากใจ…ความจริงตอนแรกผมก็ไม่ได้คิดจะสร้างความลำบากใจ แต่เฉียวเผิงทำเกินไปจริงๆ!”

เฉียวเผิงที่อยู่ข้างๆ ลอบด่าในใจ

ฉันทำเกินไปตรงไหน

สารเลวนี่เห็นเงินก็ตาลุกวาวเชียว!

ก็ทำไปเพื่อผู้หญิงไม่ใช่เหรอ

หาข้ออ้างตั้งเยอะแยะ ตอนนี้รับของดีไปแล้ว แต่ยังจงใจทำท่าเหมือนเราหาเรื่องก่อน หมดคำจะพูดจริงๆ

อายุยังน้อยแต่กลับเก่งเรื่องประจบประแจงเหลือเกิน

สมกับเป็นคนที่มาจากกู่ย่วนแห่งเมืองหยินจริงๆ วาทศิลป์ดีเหลือเกิน

เฉียวเฟยหลงก็ยิ้มรับประโยคหนึ่ง

หลี่ฮ่าวทำท่าพูดอย่างเกรงใจว่า “คือว่า…ต้องตรวจสอบเหมืองแร่อยู่ดี แต่ประธานเฉียววางใจได้ แค่ดูผ่านๆ ก็พอ เฉียวเฟิงไปด้วยกันกับผม ผมยืนมองอยู่ข้างนอก ภารกิจที่เบื้องบนสั่งมายังไงก็ต้องตรวจสอบให้ครบ! เครื่องตรวจจับพลังเหนือธรรมชาติไม่จำเป็นต้องเอาไปด้วยแล้ว ผมเชื่อว่าประธานเฉียวคงไม่ทำให้ผมต้องลำบากใจ”

“แน่นอนสิ!”

เฉียวเฟยหลงหัวเราะ “ผู้บังคับการตรวจตราหลี่เป็นคนฉลาด หลังจากนี้ถ้ามีเวลาก็มาที่เฉียวกรุ๊ปได้ทุกเมื่อ ตระกูลเฉียวต้อนรับเสมอ!”

“งั้นไม่รบกวนแล้วครับ!”

หลี่ฮ่าวยิ้มร่าเดินตรงออกไปข้างนอก เดินไปก็พูดไปพลางว่า “เฉียวเผิง คุณเรียนรู้จากพ่อของคุณให้เยอะๆ หน่อย ผมจะรอคุณอยู่ชั้นล่าง ท่านผู้เฒ่า อย่าตำหนิเขาแรงเกินไปนะครับ”

“ฮ่าๆ ได้ๆ ผมจะสั่งสอนเขาเอง!”

เฉียวเฟงหลงยิ้มตอบรับอย่างไม่อิดออด รอกระทั่งหลี่ฮ่าวเดินจากไป เข้าไปในลิฟต์และลงไปชั้นล่าง เขาถึงหุบยิ้มมองเฉียวเผิงแวบหนึ่ง ขมวดคิ้วเล็กน้อย “แสดงละครก็ควรให้มันพอดี! รู้ทั้งรู้ว่าหลี่ฮ่าวสนใจหลิวเยี่ยนก็จะเข้าไปยุ่งให้ได้ แบบนี้ก็เหมือนหาเรื่องเขาชัดๆ ไม่ใช่เหรอ ไปเถอะ ไปที่เหมืองแร่กับเขา จำไว้อย่าให้เขาเดินเพ่นพ่าน แกก็ด้วย!”

“รับทราบ!”

“ไปเถอะ!”

เฉียวเผิงไม่กล้าพูดอะไรมากแล้วรีบเดินออกไปทันที

……………………………………………………………………………………….