ตอนที่ 173 จี้หยวนลงเขา

เซียนหมากข้ามมิติ

ตอนที่ 173 จี้หยวนลงเขา

เด็กที่ยังเล็กมากทว่าชาญฉลาด เป็นวัยที่สนใจใคร่รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง และเป็นวัยที่ใฝ่ฝันถึงสิ่งดีงามมากมาย

แต่ความใฝ่ฝันก่อนหน้านี้ล้วนจำกัดอยู่ที่ของอร่อยและของเล่น จำกัดอยู่ที่สิ่งของซึ่งมองเห็นและสัมผัสได้ ส่วนเรื่องอย่างพระจันทร์เต็มดวงนั้น เสี่ยวหยวนเซิงไม่ได้มีแนวความคิดอะไรมากเท่าไหร่ อย่างไรเสียคำพูดเกี่ยวกับนิมิตหมายอันดีก็มีมากมาย ครอบครัวนักล่าสัตว์เพิ่งได้บุตรชายเมื่อหลายวันก่อน เที่ยวพูดไปทั่วว่ามีเมฆเรืองรองเต็มท้องฟ้า ทว่าเสี่ยวหยวนเซิงมองเห็นเพียงท้องฟ้ามืดครึ้ม

กระนั้น ตอนนี้เว่ยอู๋เว่ยผู้เป็นบิดาไม่ใช่แค่เปิดเผยความลับหนึ่งให้เสี่ยวหยวนเซิงรู้ กลับเปิดหน้าต่างที่ยิ่งกว่าลึกลับบานหนึ่งออก

“ปีนั้นข้าเพิ่งรับตำแหน่งผู้นำตระกูล เพิ่งใช้วิธีการต่างๆ ทำให้ทั่วทั้งตระกูลเว่ยเชื่อถือและศรัทธาได้ไม่ทันไร ขณะเดินทางผ่านอำเภอหนิงอันได้ยินว่ามีจอมยุทธ์ได้หนังเสือขาวซึ่งหาได้ยาก จึงมุ่งหน้าเข้าอำเภอไปซื้อ ทว่าระหว่างทางกลับถูกลอบจู่โจมเกือบตาย…”

เขาอธิบายเสียงเบาพลางหวนรำลึก เว่ยอู๋เว่ยหันไปมองสีหน้าบุตรชายที่เอาจริงเอาจังอย่างหาใดเปรียบ

“หยวนเซิง จำผู้สูงศักดิ์สองคนของตระกูลเว่ยอาไว้นะ คนหนึ่งเป็นยอดฝีมือวิชาลับที่ช่วยชีวิตบิดาเจ้าไว้ หากไม่มีเขาก็ไม่มีโชคของตระกูลเว่ยพวกเราสืบต่อมา…มีปานขนาดใหญ่บนใบหน้า ทัณฑ์เหล็กเป็นหนึ่งเดียวกับจิตใจ เสียงทุ้มต่ำแหบพร่า เพราะฝึกฝนทัณฑ์เหล็กสม่ำเสมอจึงน่าเกรงขาม…ฝึกฝนถึงขั้นทัณฑ์เหล็กได้ต้องเป็นผู้เด็ดขาดและยุติธรรม ทำอะไรรุนแรงดุจสายฟ้า รวดเร็วดุจสายลม ลงมือแล้วมีผลลัพธ์โหดร้ายเสมอ อีกทั้งไม่หวั่นไหวไปกับของนอกกาย จนถึงวันนี้ตระกูลเว่ยเรายังสืบค้นฐานะที่แท้จริงของเขาไม่พบ…หากมีโอกาสล่ะก็ บุญคุณนี้ต้องทดแทนให้ได้!”

