ตอนที่ 221 กราบไหว้ภูเขา

เซียนหมากข้ามมิติ

ตอนที่ 221 กราบไหว้ภูเขา

“อิ๋นชิง เจ้าออกไปปลดทุกข์ไกลขนาดนั้นเลยหรือ ในภูเขานี้มีแต่อันตรายนะ!”

โม่ซิวถามเจือความโมโห มองอิ๋นชิงที่ยืนนิ่งงันอยู่ตรงนั้น

“เรียบร้อยแล้วแล้วหรือ ข้าก็กำลังปลดทุกข์แล้วหมือนกัน”

โม่ซิวพูดพลางแกะเชือกรัดกางเกงอยู่ข้างหลังก้อนหินอีกด้านหนึ่ง

“ยังๆ ข้ายังไม่ได้เริ่มปัสสาวะเลย”

อิ๋นชิงตอบรับแล้วรีบเข้าไปใกล้หน้าผาด้านนั้น ปลดเชือกกางเกงเตรียมปลดทุกข์ไปพลาง ดวงตามองโดยรอบไปมาไปพลาง ทั้งไม่เห็นคนแปลกๆ พูดจาติดอ่างที่เรียกตนเองว่าเทพภูเขา และไม่เห็นกระเรียนกระดาษเช่นกัน

ความจริงแล้วก่อนหน้านี้อิ๋นชิงเคยเห็นกระเรียนกระดาษแค่สองสามครั้ง อีกทั้งเห็นกระเรียนกระดาษบินไปจิกข้างๆ หูอวิ๋น ได้ยินว่าท่านจี้เขียนตัวอักษรมากมายไว้บนตัวกระเรียนกระดาษ แต่ดูบนกระดาษแล้วกลับว่างเปล่าสะอาดสะอ้าน

รอจนอิ๋นชิงและโม่ซิวปัสสาวะเสร็จ อิ๋นชิงใช้สายตาเสาะหาก้อนหินทุกก้อนและข้างหลังพุ่มไม้แทบทั่วบริเวณแล้ว แต่ก็ยังคงไม่พบอะไร

“ไปเถอะ เจ้ายังมองอะไรอยู่อีก”

“อ้อๆ ไปๆๆ”

ช่วยไม่ได้ อิ๋นชิงทำได้เพียงตามโม่ซิวกลับไป ทว่าระหว่างกลับไปนั้น กระเรียนกระดาษบินกลับมาถึงข้างกายอิ๋นชิงอีกแล้ว จากนั้นก็ลอดเข้าไปในอกเสื้อเขาท่ามกลางสายตายินดีระคนตกใจ

ความจริงแล้วกระเรียนกระดาษยังไม่อาจเรียกได้ว่ามีปัญญา เพียงแต่นอกจากสัญชาตญาณเสาะหาโชคหลีกลี้ความชั่วร้าย ก็ยังแยกแยะคำสั่งของเจ้านายได้โดยง่าย สร้างคำตอบที่ชัดเจนให้ตนเอง เมื่อครู่จิกคำตอบของอิ๋นชิงสามครั้ง นั่นไม่ใช่เพราะมันเข้าใจการอุปมาอุปไมย แต่เป็นเพราะมันเข้าใจว่าความจริงก็เป็นเช่นนั้น หนึ่งหมายถึงมาแล้ว สองหมายถึงตอนนี้ไม่อยู่แล้ว

ตอนอิ๋นชิงและโม่ซิวกลับไปยังจุดที่ทุกคนพักผ่อนอยู่ ทางนั้นเตรียมตัวออกเดินทางอีกครั้งแล้ว ระหว่างนั้นเล่าเรื่องน่าสนใจจำนวนหนึ่ง นับได้ว่าพักผ่อนไปแล้วหนึ่งเค่อ

คนกลุ่มหนึ่งใช้เวลาครึ่งชั่วยามอ้อมเทือกเขาคดเคี้ยวผืนนี้ จากนั้นภูมิประเทศเปลี่ยนจากขึ้นสูงเป็นลงต่ำ จนกระทั่งถึงทางลาดลงเขาขนาดใหญ่

“ดียิ่งนัก ในที่สุดก็ไม่ต้องปีนขึ้นแล้ว ในที่สุดก็ได้ลงข้างล่างเสียที แบบนี้ประหยัดแรงได้มากทีเดียว!”

