ตอนที่ 175 สัมพันธ์สหาย

เซียนหมากข้ามมิติ

ตอนที่ 175 สัมพันธ์สหาย

รัฐจีไม่ขาดแคลนภูเขาที่สุด ภายในสามสิบลี้นอกจังหวัดเต๋อเซิ่งมีเขาแสงคล้อยที่ไม่นับว่ากว้างใหญ่ ทว่าเขาลูกนี้กลับมีชื่อเสียงในยุทธจักรรัฐจี รวมถึงยุทธภพทั้งต้าเจินด้วย นั่นเป็นเพราะที่นี่มีสำนักเขาแสงคล้อย

วิชายุทธ์หลักของสำนักเขาแสงคล้อยมีวิชาฝ่ามือ วิชาดัชนี และวิชากระบี่สามอย่าง ขึ้นชื่อเรื่องว่องไวดุจสายลม แต่สิ่งที่ทำให้สำนักเขาแสงคล้อยมีชื่อเสียงขจรขจายคือเจ้าสำนักลั่วหลิงเอาชนะจ้าวอู๋เซิงผู้เป็นยอดฝีมือได้เมื่อสิบกว่าปีก่อน ทำให้ทั้งยุทธภพรู้ว่าสำนักเขาแสงคล้อยให้กำเนิดยอดฝีมือระดับสุดยอดคนหนึ่ง

และหลายปีมานี้เจ้าสำนักสามลั่วเฟิงแห่งสำนักเขาแสงคล้อยได้ฉายาว่าเป็นคุณชายหน้าหยก เปล่งประกายในยุทธภพมากขึ้นเรื่อยๆ

ฉายาอย่าง ‘นายน้อยเขาเมฆา’ ของลู่เฉิงเฟิงได้รับการเชิดชูเป็นอย่างมาก ทว่าอีกฉายาหนึ่งของคุณชายหน้าหยกคือคุณชายเย็นชา น่าฟังแต่กลับให้ความเคารพอย่างแท้จริง เหมือนกับฉายา ‘เสือหน้ายิ้ม’ ของเว่ยอู๋เว่ยอย่างไรอย่างนั้น

ตอนนี้เสือหน้ายิ้มและคุณชายหน้าหยกกำลังนั่งอยู่ด้วยกันอีกครั้ง ผู้นำตระกูลเว่ยมาเยี่ยมเยือน ลั่วหลิงผู้เป็นเจ้าสำนักย่อมทำหน้าที่เป็นเจ้าบ้าน และมีอีกหลายคนกำลังดื่มชาสนทนากันอยู่ภายในโถงรับแขกของสำนักเขาแสงคล้อยในเวลานี้

ก่อนหน้านี้กินข้าวกลางวันแล้ว ลั่วเฟิงร่วมเที่ยวชมเขาแสงคล้อยด้วย ตอนนี้กลับโถงรับแขกทักทายกันแล้วถึงเริ่มคุยธุระสำคัญ

“ตระกูลเว่ยจะขนสินค้าทุกอย่างให้สำนักเขาแสงคล้อย อีกทั้งขายสินค้าในโรงสุราและโรงทอผ้ามากมายของสำนักเขาแสงคล้อยไปยังจังหวัดหรือรัฐอื่นด้วย พวกข้าเพียงจะแบ่งผลประโยชน์ส่วนน้อยหลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้ว ถือเป็นค่าตอบแทนความจริงใจของตระกูลเว่ย”

เว่ยอู๋เว่ยยังคงยิ้มไม่หุบ หยิบสมุดแถบทองเล่มหนึ่งจากลูกน้องที่อยู่ข้างๆ จากนั้นส่งให้ลั่วหลิงด้วยมือตนเอง

“รายละเอียดทั้งหมดอยู่ในนี้ ก่อนมาข้าตรวจสอบและอ่านอย่างถี่ถ้วนด้วยตนเองแล้ว ท่านเจ้าสำนักโปรดอ่านดู”

ต่อให้วิชายุทธ์สูงเพียงใด เรื่องเกี่ยวพันถึงผลประโยชน์ของสำนักหลังจากนี้ถือว่าเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวัง ลั่วหลิงรับสมุดมาแล้วจึงพลิกหน้าอ่านอย่างละเอียดกับลั่วเฟิงที่นั่งอยู่ใกล้ตนเอง

ตระกูลมีนักบัญชีฝีมือโดดเด่นหลายคน ซึ่งระบุข้อกำหนดบนสมุดอย่างชัดเจน อีกทั้งยังประมาณการค่าใช้จ่ายและผลประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับจากการขนส่งในรัฐต่างๆ ด้วย

ลั่วหลิงอ่านอยู่ครู่หนึ่งแล้วปวดศีรษะอยู่บ้าง ด้วยมีรายการมากเกินไป

“รบกวนผู้นำตระกูลเว่ยแล้ว ถือสาหรือไม่หากข้าให้พ่อบ้านสำนักคำนวณคร่าวๆ สักหน่อย”

“ย่อมได้ เรื่องค้าขายต้องโปร่งใสอยู่แล้ว!”

