ตอนที่ 202 เรื่องนมนาน

เซียนหมากข้ามมิติ

ตอนที่ 202 เรื่องนมนาน

การมองเห็นคนผู้หนึ่งบริสุทธิ์ผ่องใสเช่นนี้ ทำให้เต่าเฒ่ารู้ชัดมองทะลุชะตาบัณฑิตผู้นั้นโดยละเอียดอย่างอดไม่ได้

แต่ผลสุดท้ายกลับมีคำทำนายที่เหนือความคาดหมายเต่าเฒ่าอยู่บ้าง ชะตาของบัณฑิตผู้นี้ไม่ได้เลือนราง อย่างน้อยไม่ได้มองไปแล้วทะลุปรุโปร่ง แต่เป็นปราณกุศลที่เต็มเปี่ยม ทว่าไม่อาจมองเห็นชัดเจนได้ว่ามันเกิดขึ้นดำรงอยู่ที่ใด

ช่างเถอะ เต่าเฒ่าไม่คิดยุ่งแล้ว อย่างไรเสียบางคนก็เป็นมนุษย์ธรรมดาสามัญ แต่บัณฑิตผู้นี้ไม่ใช่เช่นนั้นอย่างแน่นอน ฝ่ายเต่าเฒ่าไม่กล้ามองมากกว่านี้ มันมาฟังคนอ่านตำรา ควรจัดลำดับความสำคัญเสียก่อน

อิ๋นชิงอ่าน ‘ธรรมรู้แจ้ง’ เล็กน้อย รับรู้ถึงปณิธานระหว่างบิดาตนเองเขียนตำรานี้ ตอนอ่านจึงสอดแทรกความรู้สึกตนเองลงไปบ้าง

ไม่ว่าตำรานี้เป็นผลงานบิดาตนเองแล้วอิ๋นชิงถึงเข้าใจความหมายมากกว่า ความจริงแล้วเขาอ่านตำราทีไรล้วนเป็นเช่นนี้ ราวกับสัมผัสได้ถึงแนวความคิดบางอย่างของผู้เขียนตำรา รู้สึกได้ถึงความรู้สึกยามพวกเขาเขียนตำรา

ที่จริงบัณฑิตหลายคนล้วนมีความรู้สึกคล้ายคลึงกัน เพื่อแยกแยะความหมายแฝงของตำรา ตำราบางเล่มเพียงเล่าเรื่องไม่ได้มีอารมณ์อะไรมาก ตำราบางเล่มกลับแสดงความคิดเต็มที่อย่างไม่เสียดาย

ทว่าสถานะของอิ๋นชิงแตกต่างกับการอ่านตำราเพื่อแสดงความหมายเพียงอย่างเดียว เป็นสิ่งที่คล้ายกับจิตวิญญาณ ราวกับเข้าอกเข้าใจผู้เขียนได้ และรับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายเป็นคนอย่างไร นิสัยโดดเดี่ยวหรือกระตือรือร้นมีแรงผลักดัน หรือแสร้งทำออกมาเท่านั้น

ดังนั้นสำหรับอิ๋นชิงแล้ว ตำราบางเล่มแม้เป็นตำราสำคัญในการศึกษา แต่อ่านอยู่ครู่หนึ่งแล้วลำบากใจมาก จึงอ่านเพื่อสอบและจดจำไว้ชั่วครู่เท่านั้น ไม่อาจเรียกว่าชอบได้โดยสิ้นเชิง

อิ๋นชิงชอบบทความที่สุด โดยเฉพาะบทความที่เขียนโดยคนคล้ายๆ กับอิ๋นจ้าวเซียนบิดาตน เพราะสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงความต้องการเผยแพร่แนวความคิด ยิ่งสัมผัสได้ว่าผู้เขียนจริงจังเป็นอย่างยิ่ง ด้วยต้องการกวาดล้างอิทธิพลสกปรก ความรู้สึกของความรู้และการกระทำเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันทำให้เขาสบายใจที่สุด

เพราะฉะนั้นตอนนี้อิ๋นชิงจึงอ่านบทความ ปลดปล่อยความรู้สึกนี้ออกไปพร้อมกับการเปล่งเสียงอย่างเป็นธรรมชาติ บางครั้งใช้คำพูดของตนเองอธิบายอยู่หลายคำ เพื่อให้ผู้ฟังจับประเด็นทุกอย่างได้เหมือนกับเขา ทำให้ปลาชิงฮื้อและเต่าเฒ่าเพลิดเพลินโดยไม่รู้ตัว

