ตอนที่ 212 ไยข้าต้องหาเรื่องใส่ตัว

เซียนหมากข้ามมิติ

ตอนที่ 212 ไยข้าต้องหาเรื่องใส่ตัว

หากจะกล่าวอย่างจริงจัง สิ่งที่เทพภูเขาคิดในตอนนี้ไม่ใช่จะปกป้องผู้ฝึกมารที่ถูกกดดันจนขยับไม่ได้ข้างล่างนี้อย่างไร แต่กำลังคิดว่าตนเองควรทำอย่างไรถึงจะหลุดพ้นจากเรื่องนี้

แม้ผู้ฝึกเซียนชุดขาวผู้นี้บอกแล้วว่าแค่ถามเรื่องของตนเอง แต่เมื่อครู่เทพภูเขาพูดเองว่า ‘เป็นสหายเก่า’ ผู้ฝึกเซียนชุดขาวผู้นี้จึงแน่ใจแล้วว่าเทพภูเขามีมิตรไมตรีกับผู้ฝึกมารนอกรีตผู้นี้

นี่เรียกว่าอะไรกัน หากเปลี่ยนเป็นสังคมที่ให้ความเห็นได้อย่างอิสระเมื่อชาติก่อนของจี้หยวน คนส่วนใหญ่คงจะเลือกบอกว่าเทพภูเขา ‘รนหาที่ตาย!’

ถึงเทพภูเขาไม่รู้จักคำว่า ‘ตาย’ แต่กลับเข้าใจความหมายของ ‘รนหาที่ตาย’ ได้

ทว่าตอนนี้เข้าใจแล้วกลับมีความรู้สึกสายเกินไป หากกระบี่บนท้องฟ้าตกลงก็ไม่ใช่ว่าถอดผิวหนังสองสามชั้นก็หลุดพ้น ด้วยร่างจริงซ่อนอยู่ในอวตารร่างภูเขาเช่นกัน

แม้ว่าพลังและแสงเทพบนภูเขาไม่ได้ลดลง กระนั้นเมื่อเทียบกันดูแล้วก็รับรู้ได้ถึงอานุภาพของทั้งสองสิ่งที่ลดลงได้อย่างง่ายดาย

จี้หยวนสัมผัสว่องไวอีกทั้งเปิดตาทิพย์เต็มที่ แทบจะรู้สึกได้ในทันทีว่าพลังของเทพภูเขาไม่สู้เมื่อครู่นี้ และเป็นความรู้สึกที่ทำให้จี้หยวนเก็บงำความรู้สึกทันที ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาตระหนัก

เห็นเทพภูเขาไม่พูดจาเนิ่นนานแล้ว ชายชราข้างล่างอยู่ในสภาพตัวอ่อนพวกเปียก บ่งบอกว่ากระบี่สังหารใจบรรลุผลสำเร็จที่ควรมีแล้ว กอปรกับอานุภาพกระบี่ผลาญจิตใจมหาศาล จะประคองเอาไว้ไม่ง่ายเช่นกัน จี้หยวนเก็บเขตแดนกลับแล้วถือโอกาสก้าวลงจากที่สูงทันที

เมื่อเก็บเขตแดนแล้ว ความรู้สึกอานุภาพฟ้าผสานกับอานุภาพกระบี่หายไปในพริบตา แม้กระบี่เครือเขียวยังคงมีเจตกระบี่กดดันคนและมีอานุภาพกระบี่มหาศาลหาสิ่งใดเทียบ แต่กลับไม่ได้ทำให้เทพภูเขารู้สึกกลัวว่าท้องฟ้าจะถล่มดินจะทลายอีก

“พลังภูเขาลานสารทเชื่อมโยงกับยอดเขาและผืนป่า กลายเป็นเทพภูเขาลานสารทแห่งนี้ได้ นับว่าท่านฝึกปราณเกิดผลสำเร็จ ความเกี่ยวข้องกับผู้ฝึกมารอาจจะไม่ได้ลึกซึ้งอะไร หากเคยให้คำมั่นสัญญาใด เพียงเพราะท่านไม่ก้าวถอยหลังเพราะอานุภาพกระบี่ฟ้าทลาย นั่นก็ถือว่าทำตามสัญญานั้นแล้ว!”

