ตอนที่ 189 มีอีกทางออก

เซียนหมากข้ามมิติ

ตอนที่ 189 มีอีกทางออก

จี้หยวนในตอนนี้รู้อยู่แล้วว่าแม้ศาลมืดมีกฎระเบียบ แต่ก็ใช่ว่าผ่อนผันไม่ได้ เช่นคนมีเมตตาอย่างฉินจื่อโจว ยมทูตดำมากมายขนาดนี้จึงยินดีรอครอบครัวทำพิธีเสร็จสิ้นก่อนค่อยนำทางไป

แม้แต่เจ้าที่ก็ออกมาจากศาลเอง หากพูดกันตามตรงในเมื่อศาลมืดส่งเจ้าหน้าที่มาแล้ว เจ้าที่เพียงอยู่ในศาลรอครอบครัวจัดขบวนส่งศพมาสักครั้งก็พอแล้ว

คุณธรรมสูงส่งภูตผีชื่นชม คำพูดนี้ปรากฏอยู่ที่นี่อย่างชัดเจน

เมื่อเผชิญหน้ากับคำขอของจี้หยวน แม้จะไม่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ของศาลมืด แต่อีกฝ่ายเป็นผู้ฝึกปราณที่มีมรรควิถีสูงยิ่งอย่างเห็นได้ชัด อีกทั้งแสดงมารยาทมากพอ รวมถึงประเด็นที่ว่าต่อให้เขาฝืนเข้าไปก็ไม่มีใครห้ามได้อีก

ยมทูตดำมองเทพเจ้าที่ซึ่งคล้ายกับมีใบหน้าของชายชรา ฝ่ายหลังพยักหน้าเบาๆ

เทพปฐพีที่เชื่อมโยงกับปราณพิภพอย่างเจ้าที่ แม้ยังคงมองที่มาของจี้หยวนไม่ออก แต่กลับรู้สึกได้รางๆ ว่าจี้หยวนเข้ามาแล้วปราณบริสุทธิ์ทั้งบ้านเวียนวนขับไล่ปราณสกปรกออกไปไกล สถานการณ์เช่นนี้จะบอกว่าอีกฝ่ายเป็นปีศาจนั้นไม่มีทางเป็นไปได้

เห็นปฏิกิริยาของเจ้าที่แล้ว ยมทูตหลายคนพลันมั่นใจ ฝ่ายผู้ลาดตระเวนทิวาเอ่ยปาก

“ในเมื่อท่านเซียนต้องการพบฉินจื่อโจว พวกข้าย่อมอำนวยความสะดวก เพียงแต่ต้องทำตามหน้าที่ก่อน ให้พวกข้าเข้าไปอธิบายเรื่องหลังการตายของเขา ตอนนี้วิญญาณของเขาคงต้องงุนงงอยู่แน่!”

จี้หยวนใช้ตาทิพย์มองเข้าไปในห้อง วิญญาณของฉินจื่อโจวในเวลานี้ออกจากร่างแล้ว จี้หยวนประสานมือให้ภูตผีอีกครั้ง

“สมเหตุสมผลดี พวกท่านเชิญก่อน เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมแล้วค่อยเรียกข้าคนแซ่จี้ก็ได้!”

“ตกลง รบกวนท่านเซียนรอสักครู่!”

ยมทูตดำทั้งหมดประสานมือคารวะ จากนั้นย่ำลมทมิฬเข้าไปในห้องขนาดใหญ่ซึ่งฉินจื่อโจวอยู่

เจ้าที่เดินเข้าไปใกล้จี้หยวนก้าวหนึ่ง ประสานมือคารวะจี้หยวน ลองคุยเล่นกับจี้หยวนอยู่หลายประโยค ยืนรออยู่ด้วยกันข้างนอกเรือน