แม้แต่หลายคนที่เดิมทียืนมองจี้หยวนตกปลาอยู่ตลอดก็ตกอยู่ในภวังค์โดยไม่รู้ตัว เพียงรู้สึกว่าบัณฑิตผู้นี้ต้องมีปัญญาไม่ตื้นเขิน อีกทั้งเห็นอีกฝ่ายอาจสวมชุดของสำนักศึกษาเมตตา ก็พลันมีท่าทีเข้าใจถ่องแท้ในทันที

เมื่ออิ๋นชิงอ่านตำราเช่นนี้ เขาเองอยากอยากอ่านและทำความเข้าใจทั้งหมดโดยเร็ว แต่หากเปลี่ยนอ่านให้ผู้อื่นฟัง เขามีอะไรอยากพูดมากขึ้น มากกว่าสิ่งที่บทความแฝงไว้มาก ดังนั้นอ่าน ‘ธรรมรู้แจ้ง’ หนึ่งเล่มทั้งวันแล้วก็ยังอ่านไม่จบ

ระหว่างนั้นจี้หยวนไปซื้ออาหารกลางวันให้สองคนหนึ่งจิ้งจอกโดยเฉพาะ และพยายามไม่รบกวนการอ่านออกเสียงของอิ๋นชิง

จนถึงตอนเย็น คนเดินเท้ารอบๆ แยกย้ายกลับบ้าน ไม่ก็แยกย้ายขึ้นเรือกันหมดแล้ว

จี้หยวนเห็นว่าฟ้าเริ่มมืดแล้ว จึงเก็บเบ็ดตกปลาที่ผ่านมาทั้งวันแล้วก็ยังตกปลาไม่ได้สักตัว แล้วกล่าวกับอิ๋นชิงว่า

“เอาล่ะ วันนี้พอเท่านี้เถอะ!”

เมื่อเสียงของจี้หยวนดังขึ้น เสียงอ่านตำราของอิ๋นชิงก็พลันหยุดลง

“ท่านจี้ ท่านคิดว่าวันนี้ข้าเป็นอย่างไรบ้าง”

อิ๋นชิงถามจี้หยวนด้วยความกระวนกระวายอย่างเห็นได้ชัด เห็นรอบข้างไม่มีใครอื่นจึงถามออกไป ขณะเดียวกัน็มองไปยังผิวแม่น้ำด้วย

“ปลาชิงฮื้อฟังเข้าใจหรือไม่”

เห็นท่าทางนี้ของเขา จี้หยวนที่เดินไปริมฝั่งเพิ่งเก็บเบ็ดตกปลาเรียบร้อยเดินเข้าไปใกล้เขาสองก้าว จากนั้นตบไหล่ขวาของเขาเบาๆ

“อ่านได้ดีมาก บิดาเจ้ามาที่นี่ยังทำได้ดีไม่เท่าเจ้าเลย ข้ายิ่งเทียบไม่ติด”

ฟังจี้หยวนชมเช่นนี้ อิ๋นชิงรู้สึกเขินทีเดียว

“ท่านจี้ชมเกินไปไม่สมจริงเลย ท่านและท่านพ่อข้าเป็นใครมีหรือที่ข้าไม่รู้ หูอวิ๋นเจ้าว่าอย่างไรบ้าง”

อิ๋นชิงถามจิ้งจอกแดงที่อยู่บ้างๆ ลูกตาฝ่ายหลังขยับไม่ได้ตอบรับอะไรชั่วขณะ หลังจากนั้นครู่หนึ่งค่อยเอ่ย

“หากเป็นเพียงการอ่านตำราให้ผู้อื่นฟัง ท่านจี้พูดถูกต้องแล้วจริงๆ”

เห็นหูอวิ๋นพูดอะไรเข้าใจแจ่มแจ้งขนาดนี้ อิ๋นชิงตะลึงไปครู่หนึ่งอย่างเห็นได้ชัด แต่ได้รับคำชมทำให้เขาดีใจมาก

ตอนนี้จี้หยวนพันสายเบ็ดบนคันเบ็ดไม้ไผ่สีเขียวที่ทำขึ้นใหม่เสร็จแล้ว มองประตูเมืองที่อยู่ไกลๆ ก่อนกล่าว