ท่ามกลางเสียงคมกระบี่เซียน จี้หยวนยื่นมือจับด้ามกระบี่เครือเขียว จากนั้นชี้นิ้วไปยังผู้ฝึกมารที่อยู่บนพื้น ทว่าดวงตาสีเทาไร้แววกลับมองไปยังลูกตาตรงส่วนศีรษะบนร่างขนาดยักษ์ของเทพภูเขาลานสารท

“เทพภูเขายังต้องการยืนหยัดต่อหน้าผู้ฝึกมารสมควรตายผู้นี้หรือไม่”

คำพูดนี้ของจี้หยวนทำให้เทพภูเขาสบายใจ ในนั้นมีท่าทีถอยหลังแต่ก็ไม่รู้สึกละอายใจ

เทพภูเขาลานสารทถอนใจโล่งอก อีกฝ่ายมอบบันไดลงให้อย่างชัดเจน ขืนหัวแข็งไม่ยอมลงไปอีกก็ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีเกินไป ได้เห็นอานุภาพกระบี่ฟ้าทลายแล้ว ย่อมรู้ว่าสู่ต่อไปอาจทำให้กายพรตบาดเจ็บหนักหรือก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ร้ายแรงยิ่งกว่า

ราวกับรู้ตัวว่าตนเองตกอยู่ในสถานการณ์เลวร้าย ชายชราที่อยู่บนพื้นผู้นั้นดึงสติกลับคืนจาพสภาวะอกสั่นขวัญแขวน อ้อนวอนเทพภูเขาหลายครั้ง

“ท่านเทพภูเขาเห็นคนจะตายแต่ไม่ช่วยไม่ได้ ทำลายหินเทพภูเขาแล้วจะออกแรงช่วยเหลือ นี่เป็นคำมั่นสัญญาของท่าน!”

เทพภูเขาก้มศีรษะยักษ์มองชายชรา เสียงดุจระฆังรอบนี้ทุ้มต่ำ

“หากไม่ใช่เพราะข้า เจ้าตายตั้งแต่กระบี่แรกนั่นแล้ว อานุภาพเมื่อครู่นี้กดอัดลงมาข้าก็ไม่ได้จากไป ยังออกแรงช่วยเหลือไม่พออีกหรือ ข้าทำดีที่สุดแล้ว หรือยังต้องการให้ข้าสละร่างตกตายเพื่อเจ้าอีก”

เทพภูเขาเงยหน้าเผชิญหน้ากับจี้หยวนซึ่งมีร่างกายเล็กจ้อยบนก้อนเมฆ ร่างและแขนภูเขาขนาดใหญ่ยักษ์ปัดป่ายส่งเสียงลมหวีดหวิวอย่างบ้าคลั่ง ในใจจี้หยวนรู้สึกหวาดกลัว กระนั้นยังคงยืนนิ่งอยู่กลางท้องฟ้า เห็นสองแขนของเทพภูเขาชนกันเองตามคาด

ตึง…

ทั้งเกิดฝุ่นดินและแรงระเบิด แขนยักษ์ทำท่าประสานมือ ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า

“ข้าน้อยเทพภูเขาลานสารทหงเซิ่งถิง เมื่อครู่หยาบคายกับท่านเซียนนัก หวังว่าท่านเซียนจะให้อภัย!”

จี้หยวนประสานมือให้เทพภูเขา ในใจลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจไม่บอกชื่อแซ่ตนเอง แม้จะไม่มีมารยาทอยู่บ้าง แต่ตอนนี้เขาไม่อยากบอกจริงๆ เพราะที่ไกลออกไปโดยรอบคล้ายกับมีกลิ่นอายซ่อนอยู่

หลังจากจี้หยวนคารวะเสร็จ ร่างใหญ่มโหฬารสาวเท้าเดินไป

ตึง…ตึง…ตึง…

ภูเขารอบข้างสั่นไหว เดินออกไปเพียงสามก้าวก็ทิ้งระยะห่างกับชายชราผู้ฝึกมารมากแล้ว ระหว่างนี้เขาหมดหวังสุดขีด

“เทพภูเขาหง! หงเซิ่งถิง! ท่านไปไม่ได้ ท่าน…”

ชิ้ง…

ประกายกระบี่เซียนวาบผ่านและส่งเสียง ชายชราถูกประกายกระบี่สีเงินฟันใส่ เสียงขาดลงในทันที แต่ร่างกายกลับดูเหมือนไม่เป็นอะไรเลยสักนิด เพียงหลับตานอนนิ่งอยู่บนพื้น

จี้หยวนถือโอกาสส่งกระบี่เข้าไปในฝักซึ่งลอยคว้างอยู่ข้างๆ เจตกระบี่ทั่วฟ้าหายวับไปในวินาทีนี้

ท่ามกลางเสียงลมหวีดหวิว พายุหิมะบนท้องฟ้าพัดกระพืออีกครั้ง เขตภูเขาลานสารทตกอยู่ในพายุหิมะรุนแรงอีกครั้งแล้ว