เว่ยอู๋เว่ยย่อมไม่ปฏิเสธ เขาอยากให้สำนักเขาแสงคล้อยส่งคนไปดูให้ละเอียดจะแย่แล้ว แบบนี้ถึงจะพบความจริงใจที่เต็มเปี่ยมของตระกูลเว่ยได้

ความจริงแล้วผลผลิตของอสังหาริมทรัพย์หลายแห่งในชื่อของสำนักเขาแสงคล้อย ไม่นับว่ามีค่าอะไรมากสำหรับผลกำไรของตระกูลเว่ย หาสิ่งอื่นที่ดีกว่ามาแทนที่ได้ง่ายๆ แต่สิ่งที่เว่ยอู๋เว่ยให้ความสำคัญคือตัวสำนักเขาแสงคล้อยต่างหาก

หลายปีมานี้ความเคลื่อนไหวของกลุ่มตระกูลเว่ยไม่น้อย หากเว่ยอู๋เว่ยตามบุตรชายขึ้นเขาล้อมหยกไปได้ เช่นนั้นระหว่างสิบปีที่ตำแหน่งผู้นำตระกูลว่างเปล่าอันเนื่องการปรึกษาและตัดสินใจภายในตระกูล ไมตรีที่แสดงถึงความจริงใจจึงมีความหมายมาก

เมื่อเจ้าสำนักเขาแสงคล้อยส่งมอบสมุดให้พ่อบ้าน และสั่งให้คนไปตรวจสอบด้วยกัน โถงรับแขกย่อมกลายเป็นสถานที่คุยเล่น หัวข้อสนทนากลายเป็นข่าวลือในยุทธภพโดยปริยาย

เพิ่งพูดถึงเรื่องมือใหม่ในยุทธจักรที่ค่อนข้างโดดเด่นในช่วงนี้ ลั่วเฟิงกลับสนใจขึ้นมาบ้าง

“พูดแล้วก็มีเรื่องหนึ่งควรเล่าให้ฟัง ไม่ทราบว่าผู้นำตระกูลเว่ยเคยได้ยินชื่อตู้เหิงแขนเดียวหรือไม่”

แน่นอนว่าเว่ยอู๋เว่ยรู้ อีกทั้งสนใจเป็นอย่างยิ่ง แต่ตอนนี้กลับแสร้งทำเป็นไม่ค่อยรู้เรื่อง มุ่นคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งค่อยกล่าว

“ตู้เฟิง? เหมือนจะจำได้บ้าง เป็นบุตรชายแขนขาดของตระกูลตู้แห่งจังหวัดเทียนเยวี่ยกระมัง”

“ฮ่าๆ ถูกต้องแล้ว!”

ลั่วหลิงที่อยู่ข้างลั่วเฟิงยิ้มอย่างมีเลศนัย ลั่วเฟิงก็รู้สึกเช่นเดียวกัน

“พี่ใหญ่พูดไว้ไม่เลว ตอนนั้นข้าเคยคิดว่าชีวิตนี้ของตู้เหิงนับว่าเป็นคนพิการแล้ว แต่ไม่คิดเลยว่าความเพียรและพรสวรรค์ของเขาล้วนน่าตกใจ หลังจากพิการก็ยังขึ้นสู่จุดสูงสุดแห่งวิถียุทธ์ ครั้งก่อนเจอสหายตระกูลตู้คนหนึ่ง ได้ยินเขาประเมินตู้เหิงว่าเป็นอันดับหนึ่งในบรรดาคนรุ่นเยาว์ของตระกูลตู้ดาบคลั่งแล้ว วิชาดาบมือซ้ายไม่มีใครสั่นคลอนได้”

บนใบหน้าของเว่ยอุ๋เว่ยปรากฏความประหลาดใจ

“ข้าจำได้ว่าคนตระกูลตู้รุ่นนี้มีผู้หนึ่งนามตู้เจี๋ยเทียน ฉายาหัวกะทิดาบคลั่ง เขาก็เทียบตู้เหิงไม่ติดแล้วหรือ”