“ประตูเมืองจะปิดลงในอีกครึ่งชั่วยาม สมควรกลับไปแล้ว อืม ก่อนกลับไปพวกเราคารวะกันสักครั้งเถอะ”

อิ๋นชิงมองตามทิศทางที่จี้หยวนชี้ ปลาชิงฮื้อบนผิวแม่น้ำกำลังพ่นฟองอากาศมองเขา ครีบปลาไม่อาจยืดมาข้างหน้าได้ ทำได้เพียงพยักหน้าขึ้นลง ส่วนสิ่งที่แต่เดิมถูกคิดว่าเป็นหินสีดำในน้ำข้างๆ ปลาชิงฮื้อกลับลอยขึ้นมา เผยให้เห็นเต่าขนาดยักษ์ตัวหนึ่งในที่สุด

“ตะ…เต่าตัวใหญ่ขนาดนี้เชียว?”

จี้หยวนตกใจมากที่เต่าตัวนั้นลอยขึ้นมาเหนือผิวน้ำครึ่งหนึ่ง เท้าเต่าสองข้างประสานกันคารวะ

“เต่าเฒ่าอูฉง ขอบคุณท่านอิ๋นที่สั่งสอน!”

“มิกล้าๆ ข้าน้อยอิ๋นชิง นักเรียนของสำนักศึกษาเมตตา”

อิ๋นชิงรีบคารวะกลับ แต่ถูกผู้อื่นเรียนว่าท่านเป็นครั้งแรก รู้สึกจั๊กจี้อย่างน่าประหลาด

“จริงสิ หลังจากนี้ก็เรียกปลาชิงฮื้อว่าหลัวปี้ชิง”

จี้หยวนกล่าวจบแล้ว ปลาชิงฮื้อที่อยู่ริมแม่น้ำพ่นฟองอากาศในน้ำดังบุ๋งๆ เป็นพรวน ราวกับว่ากำลังตอบรับ

อิ๋นชิงยิ้มและประสานมือให้ปลาชิงฮื้อเช่นกัน จากนั้นเก็บตำราจนหมด กล่าวกับจี้หยวนอย่างไม่ค่อยสบายใจ

“ท่านจี้ ข้าจะกลับไปแล้วนะ”

เขารู้ว่าไปครั้งนี้ คาดว่าท่านจี้และหูอวิ๋นน่าจะไปจากจังหวัดชุนฮุ่ยแล้ว

“ไปเถอะๆ”

จี้หยวนจงใจไม่พูดอะไรมาก เห็นอิ๋นชิงหมุนกายเดินไปได้สองสามก้าวลอบนับถึงสาม เห็นเขาหมุนกายกลับมาจริงๆ

“ท่านจี้ ท่านไม่ถามข้าหน่อยหรือว่าอยู่ที่สำนักศึกษาเมตตาเป็นอย่างไรบ้าง เข้ากับเพื่อนนักเรียนและอาจารย์ได้หรือไม่”

จี้หยวนยิ้มเย้า

“โอ้ เกือบลืมไปเลย เช่นนั้นเจ้าเข้ากับคนอื่นที่นั่นได้หรือไม่”

“ท่านจี้ขอไปทีเกินไปแล้ว…”

“ฮ่าๆ…จังหวัดชุนฮุ่ยการคมนาคมทางน้ำก้าวหน้า เขียนจดหมายถึงอำเภอหนิงอันไม่นานก็ได้รับ อีกทั้งอยู่ในรัฐข้างเคียง ไปยังรัฐหวั่นก็ประหยัดเวลารอที่ไปรษณีย์ได้ไม่น้อย หากมีเวลาข้าต้องเขียนจดหมายแน่!”

คราวนี้อิ๋นชิงถึงยิ้มกว้าง พยักหน้าแล้วหมุนกายจากไปในที่สุด จนกระทั่งเดินไปได้ช่วงหนึ่งก็ไม่หันกลับมาอีก ทว่าวิ่งสั้นๆ เข้าเมืองไป

หลังจากอิ๋นชิงไปแล้ว จี้หยวนได้ถอนสายตาและนั่งขัดสมาธิอยู่ริมน้ำ กล่าวกับเต่าเฒ่าตัวนั้น

“อูฉง ครั้งก่อนพูดกับเจ้าไว้ว่าท่ามกลางมนุษย์ธรรมดาที่ได้พบเจอ หากมีเรื่องอะไรที่ทำให้เจ้าซาบซึ้งก็เล่าให้ข้าฟังได้ ข้าว่าวันนี้เหมาะสมพอดี เล่ามาหน่อยเถอะ”

จี้หยวนอ่านคัมภีร์นอกรีตจบนานแล้ว ไม่ได้อ่าน ‘นิยาย’ มานานมาก ตอนนี้ได้ฟังเรื่องราวจากผู้มีประสบการณ์ต้องสนุกกว่าแน่

“ข้าน้อยรับคำสั่ง!”