เมื่อพูดท่อนนี้จบแล้ว เว่ยอู๋เว่ยถามบุตรชายอย่างจริงจัง

“จำไว้แล้วใช่หรือไม่”

เว่ยหยวนเซิงพยักหน้าพร้อมใบหน้าเคร่งขรึม

“จำไว้แล้ว! ท่านพ่อ แล้วผู้สูงศักดิ์อีกคนหนึ่งเล่า”

เว่ยอู๋เว่ยเหมือนกำลังรายงานให้ใต้เท้าฟังอย่างไรอย่างนั้น เมื่อเห็นบุตรชายพยักหน้าถึงเอ่ยต่อ

“อืม ผู้สูงศักดิ์คนที่สองความจริงไม่ใช่มนุษย์ แต่เป็นเซียนชี้นำทางของพวกเราตระกูลเว่ย มีท่านเซียนผู้นี้อยู่ ถึงทำให้ตระกูลเว่ยมีโอกาสก้าวไปข้างหน้า…”

เว่ยอู๋เว่ยหยิบหยกประดับออกมาจากในออกเสื้อ ดึงดูดสายตาชองบุตรชายและภรรยาแล้ว

“หยกประดับนี้เจ้าเคยเห็นแล้ว ทว่าตอนนี้ไม่ใช่โฉมหน้าที่แท้จริงของมัน วันนั้นที่ข้าตกอยู่ในอันตราย เรื่องของเทพเทวดาทำให้จิตใจข้าหวั่นไหว ได้ยินข่าวลือแปลกๆ ที่เกิดขึ้นในอำเภอหนิงอัน จึงขอเจ้าหน้าที่อำเภอนำทางข้าไปเจอบุคคลในข่าวลือนั้นสักครั้ง ซึ่งก็คือท่านจี้ที่ข้าได้พบเพียงครั้งเดียวในตอนนั้นนั่นแหละ…

ตั้งแต่ท่านจี้อาศัยอยู่ในอำเภอ ความมืดมนก็จางหายแทนที่ด้วยกลิ่นหอมเต็มตรอก…จิ้งจอกแดงเห็นท่านจี้แล้วหมอบกราบศรัทธา…จนหยกประดับส่องแสงบอกนามล้อมหยก ทำให้ตระกูลเชื่อมั่นแน่ใจ…ก่อนจากอำเภอไปต้นพุทราก็ออกผลในคืนนั้นเพื่อส่งท่านจี้…

ทุกเรื่องราวไม่เกินจริงสักนิด ทว่าเมื่ออยู่กลางบทสนทนาหลังมื้ออาหารของชาวบ้านและผู้มีประสบการณ์ ย่อมปรากฏความมหัศจรรย์ใจเลือนรางในชีวิตราบเรียบธรรมดาอย่างแน่นอน

เว่ยอู๋เว่ยพูดถึงส่วนของคนผู้นี้จบแล้ว พลันเผยสีหน้าเสียดายที่หาได้ยากยิ่ง

“แต่น่าเสียดายที่ตอนนั้นข้าได้พบหน้าท่านจี้เพียงครั้งเดียว แม้รู้แล้วว่าท่านจี้มีอภินิหาร แต่กลับยังทำความเข้าใจไม่พอเลยสักนิด ตอนที่ทำให้พ่อเจ้าตระหนักถึงจุดนี้ เป็นตอนที่อยู่ริมแม่น้ำวสันต์นอกจังหวัดชุนฮุ่ย เต่าเฒ่าน่ากลัวนั่นอิจฉาจิ้งจอกตัวหนึ่ง แม้กระทั่งริษยาและเคียดแค้นอย่างปิดบังไม่อยู่ เฮ้อ…”

ริมแม่น้ำวสันต์ ช่วงเวลาที่ทุกคนในตระกูลเว่ยเครียดเกร็งและรู้สึกเสี่ยงอันตราย รวมถึงอารมณ์พุ่งพล่านของเต่าเฒ่าในตอนนั้น เว่ยอู๋เว่ยบรรยายทุกรายละเอียดอย่างไม่ขาดตก ไม่เพียงเสี่ยวหยวนเซิงได้ฟังเป็นครั้งแรก ภรรยาเขาก็เพิ่งรู้ว่าตอนนั้นสามีตกอยู่ในอันตรายเป็นครั้งแรก จึงอดไม่ได้ที่จะกอดบุตรชายเอาไว้