ลั่วเฟิงหันมายิ้ม

“ปีก่อนหลังจากแพ้ให้ตู้เหิงในการประลอง ก็ไม่อาจเอาชนะตู้เหิงในการตัดสินใดได้อีกเลย…”

พูดถึงตรงนี้แล้ว ลั่วเฟิงหวนรำลึกครู่หนึ่งค่อยเอ่ยต่อ

“สหายตระกูลตู้เคยพูด บนตัวตู้เฟิงมีกลิ่นอายที่คนหนุ่มและผู้อาวุโสหลายคนในตระกูลตู้ไม่มี มองใต้หล้าพร้อมดาบในมือ ไม่พ่ายแพ้ต่อใคร ว่ากันว่าสองปีก่อนตู้เหิงช่วยฝ่ายราชการจัดการกลุ่มโจรด้วยแขนเดียวและดาบเดียว หลังจากการต่อสู้จบสิ้นพบว่าบนตัวมีบาดแผลฉกรรจ์ถึงชีวิตหลายแห่ง หลังจากรักษาตัวหายแล้วกลับตระกูลตู้ก็เอาชนะตู้เจี๋ยเทียนแล้ว”

“โอ้…เห็นทีในอนาคตต้องเป็นผู้กล้าที่โดดเด่นเป็นแน่!”

เว่ยอู๋เว่ยทอดถอนใจเสียงหนึ่ง

ในทางเดินของสำนักเขาแสงคล้อยเวลานี้ ลั่วหนิงซวงที่กำลังตั้งครรภ์เดินเล่นอยู่กับสามีซึ่งแต่งเข้าตระกูลลั่ว มองเห็นข้ารับใช้สำนักนำทางชายชราผู้หนึ่งที่มีสีหน้าเร่งร้อนเดินไปทางโถงรับแขก

“คนผู้นั้นเหมือนจะเป็นพ่อบ้านตระกูลเว่ย แปลกจัง ข้าไม่เคยเห็นเขามีสีหน้าร้อนใจมาก่อนเลย…”

“ตระกูลเว่ยทางนั้นอาจจะเกิดเรื่อง”

“อืม…”

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง พ่อบ้านจวนตระกูลเว่ยเดินเข้าไปในโถงรับแขกสำนักเขาแสงคล้อย ครั้นเว่ยอู๋เว่ยเห็นอีกฝ่ายก็แปลกใจมากอย่างเห็นได้ชัด

พ่อบ้านชราไม่ได้สนใจอะไรมาก ประสานมือขออภัยต่อคนตระกูลลั่วหลายคน จากนั้นเข้าไปกระซิบที่ข้างหูเว่ยอู๋เว่ย

“ผู้นำตระกูล ท่านจี้มา ซานเยี่ยให้ข้ารีบมาตามท่านกลับ!”

เว่ยอู๋เว่ยสะท้านไปทั้งกาย มองพ่อบ้านชราด้วยความตระหนก ส่วนอีกฝ่ายพยักหน้าน้อยๆ

ไหนเลยจะนั่งติดที่ได้อีก เว่ยอู๋เว่ยลุกขึ้นยืนทันที ประสานมือให้ลั่วหลิงและลั่วเฟิง

“เจ้าสำนักใหญ่ เจ้าสำนักสาม ต้องขออภัยด้วยจริงๆ ที่จวนข้าเกิดเรื่องด่วนจำต้องกลับไปทันที เรื่องที่คุยกันวันนี้ค่อยว่ากันวันหลัง ข้าจะทิ้งสมุดบัญชีไว้ให้ ทุกท่านจะได้วิเคราะห์อย่างละเอียด ข้าคนแซ่เว่ยขอตัวลาก่อนแล้ว!”

“อืม ผู้นำตระกูลเว่ยไปเถอะ ไม่ทราบว่าต้องให้สำนักเขาแสงคล้อยช่วยเหลือหรือไม่ หากมีอันธพาลมาเยือนถึงบ้าน ผู้นำตระกูลเว่ยเอ่ยปากได้เลย!”

ไม่ว่าอย่างไรลั่วหนิงก็เป็นยอดฝีมือเทียมฟ้า พูดจาย่อมเต็มเปี่ยมไปด้วยอานุภาพ ขณะเดียวกันก็แสดงความจริงใจเต็มที่

“ขอบคุณเจ้าสำนักใหญ่มาก เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องร้าย แต่กลัวพูดโดยละเอียดไม่ได้ ข้าคนแซ่เว่ยรอไม่ได้แล้ว หวังว่าเจ้าสำนักทั้งหลายจะให้อภัย!”