หลินชินเจี๋ยกล่าวด้วยความตื่นเต้นราวกับสมหวังดังใจปรารถนา

“ฮ่าๆ คนหนุ่มผู้นี้ มีคำกล่าวว่าขึ้นเขาง่ายลงเขายาก ระยะทางช่วงนี้ต่างหากที่จำเป็นต้องใช้ความระมัดระวัง หูจื่อ หลี่อิ๋น ชวนจื่อ อีกเดี๋ยวคอยดูบัณฑิตสามคนนี้หน่อย จะได้ไม่เกิดเรื่องใหญ่”

“อื้อ!”

“รู้แล้วท่านลุงลู่”

“รู้แล้วท่านอาลู่”

บัณฑิตสามคนเกาศีรษะ แต่ไม่ได้ถามเช่นกันว่าเหตุใดไม่ต้องคุ้มครองอิ๋นชิง ถึงอย่างไรเสียขอเพียงตาไม่บอดก็มองออกว่าแรงกายอิ๋นชิงไม่ได้ด้อยไปกว่าพ่อค้าเร่เหล่านี้เลย

เป็นเช่นที่ผู้อาวุโสลู่พูดจริงๆ ตอนลงเขาลำบากกว่าตอนขึ้นเขามากโข เปลืองเรี่ยวแรงไปมหาศาล คนจำนวนหนึ่งลงเขาแล้วรู้สึกว่าขาอ่อนแรง กอปรกับพื้นลื่นหลังฝนตก ทุกคนจึงเพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ ถ้าเห็นข้อความนี้จากที่อื่นโปรดกลับมาเยี่ยมเราบ้างนะ ขอบคุนจ้า

ชายหนุ่มที่ถูกกัดขาเมื่อครู่นี้เดิมทีมีเรี่ยวแรงล้นเหลือเสมอ ไม่รู้สึกว่าเปลืองแรงมากเท่าไหร่ แต่คราวนี้ตอนย่างเท้าลงเขาเหยียบก้อนหินเขยื้อนได้ก้อนหนึ่งเข้า

“เฮ้ยๆๆ…”

“ระวัง!”

“จับไว้ๆ”

โครม…

หินกลิ้งลงจากทางบนเขาทันที ชายหนุ่มตกใจมากเช่นกัน ใต้เท้ายังคงลื่นแม้จะหยุดย่างเท้าแล้ว เขาเห็นว่าตนเองใกล้ตกลงไป ทว่าทางบเขาพลันมีส่วนหนึ่งยื่นออกมาอย่างน่าประหลาด ทำให้เพิ่มแรงที่เท้าของชายหนุ่มได้ คราวนี้เขาหยุดร่างกายที่กลิ้งไปมาได้แล้ว จับต้นไม้ต้นหนึ่งได้แน่นขนัด

“ไม่เป็นไรกระมังเสี่ยวหลิว!”

“พี่หลิว!”

“รอหน่อยๆ!”

หลายคนข้างบนรีบล้อมเข้าไป

“ซี้ด…อันตรายนัก เกือบตกลงไปแล้วเชียว หากตกลงไปแล้วคงไม่รอดเป็นแน่!”

ชายหนุ่มตระกูลหลิวนั่งลงบนเนิน มองลงไปข้างล่างพลางใช้แขนเสื้อเช็ดเหงื่อเย็นๆ เหงื่อที่ออกมาเพราะตกใจกลัวเพียงพริบตาเดียวเยอะมากกว่าครึ่งชั่วยามกว่าก่อนหน้านี้เสียอีก

“ไอ้หยาพี่หลิว บนขากางเกงท่านเปื้อนเลือดแล้ว!”