บ้านตระกูลฉินไม่รวมห้องครัวและโรงฟืน มีเรือนทั้งหมดแปดหลัง ไม่ได้แบ่งเป็นลานหน้าและลานหลัง ทว่ารวมกลุ่มกันอยู่ในลานใหญ่ เรือนที่ฉินจื่อโจวอยู่ก็คือเรือนใหญ่สุดที่อยู่ตรงกลาง

ขณะนี้ลูกหลานตระกูลฉินและศิษย์ที่ฉินจื่อโจวให้ความสำคัญล้อมรอบอยู่หน้าเตียง ถือโอกาสตอนที่ร่างยังไม่แข็งตัว เปลี่ยนสวมเสื้อผ้าใหม่ให้ชายชรา เสียงร้องไห้ข้างๆ เบาลงบ้างแล้ว แต่ยังคงมีเสียงสะอื้นเป็นครั้งคราว

ถงเซียนเป็นศิษย์ที่ฉินจื่อโจวให้ความสำคัญที่สุด ชนิดที่ว่าเหมือนกับบุตรของตนเองเลยทีเดียว บุตรชายของชายชราตระกูลฉินจากโลกนี้ไปนานแล้ว ตอนนี้ถงเซียนและบุตรชายคนรองจึงเป็นผู้สวมเสื้อผ้าที่เตรียมไว้ก่อนตายด้วยกัน คนอื่นรอช่วยเหลืออย่างอื่น

“ฮือ…ท่านพ่อ ท่านรักษาโรคช่วยชีวิตคนมาทั้งชีวิตแล้ว ตายไปก็พักผ่อนให้สบายใจเถอะขอรับ!”

“วันนี้อาจารย์สิ้นอายุขัย อายุเกินร้อยปีแล้ว บนโลกนี้จะมีสักกี่คนที่อายุยืนได้เท่าชายชราอย่างท่าน นับว่าได้รับพรจากสวรรค์ ตายไปแล้วย่อมได้รับคำอวยพรเช่นกัน!”

เวลานี้ลมทมิฬภายในห้องพัดขึ้น หลายคนรู้สึกได้ถึงความหนาวเย็นระลอกหนึ่ง ผู้ที่มีอายุมากประสบการณ์เยอะเคยได้ยินและประสบเรื่องที่คล้ายคลึงกันมาก่อน แม้ไม่เคยเห็นมาก่อน ทว่าในใจเข้าใจชัดแจ้ง พากันถอยหลังยืนห่างออกไป

คนโบราณเล่ากันว่าก่อนและหลังญาติเสียชีวิต ภายในบ้านจะเกิดความหนาวเย็นขึ้นกะทันหัน อาจจะเป็นยมทูตดำมาแล้ว

วิญญาณของฉินจื่อโจวขณะนี้กำลังยืนอยู่ข้างๆ ร่าง มองศิษย์และบุตรชายที่กำลังเปลี่ยนสวมเสื้อผ้าให้ตนเองด้วยความงุนงงอยู่บ้าง อีกทั้งมองครอบครัวที่กำลังร้องไห้อยู่โดยรอบ ตกอยู่ในภวังค์

“ฉินจื่อโจว อายุขัยของเจ้าหมดสิ้นแล้ว พวกข้ามานำทางเจ้าโดยเฉพาะ!”

เมื่อเสียงนี้เข้าหู ฉินจื่อโจวพลันรู้สึกว่าความคิดแจ่มชัดขึ้นมา มองไปทางข้างเตียงโดยพลัน มีเจ้าหน้าที่สวมเครื่องแบบสีขาวดำหกคนยืนอยู่ตรงนั้น

ฉินจื่อโจวเกิดความรู้สึกหวาดกลัวเล็กน้อย ก่อนจะถามออกไปอย่างระมัดระวัง

“ทุกท่านคือยมทูตดำหรือ”

ผู้ลาดตระเวนทิวาสองคนกลับประสานมือให้ฉินจื่อโจว

“ข้าคือทูตขวาผู้ลาดตระเวนทิวาซึ่งอยู่ในสังกัดเทพหลักเมืองอำเภอเต๋อเซิ่ง ข้างกายข้าคือทูตซ้ายผู้ลาดตระเวนทิวา ข้างหลังมีทูตดึงวิญญาณสองคน เจ้าหน้าที่ถือร่มบังหยินสองคน ได้รับคำสั่งให้มารับท่าน เมื่อท่านได้รับพิธีศพในครอบครัวแล้วถึงค่อยนำทางท่านไป!”