เต่าเฒ่าคารวะอยู่ในน้ำ ฟังจากบทสนทนาระหว่างท่านจี้กับอิ๋นชิง พอฟังออกว่าท่านจี้อาจจะไปจากที่นี่ มันรีบเลือกสรรอย่างตั้งใจ นึกถึงเรื่องเมื่อนานมากๆ ก่อนหน้านี้ขึ้นได้

ร่างกายมันค่อยๆ จมลงน้ำ เหลือเพียงศีรษะโผล่พ้นผิวน้ำ เสียงพูดเจอความเสียดาย

“นี่น่าจะเป็นเรื่องเมื่อหนึ่งเจ็บสิบหรือแปดสิบปีก่อน อาณาจักรต้าเจินเพิ่งก่อตั้งได้ยี่สิบสามสิบปี จำนวนปีที่แท้จริงเป็นเท่าไหร่จำไม่ค่อยได้แล้ว หลายๆ เรื่องชักเลือนราง…”

เต่าเฒ่าเห็นท่านจี้ไม่ได้ตัดบทเพราะหลายๆ เรื่องชักเลือนรางตามที่มันกล่าว จึงพูดต่อไปด้วยความโล่งใจ

“ปีนั้นเป็นปีที่ห้าสิบกว่าหลังจากข้าเต่าเฒ่าหลอมกระดูกสำเร็จ ด้านข้างจังหวัดชุนฮุ่ยแห่งนี้มีบัณฑิตตระกูลเซียวเดินทางมาท่องเที่ยว เขานับว่ามีชะตาที่ดีทีเดียว…มีอยู่ครั้งหนึ่งชายขี้เมาดูหมิ่นนักร้องสาวบนเรือดอกไม้ บัณฑิตเซียวผู้นี้พลันโมโหแทนคนงาม ยื่นมือเข้าช่วยเหลือ…”

เต่าเฒ่ายิ้มก่อนกล่าวต่อ

“จากนั้นเขาถูกชายขี้เมาถีบตกน้ำ แม้ไม่นานพ่อบ้านและคนเฝ้าเรือดอกไม้จะช่วยขึ้นมาได้ กลับมีโคลนปื้อนเต็มใบหน้า แต่ครั้งนั้นทำให้ข้าเต่าเฒ่าคิดว่าเขาเถรตรงเสียจริง”

เต่าเฒ่าค่อยๆ เล่าเรื่อง บรรยายว่าตอนนั้นใช้วิธี ‘บังเอิญ’ กับบัณฑิตเซียวโดยที่ไม่ทำให้อีกฝ่ายตกใจจนเกินไปอย่างไร เริ่มสนิทสนมกับอีกฝ่ายได้อย่างไร ช่วยเขาทำนายดวงชะตาได้อย่างไร ชี้โอกาสให้เขาจัดการเรื่องสำคัญบางอย่างได้อย่างไร

“เดิมทีข้าเพียงอยากสร้างมิตรไมตรี ชี้แนะเขาว่าจะหาทรัพย์ได้จากตรงไหน ตรงไหนกำลังขาดแคลนอะไรในเวลาที่เหมาะสม หากอยากค้าขายก็สร้างรายได้เล็กๆ น้อยๆ ได้ ทว่าหลังจากร่ำรวยกว่าครอบครัวบัณฑิตอื่นเล็กน้อย เขายังอยากเป็นข้าราชการ อยากเป็นขุนนาง…”