เว่ยอู๋เว่ยพยายามพูดอยู่หลายคำ ก่อนจะเร่งฝีเท้าตามพ่อบ้านชราจากไป

ตอนมาถึงคอกม้าของสำนัก เขาไม่นั่งรถม้าคันหรูแล้ว ทว่าเลือกม้าดีตัวหนึ่ง จากนั้นควบม้าออกไปพร้อมกับพ่อบ้านชรา

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง มีข้ารับใช้สำนักเขาแสงคล้อยรายงานเรื่องนี้กับลั่วหนิงและลั่วเฟิง

บนใบหน้าลั่วหนิงยิ่งปรากฏความสงสัยแจ่มชัด

“แปลกจริง ผู้นำตระกูลขี่ม้ากลับไปหรือนี่”

ลั่วเฟิงเองก็หรี่ตาครุ่นคิด

“ท่านจี้? เหตุใดรู้สึกว่าคุ้นหู…”

“เอ๋? เจ้ารู้อะไรหรือ”

ลั่วเฟิงตั้งใจทันที

“นึกไม่ออก แต่รู้สึกว่าเคยได้ยินมาก่อน เป็นหลี่หรือว่าจี้กันนะ สกุลนี้มีให้เห็นน้อยนัก หากเป็นสกุลหลัง…”

ลั่วเฟิงพลันตื่นเต้น

“ข้านึกออกแล้ว ปีนั้นข้าไปรับหนิงซวงที่อำเภอหนิงกัน ได้ยินพวกเขาพูดถึง ‘ท่านจี้’ ซ้ำไปซ้ำมา ทว่าคนผู้นั้นเป็นขอทานที่พวกเขาช่วยมาบนจากเขา ไม่น่าใช่คนเดียวกับที่อยู่ในจวนของผู้นำตระกูลเว่ย”

“อืม…”

ทั้งสองคนคาดเดาอะไรไม่ได้ จึงไม่สนใจคิดต่อเสียเลย หากต้องการความช่วยเหลือจริง ด้วยนิสัยของเว่ยอู๋เว่ยต้องเอ่ยปากเสนอเองแน่นอน

ฝ่ายเว่ยอู๋เว่ยและพ่อบ้านชราควบม้าฟาดแส้เร่งกลับจวนด้วยกัน ระยะทางมั้งหมดไม่กี่สิบลี้ พวกเขาไม่เสียดายแรงม้า ฟาดแส้เร่งม้าให้ควบค่อไปอย่างต่อเนื่อง

โชคดีที่เป็นม้าดีอย่างแท้จริง ทนต่อการคร่อมจากร่างท้วมของเว่ยอู๋เว่ยได้ ทว่าถึงตระกูลเว่ยแล้วเรี่ยวแรงของม้าทั้งสองตัวหดหายอย่างเห็นได้ชัด ม้าตัวที่เว่ยอู๋เว่ยขี่หอบหายใจราวปอดแทบระเบิดยามข้ารับใช้จูงมันไป

เว่ยอู๋เว่ยไม่สนใจจัดแจงเครื่องแต่งกาย ลูบผมง่ายๆ ปัดฝุ่นบนเสื้อผ้าเล็กน้อย แล้วมุ่งหน้าไปที่โถงรับแขกพร้อมกับพ่อบ้าน

ครั้นเดินถึงหน้าประตูแล้วมองเห็นจี้หยวน ความรู้สึกเขายังคงเหมือนตอนนั้น ไม่เปลี่ยนแปลงเลยสักนิด

“ท่านจี้ เป็นท่านจริงๆ ด้วย!”

เขาที่มีสีหน้ายินดีเดินเข้าโถงรับแขกก่อนจะประสานมือคารวะจี้หยวน เว่ยซานเยี่ยที่อยู่ข้างๆ ได้ถอนใจโล่งอกแล้ว

จี้หยวนลุกขึ้นประคองเว่ยอู๋เว่ยเช่นกัน

“ไม่ได้พบกันหลายปี ผู้นำตระกูลยังจำข้าได้อยู่อีก”

“ข้าจะกล้าลืมผู้มีพระคุณได้อย่างไร ท่านจี้ ที่ห้องครัวเตรียมงานเลี้ยงแล้ว ข้าว่าพอเหมาะพอเจาะพอดี ให้บ้านอันต่ำต้อยต้อนรับท่านกินอาหารได้หรือไม่”

บ้านอันต่ำต้อย?