ฉินจื่อโจวรีบประสานมือคารวะยมทูตดำกลับไป จากนั้นรู้สึกว่าร่างวิญญาณได้รับแรงดึงสายหนึ่ง ลอยไปฝั่งตรงข้ามเอง ครั้นดึงสติกลับมาได้ก็ยืนอยู่ข้างๆ ทูตดึงวิญญาณแล้ว

“ท่านฉิน หมดเรื่องบนโลกแล้ว ไม่อนุญาตให้ติดต่อญาติ ไม่อนุญาตให้เชื่อมต่อกับร่างอีก เจ็ดวันแรกกลับบ้านได้หนึ่งครั้ง ก่อนพิธีศพที่บ้านจะเริ่มต้นขึ้นก็คอยท่าอยู่ข้างกายพวกข้าอย่างสงบเถอะ!”

“ทราบแล้ว ขอบคุณทูตดำที่บอกกล่าว!”

เวลานี้ฉินจื่อโจวลังเลและหวาดกลัวอยู่เล็กๆ ยมทูตดำบอกแล้วว่าจะจัดการอย่างดี จึงไม่กล้ามีความเห็นอื่นเช่นกัน

ร่มบังหยินสองคันกางออก กั้นยมทูตดำและวิญญาณของฉินจื่อโจวไว้ข้างใน ผู้ลาดตระเวนทิวาสองคนสบตากันแล้วพยักหน้า ผู้ที่เพิ่งพูดเมื่อครู่เอ่ยปากกับฉินจื่อโจวอีกครั้ง

“ท่านฉิน ไม่ทราบว่าก่อนหน้านี้ท่านเคยพบเซียนหรือไม่”

ฉินจื่อโจวมองเจ้าหน้าที่ในชุดคลุมสีขาวและสวมหมวกทรงสูง

“เซียน?”

“อืม อาจเป็นเรื่องแปลกมหัศจรรย์ที่ท่านประทับใจลึกซึ้ง อาจไม่ได้แสดงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ใด ทว่าอีกฝ่ายอาจเป็นกระแสเทพเซียนก็เป็นได้”

ฉินจื่อโจวครุ่นคิดอย่างหนัก เขาถูกคนเห็นว่าเป็นเทพเซียนเดินดินมานับครั้งไม่ถ้วน ทว่าพบเซียนตัวจริงกลับไม่มีความทรงจำอะไร เดี๋ยวก่อน เหมือนจะมีคนเช่นนั้นอยู่จริงๆ

“คล้ายกับมีคนเช่นนั้นอยู่จริงๆ คนผู้นั้นเป็นนักพรต ปีนั้นตอนที่มายังโถงยาของข้าลมปราณเหลือน้อยนิด วิญญาณแทบกลับสู่สวรรค์ เป็นข้าและยอดฝีมือแห่งยุทธภพร่วมกันช่วยรักษา ถึงจะช่วยรักษาชีวิตเขาไว้ได้…”

ตอนนี้ไม่เพียงผู้ลาดตระเวนทิวา ยมทูตดำซึ่งมีสีหน้าเย็นชาหลายคนล้วนประหลาดใจอยู่บ้าง ชะตาเสี่ยงตาย?