หลังจากชายชราใช้ยันต์แทนชะตาหลบหนีก่อนหน้านี้ กระบี่นี้ถูกจี้หยวนพบว่าสภาวะของมันกำลังเข้าอกเข้าใจอย่างดี แค่ฟันทำลายจิตวิญญาณครึ่งหนึ่ง ทว่าไม่ทำลายร่างวิญญาณ กระนั้นเทียบกับการได้รับท่ากระบี่ฟ้าทลาย ประโยชน์ใช้สอยข้อนี้ไม่สลักสำคัญอะไร

คราวนี้จี้หยวนถือด้ามกระบี่ฟันลงด้วยตนเอง ใช้พลังและเจตจำนงขับเคลื่อนอานุภาพกระบี่เครือเขียว ฟันไปยังจิตวิญญาณซึ่งเหลืออยู่ครึ่งหนึ่งของชายชรา เหลือเพียงร่องรอยของการคงอยู่

จี้หยวนที่เปิดตาทิพย์เต็มที่เท่านั้นถึงใช้ทางกระบี่ได้ครอบครองความอัศจรรย์ที่อยู่ภายในแล้ว เมื่อออกกระบี่แล้วไม่ธรรมดา ปราณกระบี่มีเจตกระบี่เป็นรากฐาน ใช้พลังกายของตนเองชักนำกลิ่นอาย หากมากเกินไปเพียงเล็กน้อยจะดับสูญ หากตัวกระบี่เซียนทำไม่ได้ชั่วคราว ออกกระบี่จำเป็นต้องเกิดผลพื้นดินแตกระแหง ร่างกายแบ่งแยกแน่นอน

ชั่วขณะที่จิตวิญญาณแห้งเหือด ชายชราขยับไม่ได้โดยสิ้นเชิง ร่างกายไม่ฟังคำสั่งแล้ว ยิ่งไม่อาจรวบรวมจิตวิญญาณไปควบคุมพลังได้ ตกอยู่ในสภาวะหลับลึกซึ่งหาได้ยากในหมู่ผู้ฝึกปราณเช่นเขา

เทพภูเขามองจี้หยวนและชายชราบนพื้น รู้แล้วว่าคนผู้นี้ยังไม่ตาย แต่หลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นเขาช่วยไม่ได้และไม่อยากสนใจแล้ว ยิ่งไม่ยินดีที่จะเก็บศิษย์ผู้นี้ไว้ให้ลำบากใจเปล่าๆ เขาก้าวเท้าหนักอึ้งสะเทือนภูผาผืนป่าดังตึงๆ เข้าสู่ใจกลางพายุหิมะ หลังจากนั้นหลายสิบก้าวออกห่างจากตรงนี้มากแล้ว จึงหยุดยืนอยู่บนไหล่เขาอีกลูก ร่างภูเขายักษ์ใหญ่ค่อยๆ นั่งลงแล้วเอนกายพิงบนยอดเขาลูกหนึ่ง

ครืน…ครืน…

ขณะพื้นภูเขาสั่นไหว ร่างภูเขาอันเป็นร่างแปลงของเทพภูเขาจมลงสู่ตัวภูเขาโดยรอบ เหลือไว้เพียงหินก้อนมหึมาเผยออกมาข้างนอก มองดูแล้วเหมือนพื้นภูเขาคดเคี้ยวธรรมดา ในตาทิพย์ของจี้หยวนมองจากระยะไกลไม่เห็นว่าแสงวิญญาณของภูเขามีอะไรพิเศษ ราวกับเป็นธรรมชาติหายากอย่างแท้จริง

‘นี่เข้ากับภูเขาของจริงอย่างเห็นได้ชัด เทพภูเขาลานสารทไม่ธรรมดาจริงๆ!’

ตอนนี้จี้หยวนยังคงยืนอยู่บนท้องฟ้า เปิดตาทิพย์เต็มที่กวาดมองโดยรอบเขาลานสารท เห็นมีปราณปีศาจและกลิ่นอายพิเศษอื่นล่องลอยไปไกล แต่กลับไม่มีกะใจไปติดตามและสืบสวนอะไรแล้ว

เห็นทีได้เห็นอานุภาพการลงมือเมื่อครู่และท่ากระบี่ฟ้าทลายที่น่ากลัวเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแล้ว คงไม่มีคนตาร้ายที่ไหนเข้าใกล้ที่นี่

ข่าวลือหอความลับสวรรค์แพร่มาถึงตอนนี้ ต้องมีผู้ให้ความสนใจต้าเจินไม่น้อยแน่ โดยเฉพาะทางเหนือของต้าเจินตรงนี้