อย่างไรเสียก็เป็นปีศาจในน้ำ เว่ยอู๋เว่ยก็พูดตามตรงว่าตอนนั้นเต่าเฒ่าควบคุมอารมณ์ไม่ได้อยู่บ้างอย่างชัดเจน หากตอนนั้นตระกูลเว่ยตอบสนองกลับไปด้วยความรุนแรง เกรงว่าคงจะมีหายนะเกิดขึ้นไม่น้อย

“เต่าเฒ่าก็นับว่ามีบุญคุณกับตระกูลเว่ยเช่นกัน แต่ทุกคนต่างได้รับสิ่งที่ต้องการ ตระกูลเว่ยนำสุราไปมอบให้ทุกปีไม่เคยล่าช้า”

เล่าเรื่องถึงตรงนี้แล้ว เว่ยอู๋เว่ยเชื่อมคำพูดทั้งหมดของเต่าเฒ่า เปิดเผยความลับที่แท้จริงของหยกประดับของตระกูล โอกาสขอเซียนเข้าเขาล้อมหยกมีเพียงภายในยี่สิบปีนี้ และเว่ยหยวนเซิงเป็นความหวังของตระกูลเว่ย

เว่ยอู๋เว่ยเล่าความลับประมาณหนึ่งแล้ว เว่ยหยวนเซิงมีสีหน้าตื่นเต้นและใคร่รู้ ขณะเดียวกันก็เจือความกังวลและหวาดกลัวเอาไว้ด้วย

“ท่านพ่อ เช่นนั้นข้าต้องไปขอเซียนที่เขาล้อมหยกอะไรนั่นเมื่อไหร่”

“อืม พ่อจะไปกับเจ้าด้วย หากพ่ออยู่ที่นั่นด้วยได้ย่อมดีที่สุด แต่หากไม่ได้เจ้าก็ต้องพึ่งตนเองแล้ว”

เว่ยอู๋เว่ยค่อนข้างพึงพอใจในบุตรชายคนนี้ทีเดียว ราวกับไม่ว่าอย่างไรบุตรชายคนนี้ก็น่าจะเข้าเขาล้อมหยกได้ เขาถึงขนาดไม่กล้าให้เสี่ยวหยวนเซิงสัมผัสหยกประดับซึ่งส่งทอดกันในตระกูล ด้วยสงสัยมากว่าหากสัมผัสแล้วจะมีเซียนจากเขาล้อมหยกมาพาบุตรชายไป ให้เสี่ยวหยวนเซิงเรียนหนังสือภายใต้การคุ้มครองของผู้อาวุโสในตระกูลก่อนสักสองปีดีกว่า

“จริงสิ ก่อนหน้านี้ท่านพ่อเคยพูดถึงผลไม้เซียนเมื่อข้าครบเดือน นั่นคืออะไรหรือ”

เว่ยอู๋เว่ยเลียริมฝีปากตามจิตใต้สำนึก

“นั่นย่อมเป็นต้นพุทราในเรือนของท่านจี้ ต้นไม้ต้นนั้นไม่ใช่ต้นพุทราธรรมดาแน่ๆ หลายปีมานี้ยิ่งออกผลน้อยนัก ผลพุทรานั้นเป็นสีแดงเพลิง จึงได้ชื่อว่า ‘พุทราเพลิง’ ภายในนั้นมีแต่ความอัศจรรย์ กว่าจะได้มายากอย่างยิ่ง ผลนั้นที่เจ้าได้กินมาจากความพยายามของพ่อ ได้มาจากจอมยุทธ์แขนเดียวแซ่ตู้ที่ได้มาจากที่นั่น”

“ในเมื่อรู้ว่าอยู่ที่อำเภอหนิงอัน ท่านพ่อไปนำมาเองไม่ได้หรือ”