ในห้วงสมองจินตนาการถึงความเป็นไปได้ของเซียนและมารประมือกันบางอย่างตามจิตใต้สำนึก

“นักพรตผู้นั้นมีความพิเศษอย่างไร”

ผู้ลาดตระเวนทิวาถามต่อ

“แน่นอนว่ามี นักพรตผู้นั้นทำนายดวงชะตาแม่นมาก ระหว่างรักษาตัวทำนายดวงชะตาได้อย่างแม่นยำอยู่เสมอ ยามมาตรวจอาการตามนัดมักจะอดไม่ได้ทำนายดวงชะตาให้ผู้ป่วนคนอื่น จำได้ว่ามีอยู่ครั้งหนึ่ง…”

ฉินจื่อโจวลังเลอยู่สักพัก ทว่าสุดท้ายก็พูดต่อ

“มีอยู่ครั้งหนึ่งที่บุรุษสีหน้าซูบซีดเข้ามาตรวจอาการ นักพรตผู้นั้นอยู่ด้วยพอดี ข้ายังไม่ทันตรวจชีพจร นักพรตก็พูดให้ผู้ป่วนผู้นั้นได้ยินว่า ‘รักษาไม่ได้แล้ว รักษาไม่ได้แล้ว เริ่มทำบุญสะสมกุศลตั้งแต่ตอนนี้อาจมีชีวิตต่อไปได้อีกครึ่งปี ต่อให้กินดื่มของดีก็ไม่ช่วยอะไร หมอเทวดาช่วยไม่ได้เช่นกัน ทว่าเทพเซียนอาจช่วยอะไรได้บ้าง’ ตอนนั้นเกือบเกิดเรื่องวิวาทที่โถงยาเลยทีเดียว…”

ถึงจะเป็นกายละเอียด ทว่าฉินจื่อโจวยังคงหวั่นเกรงเล็กๆ จากนั้นค่อยกล่าวอีก

“ตอนนั้นข้าตรวจอาการแล้วพบจริงๆ ว่าคนผู้นี้ป่วยหนักเข้าขั้น แต่ข้าไม่เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ จึงช่วยรักษาเขาอย่างสุดความสามารถ น่าเสียดายที่สุดท้ายแล้วเขาก็จากโลกนี้ไปในสองเดือนให้หลัง”

ยมทูตดำหลายคนลังเลเล็กน้อย เดิมทีได้ยินว่า ‘ทำนายดวงชะตาแม่นมาก’ ยังรู้สึกว่าอาจจะเป็นตัวละครหลัก แต่ฟังว่าเกือบเกิดการวิวาทขึ้นในโถงยาก็รู้สึกว่าไม่ใช่แล้ว

ตอนนี้เสียเวลาอีกคงไม่ดีแล้ว ทำได้เพียงกล่าวตามความจริงกับฉินจื่อโจว

“ท่านฉิน ข้างนอกมีเซียนท่านหนึ่งอยากพบท่าน บอกว่าเป็นสหายเก่าของท่านด้วย เดี๋ยวพวกข้าจะเชิญเขาเข้ามา”

พูดจบแล้วผู้ลาดตระเวนทิวาก็ออกไปจากสายตางุนงงของฉินจื่อโจว หลังจากนั้นครู่หนึ่งถึงนำทางชายในเสื้อสีขาวเข้ามาในห้อง

จี้หยวนเข้าไปในห้องแล้วเห็นร่างของฉินจื่อโจวเป็นสิ่งแรก ร่างนั้นผอมบางจนเหมือนกับโครงกระดูก ชัดเจนว่าก่อนจากโลกนี้ไปกินอะไรไม่ค่อยได้อยู่พักหนึ่ง

สถานการณ์เช่นนี้ยมทูตดำและเทพเจ้าที่มองแล้วอาจเพียงรู้สึกว่าวิญญาณนี้พิเศษมาก แต่จี้หยวนมองแล้วกลับรู้สึกว่าไม่ปกติ ด้วยมีปราณบริสุทธิ์งดงามอย่างยิ่งบ่มเพาะอยู่ภายใน คล้ายกับความรู้สึกของเทพประจำตัว เรียกได้ว่าหายากยิ่งบนโลกใบนี้