แม้ต้าเจินจะเหนือกว่าอาณาจักรข้างเคียงในหลายๆ ด้าน แต่พื้นที่ทั้งหมดตั้งอยู่ตรงมุมทิศใต้ของรัฐอวิ๋น สำหรับทางเหนือถือเป็นพื้นที่หนาวเย็นยากลำบาก แต่ความจริงนั่นตั้งอยู่บนพื้นที่ของรัฐอวิ๋น ทางเหนือถึงเป็นพื้นที่มุ่งสู่ใจกลาง

‘ชายชราผู้ฝึกมารกล้าใช้วิชามารขัดต่อหลักการสวรรค์สั่งสอนลูกศิษย์เช่นนี้ เกรงว่าไม่ได้มีแค่คนเดียวแน่ ครั้งนี้สร้างความตระหนกได้จริงๆ!’

เมื่อเกิดความคิดเช่นนี้แล้ว จี้หยวนลดระดับความสูงของก้อนเมฆลง สุดท้ายควบคุมลมตกลงข้างๆ ชายชรา

เพราะการต่อสู้เมื่อครู่นี้ บริเวณใกล้เคียงไม่เพียงมีภูเขาถล่ม แต่ยังมีหิมะถล่มลงมาด้วย ชายชรานอนอยู่กลางหิมะผืนใหญ่อย่างนั้น ก่อนที่ร่างยักษ์ใหญ่ของเทพภูเขาจะเคลื่อนไหวสั่นสะท้านหิมะที่เกาะอยู่ สุดท้ายคลุมร่างชายชราด้วยดินที่เรียบร้อย

ด้วยสภาพของชายชราในตอนนี้ หากไม่ไปสนใจเขา ไม่นานเท่าไหร่ก็จะถูกแช่แข็งจนกลายเป็นรูปสลักน้ำแข็ง แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะตาย แต่หากฟื้นขึ้นมาก็ต้องรอน้ำแข็งละลายก่อนถึงจะใช้ได้

เพื่อป้องกันความเสี่ยง จี้หยวนนั่งยองลงใช้ขั้นตอนของชาวยุทธ์ สกัดจุดทั่วร่างกายชายชราเอาไว้

เพิ่งลุกขึ้นยืนไม่ทันไร คิดดูแล้วจี้หยวนเข้าไปใกล้ชายชราอีกครั้ง ละลายน้ำแข็งใช้นิ้วชี้เขียนอักษร ‘นิ่ง’ จากนั้นกระแทกเข้าสู่กายชายชรา คราวนี้ถึงค่อยปัดมือลุกขึ้นยืน

ทำสิ่งเหล่านี้เสร็จแล้ว จี้หยวนไม่คิดออกจากที่นี่ทันที ทว่าประสานมือไปทางที่เทพภูเขาจากไปอีกครั้ง

“ขอสนทนากับท่านเทพภูเขาอีกครั้ง”

เนิ่นนานไม่มีสิ่งใดตอบสนอง ไม่รู้เหมือนกันว่าร่างจริงของเทพภูเขาหลีกลี้ลึกเข้าไปในภูเขาแล้วหรือไม่ จี้หยวนคิกว่าน่าจะไม่ใช่เช่นนั้น เพียงแต่ไม่อยากออกมาอีกครั้งมากกว่า

หลังจากครุ่นคิดได้ จี้หยวนเลือกยกเท้าเดินบนพื้นภูเขาเบาๆ โคจรพลังเล็กน้อย จนกระทั่งสำแดงวิชาคุมเทพออกมา

“ขอเชิญท่านเทพภูเขาลานสารทมาสนทนากับข้า!”

ริ้วคลื่นอันเกิดจากวิชาคุมเทพใต้เท้ากระเพื่อมจางๆ พริบตาเดียวเทพภูเขาก็รับรู้ได้ ฝ่ายจี้หยวนใช้พลังไม่มาก น่าจะนับได้ว่าให้เกียรติแล้ว

ข้างกายจี้หยวนมีแสงสีเหลืองเป็นเส้น จากนั้นมีก้อนหินก้อนหนึ่งแทรกดินภูเขาลอดออกจากหิมะ กลายเป็นบุรุษใบหน้ามีรอยหิน กายสวมชุดคลุมยาวสีเทาปรากฏตรงหน้า บนใบหน้ายังคงมีสีหน้าประหลาดใจที่ยากจะปกปิด

“หงเซิ่งถิงคารวะท่านเซียน!”

เทพภูเขามองจี้หยวนแล้วคารวะพร้อมความรู้สึกซับซ้อน

‘หากท่านเผยความสามารถตั้งแต่แรก แล้วไยข้าต้องมาหาเรื่องใส่ตัวด้วย…’