เว่ยอู๋เว่ยมองบุตรชายตนเอง ยิ้มขึ้น

“หยวนเซิง บนโลกนี้มีหลายสิ่งหลายอย่างที่ใช้เงินซื้อไม่ได้ ใช้วิชายุทธ์ก็แย่งมาไม่ได้เช่นกัน ต้นพุทรานั้นมีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งคอยดูแล ตัวเขามีฐานะเหมาะสม ด้วยเป็นถึงบุตรชายของขุนนางซึ่งสอบได้คะแนนดีสุดยอดตั้งแต่ต้าเจินก่อตั้งมา ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือเขาเล่นสนุกอยู่ข้างกายท่านจี้เสมอ ไม่ใช่เด็กธรรมดาอย่างแน่นอน”

“แค่นี้ยังไม่พอนะ เด็กหนุ่มผู้นั้นไม่มีใครกล้าหือด้วย แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงบัณฑิตผู้หนึ่ง ส่วนต้นพุทรานั้นไม่ใช่ต้นไม้ธรรมดา มีคนอยากไปขโมยผลพุทรามีแต่ต้องเจอกับความลำบาก…หากพูดในมุมกว้างแล้ว นั่นเป็นผลไม้ของท่านจี้ หากได้มาโดยมิชอบ ภายภาคหน้าต้องได้รับกรรมตามสนองแน่…”

“อ๋อ…”

คืนนี้บุตรบิดาสนทนากันจนดึกดื่นๆ เรื่องที่คุยกันเป็นหลักมีมากมาย หลังจากนั้นเว่ยอู๋เว่ยพูดเรื่องที่ต้องพูดไปหมดแล้ว เว่ยหยวนเซิงฟังจบได้ไม่นานก็ผล็อยหลับไปในอ้อมแขนมารดา

วันต่อมา อาจารย์อาวุโสพบกับเว่ยหยวนเซิงที่ห้องหนังสือในเรือนหลังอีกครั้ง

ทว่าครั้งนี้ทำให้อาจารย์หลี่ละเอียดกว่าเดิม คุณชายน้อยตระกูลเว่ยเปลี่ยนไปจากเมื่อวานหน้ามือเป็นหลังมือ ตั้งอกตั้งใจเรียนขึ้นมา

แม้หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเสียสมาธิ แต่สำหรับเด็กวัยเท่านั้นก็ยากจะพบเห็นแล้ว

เห็นเด็กชายตัวขาวอ้วนตั้งใจเขียนหนังสือโดยจับพู่กันอย่างมั่นคง เหงื่อเม็ดเล็กบนใบหน้าและคราบน้ำหมึกเปื้อนบนมือล้วนทำให้อาจารย์อาวุโสทั้งดีใจระคนปวดใจ

ถึงการเปลี่ยนผ่านของฤดูใบไม้ผลิสู่ฤดูร้อนในปีใหม่อีกแล้ว

จังหวัดฉางชวนแห่งรัฐปิง เขาเมฆาข้างอำเภอตงเยวี่ยมีเมฆหมอกเวียนวน ทว่าดวงอาทิตย์ขึ้นแล้ว ไม่นานไอหมอกกลางเขาก็จางหายไป

จี้หยวนตื่นขึ้นบนเตียงในอารามเขาเมฆา ทิ้งเทียบอักษรไว้บนโต๊ะภายในห้อง จากนั้นออกเดินทางลงเขา

นี่เป็นครั้งแรกที่จี้หยวนออกจากเขาเมฆาอย่างแท้จริง หลังจากจัดการธุระของตระกูลหวงเรียบร้อย

ศาลเจ้าที่ข้างเมืองเม่าเฉียนไม่ใหญ่เท่าไหร่ ตั้งแต่ตั้งศาลมาก็มีกำยานมากทีเดียว แรงสนับสนุนของตระกูลหวงมีบทบาทสำคัญไม่น้อย

ศาลเป็นเพียงลานล้อมรั้วที่มีประตูหน้าและหลัง ภายในลานตั้งตำหนักเทพเอาไว้ หน้าตำหนักเป็นกระถางธูป ลึกสามจั้ง วางไว้ด้วยรูปปั้นเทพทำจากดินเหนียว โต๊ะบูชา เบาะทรงกลม และของจำเป็นอื่นๆ