ที่น่าแปลกยิ่งกว่านั้นคือฉินจื่อโจวตายไปแล้วอย่างเห็นได้ชัด แต่ปราณบริสุทธิ์นี้กลับไม่กระจายหายไป แม้เป็นเทพประจำตัว หากไม่มีผู้สูงส่งช่วยเหลือ คนตายไปแล้วจะแตกสลายหรือลอยละล่องสู่ปรโลกในทันที

จี้หยวนประหวั่นพรั่นพรึงอยู่ในใจ พลันนึกถึงสมมติฐานที่แม้แต่ผู้เขียนและตนเองรู้สึกว่าไร้สาระในกลยุทธ์เจิดจรัสซึ่งอ่านในปีนั้น ความคิดจำนวนหนึ่งแต่เดิมเปลี่ยนไปแล้วเช่นกัน

“หมอฉิน พวกเราพบกันอีกแล้ว!”

ฉินจื่อโจวจำหน้าตาของจี้หยวนไม่ได้แล้ว แต่กลับจำดวงตาคู่นั้นได้ อีกทั้งจำโรคภัยของดวงตาคู่นั้นได้ด้วย

“ท่านคือยอดฝีมือยุทธภพที่ดวงตามืดบอดแท้ๆ แต่กลับมองเห็นสภาพการณ์ใช่หรือไม่ ท่านเป็นเซียน!”

จี้หยวนประสานมือคารวะ ยิ้มว่า

“หมอฉินความจำดีนัก ท่านทำอาชีพหมอช่วยชีวิตคนมากทั้งชีวิต ท้ายที่สุดแล้วเจ้าที่ข้างนอกจะดูแลครอบครัว ยมทูตดำทั้งหกในห้องจะไปส่งท่าน แม้กระทั่งทูตซ้ายขวาผู้ลาดตระเวนทิวาแห่งอำเภอเต๋อเซิ่งมาด้วยตนเอง นับว่ามีเกียรติน่านับถือท่ามกลางมนุษย์ยิ่งนัก เห็นทีในศาลมืดคงจัดตำแหน่งดีๆ ให้ท่านไว้แล้วกระมัง”

ประโยคหลังของจี้หยวนถามผู้ลาดตระเวนทิวาชัดเจน ฝ่ายหลังตอบอย่างไม่กล้าชักช้า

“เรื่องนี้ใต้เท้าผู้พิพากษาฝ่ายบุ๋นและใต้เท้าเทพหลักเมืองจะเป็นผู้ตัดสินใจ แต่ด้วยคุณงามความดีของท่านฉิน ย่อมต้องไม่ต่ำต้อยเป็นแน่”

คำพูดนี้พูดแล้วเหมือนไม่ได้พูด ผู้ลาดตระเวนทิวาราวกับตระหนักได้จึงกล่าวเสริม

“ด้วยท่านฉินเป็นหมอผู้มีเมตตา อายุขัยเกือบร้อยปี ทั่วไปแล้วพักอยู่ที่ปรโลกก่อนสองสามปี ได้รับการกราบไหว้จากลูกหลาน เมื่อฝึกฝนกายละเอียดได้แล้วจะได้รับตำแหน่งผู้ทำบัญชีหลัก ขณะเดียวกันก็ได้รับสืบทอดวิชากลั่นวิญญาณด้วย หากกรมหลักทั้งยี่สิบสี่กรมมีตำแหน่งว่าง ก็เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะได้รับตำแหน่ง!”

“ดี ขอบคุณมากที่บอกกล่าว!”

เรื่องนี้นับว่าจี้หยวนอยากรู้เอง และจงใจถามออกไปเพื่อให้ฉินจื่อโจวได้ฟังเช่นกัน ครั้นผู้ลาดตระเวนทิวาพูดจบแล้ว จี้หยวนถึงค่อยถามฉินจื่อโจว

“หมอฉิน รับตำแหน่งในปรโลกแล้วย่อมดูแลลูกหลานได้ อีกทั้งรักษากายร่างวิญญาณให้คงอยู่สืบไป ด้วยคุณงามความดีของผู้อาวุโส ไม่แน่ว่าต่อไปชาวบ้านจะตั้งศาลให้ท่าน มองท่านเป็นเทพว่างองค์หนึ่ง”