จี้หยวนยิ้มแล้ว

“ยากจะได้กินอย่างอิ่มหมีพีมัน ข้าคนแซ่จี้ย่อมไม่มีทางพลาด”

“ดีๆ ท่านจี้เชิญทางนี้!”

เว่ยอู๋เว่ยส่งสายตาให้คนที่อยู่รอบข้าง จากนั้นนำทางจี้หยวนไปยังห้องจัดเลี้ยงด้วยตนเอง

หลังจากดื่มสุราและกินข้าวอิ่มแล้ว ฮูหยินเว่ยพาเว่ยหยวนเซิงผู้ขี้อายมาถึงหน้าโต๊ะ มองดวงตาสีเทาของจี้หยวนก่อนคารวะอย่างนอบน้อย

“เว่ยหยวนเซิงคารวะท่านจี้!”

จี้หยวนเห็นสีหน้าน่ารักบนใบหน้าขาวอวบของเด็กชายแล้วยิ้มแป้น

“นั่งบนตักพ่อเจ้าเถอะ พวกเราจะได้คุยกัน”

เว่ยหยวนเซิงมองเว่ยอู๋เว่ย ไม่กล้าชักช้า ฝ่ายหลังรีบอุ้มบุตรชายขึ้น จากนั้นบอกให้ข้ารับใช้ออกไปทั้งหมด เหลือเพียงคนสนิทไม่กี่คนเท่านั้น

“หลายปีก่อนตอนข้าพเนจรบังเอิญทำนายเรื่องของตระกูลเว่ย วันนี้มีโอกาสมาเยือนจึงมาเยี่ยมสักหน่อย”

เว่ยอู๋เว่ยถามด้วยความกังวลอยู่บ้าง

“ท่านจี้ ท่านว่าหยวนเซิงมีหวังเข้าภูเขาเซียนมากเท่าไหร่”

มีความมั่นใจก็เรื่องหนึ่ง แต่ถึงอย่างไรก็ไม่รู้ผลลัพธ์

“ด้วยจิตวิญญาณของคุณชาย เขาล้อมหยอกย่อมไม่มีทางปฏิเสธ แต่เจ้าเว่ยอู๋เว่ยอยากขึ้นเขาด้วยนั้นยากอยู่บ้าง”

เว่ยอู๋เว่ยยิ้มพลางถูกมือ จากนั้นหยั่งเชิงอย่างระมัดระวัง

“ไม่ทราบว่าท่านจี้ชอบเสี่ยวหยวนเซิงของข้าหรือไม่”

“ฮ่าๆๆ…ผู้นำตระกูลเว่ยเจ้าอย่าคิดเลย ชะตาของหยวนเซิงอยู่ที่เขาล้อมหยก ต่อให้ข้าชอบเสี่ยวหยวนเซิงก็ไม่มีทางเกิดความคิดยุ่งยากอย่างการรับศิษย์แน่”

เว่ยอู๋เว่ยถอนใจด้วยความเสียดาย

ฮูหยินเว่ยที่อยู่ข้างๆ กลับเกิดความกังวล

“สามี ท่านขึ้นเขาไปกับหยวนเซิงไม่ได้นะ ไม่ใช่ว่าหยวนเซิงต้องอยู่คนเดียวเท่านั้นหรือ…”

เว่ยหยวนเซิงขดตัวในอ้อมแขนบิดา อย่างไรก็ยังเด็กอยู่ จึงเกิดกลัวขึ้นมาอยู่บ้าง

จี้หยวนมองคนข้างๆ แล้วค่อยมองเว่ยหยวนเซิง

“ข้าคนแซ่จี้เพียงขอเช่นนี้ ต่อให้มีกระเรียนเซียนช่วยก็หวังได้ไม่มาก แต่ไม่ได้บอกว่าเป็นไปไม่ได้…”

จี้หยวนยิ้มเจ้าเล่ห์

“ข้าคนแซ่จี้มีสหายอยู่บนเขาล้อมหยก ถึงตอนนั้นแล้วผู้นำตระกูลเว่ยลองเอ่ยปากกับกระเรียนเซียน บอกว่าที่บ้านมีสหายแซ่ ‘จี้’ รู้จักกับเซียนฉิวเฟิง เรื่องนี้อาจสำเร็จก็เป็นได้”

เว่ยอู๋เว่ยมีสีหน้ายินดี ความสูงส่งของท่านจี้ในใจของเขานั้นไม่ธรรมดา ท่านจี้บอกว่าอาจสำเร็จ เช่นนั้นไม่มีทางผิดพลาดไปได้