ชายชราผู้น่านับถือซึ่งอาศัยอยู่ใกล้ศาลทำหน้าที่ดูแลศาล โดยเมืองจะมอบเงินค่าจ้างที่เหมาะสมให้กับเขา

วันนี้ในเมื่อไม่มีตระกูลใดเซ่นไหว้ และไม่มีเทศกาลอะไร กอปรกับยังเช้าอยู่มาก ภายในศาลเจ้าที่จึงเงียบเหงา

ชายชราตื่นแต่เช้า เลื่อนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวหนึ่งออกจากในศาลตั้งแต่เช้าตรู่ เตรียมตากแดดครู่หนึ่ง งานนี้ของเขาสบายกว่าการทำนาหรืองานอื่นๆ มาก

ทว่าเพิ่งวางเก้าอี้เรียบร้อย ยังไม่ทันนั่งลงก็พบว่าในลานมีคนอยู่คนหนึ่ง

คล้ายกับเป็นนักบวช สวมเสื้อสีขาวรูปร่างผอมบาง แต่ดูจากจอนผมแล้วไม่เหมือน กำลังยืนอยู่หน้ารูปปั้นเจ้าที่ตรงหน้าตำหนัก ไม่จุดธูปและไม่กราบไหว้

“นี่ ท่านผู้นี้ต้องการจุดธูปบูชาเทพ หรือเซ่นไหว้ขอพรอะไร”

จี้หยวนหันไปประสานมือให้ผู้ดูศาล กล่าวว่า “รบกวนแล้ว” จากนั้นหมุนกายจากไปอย่างสงบนิ่ง

“แปลกคนจริงเชียว…”

ผู้ดูแลศาลเดินซวดเซไปยังประตูทางเข้าศาล กลับพบว่าทั้งหน้าและหลังล้วนไม่เห็นเลยว่าคนผู้นั้นไปไหนแล้ว สิ่งที่เขาไม่เห็นเช่นกันคือกลางศาลตอนนี้มีกระเรียนกระดาษตัวหนึ่งวนเวียน ก่อนจะตกลงบนศีรษะของเจ้าที่ จิกเบาๆ สองครั้ง เกิดระลอกคลื่นตรงที่กระเรียนกระดาษสัมผัสกับรูปปั้นเทพ

เพียงประมาณสองลมหายใจหลังจากนั้น รูปปั้นเทพเจ้าที่โน้มตัวลงมองสถานการณ์ภายในศาล ผู้ดูแลศาลกำลังยืนมองอยู่ที่หน้าประตู ราวกับกำลังหาอะไรอยู่

เทพเจ้าที่เงยหน้ามองกระเรียนกระดาษ รู้สึกแปลกใจเล็กๆ จากนั้นเดินเข้าไปในจวนภายในศาล

กระเรียนกระดาษเพิ่งถึงมือเทพเจ้าที่ก็มีเสียงเทพปรากฏแล้ว

“หากไม่อยากเป็นเจ้าที่ของเมืองเล็กๆ อย่างเม่าเฉียน หนทางมรรคเทพกำยานหยุดได้ที่หน้าร่างทอง!”

เจ้าที่ตัวสั่นสะท้าน เกือบจะทำให้กระเรียนกระดาษยับแล้ว

“ท่านเซียน!”

แม้จี้หยวนมองไม่เห็นว่าเจ้าที่มีปฏิกิริยาใด แต่หากให้เดาก็เดาได้คร่าวๆ เช่นกัน เขากำลังมองหวงซิ่งเยี่ย

ตอนหวงซิ่งเยี่ยขึ้นเขาขอบคุณอารามเขาเมฆา จี้หยวนใช้วิชาช่วยเขาซ่อน ‘เทพร่างคน’ ต่อมาหวงซิ่งเยี่ยหมดอายุขัย จึงลองเชิญ ‘เทพ’ ได้เช่นกัน