เทพว่างเป็นคำเรียกของผู้ฝึกปราณ หมายถึงเทพแท้จริงซึ่งไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับเทพเจ้าที่ภูผาธารา และไม่ใช่เทพศาลมืดเช่นเทพหลักเมือง

เช่นว่าบางแห่งอาจสร้างศาลขุนพลเพื่อกราบไหว้นายทหารที่จากโลกนี้ไป ณ ที่ตรงนั้น ด้วยหวังว่าจะกดอัดปราณสกปรกเอาไว้ได้ หมอเทวดาอย่างฉินจื่อโจวอาจมีคนตั้งศาลกราบไหว้ให้ เพื่อควบคุมปราณสกปรกทั้งปวง รวมถึงปกปักรักษชาวบ้านให้ห่างไกลจากโรคภัย

จี้หยวนพูดถึงตรงนี้แล้วหยุดไปครู่หนึ่ง มองยมทูตดำหลายคนแล้วหันกลับมา

“แน่นอนว่าร่างของท่านมีปราณบริสุทธิ์ ข้าคนแซ่จี้เห็นว่ายังมีอีกทางออก หากมีเทพธาราผู้สะสมกำยานและมรรควิถีสูงส่งมากพอยื่นมือช่วย กลั่นวิญญาณจากหยางเป็นหยิน ไม่รับแสงสวรรค์และไม่หวั่นไหวต่อความหนาวเย็นชั่วคราว ฝึกวิชาปลูกฝังวิถีแห่งการฝึกจิตวิญญาณ ท่านก็จะมีร่างกายได้ แม้ร่างกายแท้จริงของท่านจะไม่อยู่แล้ว…”

ฟังจี้หยวนพูดถึงตรงนี้ เจ้าที่ซึ่งยืนอยู่หน้าประตูนานแล้วทนไม่ไหวจริงๆ พูดโพล่งออกมาทันที

“ท่านเซียนพูดถึงเทพท่องโลกหรือ”

ในตำนานเล่าว่ามีเทพเจ้าองค์หนึ่งสามารถเดินท่องไปทั่วแปดทิศโดยไม่ได้รับการผูกมัดจากโลก อีกทั้งได้รับกำยานศาลและการกราบไหว้จากครอบครัวมนุษย์ ยิ่งไม่เหนื่อยยากเพื่อราชวงศ์ มหัศจรรย์ยิ่งกว่าวิทยาราชแห่งพระพุทธศาสนา เป็นเทพแห่งการพเนจร ยิ่งนานวันเข้ายิ่งมีพลังไร้ขีดจำกัด นับได้ว่าเป็นเทพ ‘แท้’ เช่นเดียวกับเทพภูผา

“เจ้าที่มีความรู้มากยิ่ง ทว่าขอบเขตของเทพท่องโลกกว้างใหญ่เกินไป ด้วยสถานการณ์ในตอนนี้ของหมอฉินอย่างไรก็คาดหวังได้ในช่วงหนึ่ง ทว่าในอนาคตกลับตั้งตารอได้”

จี้หยวนอธิบายง่ายๆ ประโยคหนึ่ง ทำให้เจ้าที่สะท้านในใจไม่น้อย เทพเจ้าที่ไหนเลยจะสำเร็จได้ง่ายดายปานนั้น คำพูดของเซียนผู้นี้เหมือนกับกำลังพูดว่า ‘ถูกต้อง ข้าเป็นเช่นที่เจ้าคิด’

“ทว่า ผู้กลายเป็นเทพท่องโลกได้ล้วนมีชะตากำหนดไว้ จะเป็นไปได้อย่างไรที่…”

ตอนนี้เจ้าที่พูดไม่ออกอยู่บ้าง ไม่รู้ว่าจะอธิบายความรู้สึกซับซ้อนวุ่นวายที่อยู่ในใจได้อย่างไร