“ฮ่าๆ ชะตาราชวงศ์และหนทางโชคของขุนนางไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ทำนายชะตากำหนดอนาคตขุนนางได้หรือไม่ นั่นต้องมีพรสวรรค์และตั้งใจศึกษาอย่างแท้จริง แม้เขามีพรสวรรค์ด้านการเรียนอยู่บ้าง แต่กลับยังไม่พอ ข้าจึงบอกเขาไปตามตรงว่าหากไม่ยอมตั้งใจศึกษาอย่างหนักก็ไร้หนทางเป็นขุนนาง โดยเฉพาะยืมพลังปีศาจชั่วร้ายยิ่งเป็นข้อห้ามร้ายแรง หลังจากนั้นนานทีเดียว เซียวจิ้งไม่มาหาข้าอีกเลย…”

จี้หยวนเงี่ยหูฟังเงียบๆ ย่อมไม่มีทางคิดว่าเรื่องราวจะจบลงตรงนี้

“ตอนข้าเต่าเฒ่าได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเซียวจิ้งอีกครั้ง ไม่รู้ว่าเหตุใดภายในเวลาสั้นๆ หกเจ็ดปี คนผู้นั้นได้นั่งตำแหน่งผู้ช่วยราชเลขาธิการแล้ว…”

จี้หยวนมุ่นคิ้วขึ้นมา มองเต่าเฒ่าตัวนั้น ฝ่ายหลังหรี่ตามองผิวแม่น้ำ การกระทำนี้บ่งบอกว่าเต่าเฒ่ารู้สึกปลงอนิจจัง

ยิ่งเล่าเรื่องราวออกไป รายละเอียดที่เกือบลืมไปแล้วจำนวนหนึ่งถูกหวนรำลึกถึง ความคิดของเต่าเฒ่าแจ่มชัดขึ้นไม่น้อยเช่นกัน

“ตอนนั้นเป็นปีลี่หยวนที่สามสิบสอง ฮ่องเต้ผู้ก่อตั้งอาณาจักรต้าเจินเป็นไม้ใกล้ฝั่งแล้ว ปัญหาค้างคาอันเหลือจากสงครามก่อตั้งอาณาจักรยืดเยื้อจนยากควบคุม ถึงเวลาที่ควรมอบตำแหน่งให้ไท่จื่อแล้ว ฝ่ายไท่จื่อแม้โตเต็มวัยกลับมีอิทธิพลน้อย แม้กระทั่งน้อยยิ่งกว่าขุนนางผู้มีคุณงามความดีในการช่วยก่อตั้งอาณาจักรเสียอีก…”

ระหว่างเต่าเฒ่าพูด มันหรี่ตาลงเรื่อยๆ ส่วนในใจของจี้หยวนรับรู้ได้ถึงปราณกลิ่นคาวเลือดที่กำลังเอ่อขึ้นในเวลานี้

“เฮ้อ…ข้าเต่าเฒ่านับว่าซวยมาก เคยช่วยเซียวจิ้งเล็กน้อยในอดีต ทว่าไม่ได้รับอะไรตอบแทน เมื่อเลือดแปดเปื้อนประวัติศาสตร์ กรรมชั่วก็ตามมาถึง!”

ยังไม่ได้เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในตอนนั้น เมื่อได้ยินเช่นนี้แล้วจี้หยวนก็เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นแล้ว

เข่นฆ่าขุนนางทรงคุณธรรมในราชวงศ์ศักดินา นี่เป็นเรื่องที่ฮ่องเต้ก่อตั้งอาณาจักรในทุกยุคทุกสมัยอาจทำ

เซียวจิ้งเป็นถึงผู้ช่วยราชเลขาธิการ ควบคุมจัดการอำนาจขุนนางนับร้อยในราชสำนัก

ผู้ช่วยราชเลขาธิการเซียวจิ้งควบคุมราชสำนัก ตรวจตราผู้มีอำนาจ แล้วยื่นฎีกาไม่ไว้วางใจขุนนางเป็นร้อย ตัวละคนในหารแสดงนี้จำต้องไม่โดดเด่น จากกุศลมังกรอันเป็นคุณงามความดีช่วยก่อตั้งราชวงศ์ สังหารขุนนางดีและชราเหล่านี้ กรรมชั่วที่ตามมาส่งผลถึงเต่าเฒ่าด้วยเช่นกัน

มือขวาจี้หยวนซึ่งวางอยู่บนหัวเข่าค่อยๆ โปนขึ้น เห็นใจเต่าเฒ่าและขุนนางบริสุทธิ์เหล่านั้น ในใจเกิดความคิดบางอย่างเช่นกัน

‘ตระกูลเซียว?’