ชายหนุ่มได้ยินดังนั้นถกขากางเกงขึ้น มองตำแหน่งที่ถูกจิ้งจอกกัดเมื่อวาน ผ้าพันแผลที่พันไว้เมื่อวานมีเลือดซึมออกมาแล้ว เมื่อปลดผ้าพันแผลออกดูก็พบว่าแผลปริแล้ว

“โอ๊ย มีหนองแล้ว จิ้งจอกตัวนี้สารพัดพิษจริงๆ!”

ครั้นผ่านความตื่นตระหนกของเรื่องนี้มาได้ คนทั้งกลุ่มเดินทางเพิ่มความระมัดระวังกว่าเดิม เที่ยงวันดื่มน้ำเย็นในกระบอกไม้ไผ่ กินขนมเปี๊ยะและหมั่นโถว เหล่าพ่อค้าเร่เจอถ้ำลึกหนึ่งจั้งกว่า กว้างสี่ห้าจั้งกลางทางเดินขนาดเล็กก่อนฟ้ามืด

ถ้ำนี้น่ากลัวทีเดียว มันเหมือนกับก้อนหินบนภูเขาถูกแยกออกตรงกลางด้วยฝีมืออันน่าอัศจรรย์ ข้างบนมีความรู้สึกเหมือนจะหล่นทับลงมาได้ทุกเมื่อ แต่ความจริงแล้วแข็งแรงมั่นคงมาก เป็นสถานที่เก่าแก่ที่พ่อค้าเร่ใช้บังลมพักเท้า

คนจำนวนหนึ่งทำอาหาร ส่วนหลายคนปลดเสื้อและกางเกงดูตรงที่ถูกกัดข่วนเมื่อวานนี้

“ซี้ด…”

“โห…อาการหนักทีเดียว!”

“เป็นหนองหมดแล้ว…”

“ของข้าก็บวมแล้ว ไยเมื่อกลางวันไม่รู้สึกเจ็บนะ”

“ไอ้หยา พอเจ้าพูดคำว่าคัน ข้าก็รู้สึกคันขึ้นมาบ้างเลย”

“อย่าเกา!”

“ใช้สมุนไพรแล้วทำแผลใหม่หน่อย!”

ตอนนี้คนเหล่านี้ล้วนมีแต่ความกังวล อย่างไรเสียก็ไม่ใช่บาดแผลจากจิ้งจอกธรรมดา แผลจึงสมานได้ไม่ดีนัก ทว่าระหว่างทางโชคดีมากเจอสมุนไพรไม่น้อย จึงมีคนบดสมุนไพรเตรียมทายาให้ทุกคนแล้ว

หลังพุ่มไม้ไกลออกไป จิ้งจอกสามตัวมองมนุษย์กลุ่มนี้ด้วยสายตาเยือกเย็น

“หึๆๆๆ…”

“กล้าต่อกรกับข้า ไม่รู้เสียแล้วว่าคำว่าตายเขียนอย่างไร!”

“ต้องกินคนพวกนี้ให้ได้!”

“ไอ้หยาละเว้นบัณฑิตพวกนั้นก่อน ให้พวกเราได้ค่ำคืนวสันต์ก่อนค่อยว่ากล่าว”

“ใช่ๆ ฮิๆๆ…”

พวกมันไม่ได้ฝึกปราณจนแปลงกายได้อย่างแท้จริง ทว่าปรากฏตัวด้วยร่างคนได้เป็นเพียงภาพลวงตาเหมือนกับเป่าลูกโป่ง ถูกเปิดโปงได้ง่ายมาก โดยพื้นฐานแล้วพวกมันไม่มีความสามารถมีเพศสัมพันธ์กับมนุษย์ ค่ำคืนวสันต์ที่ว่าก็แค่การยั่วยวนบัณฑิต ดูดปราณดั้งเดิมที่อยู่ภายใต้สภาวะตื่นเต้นออกมา

อีกด้านหนึ่ง พ่อค้าเร่และเหล่าบัณฑิตที่ถูกปีศาจจ้องมองด้วยแววตาชั่วร้ายเกิดความรู้สึกไม่สบายใจขึ้นรางๆ เพียงล้อมรอบกองไฟอยู่ข้างใน ไม่กล้าแม้แต่จะไปเก็บฟืนไกลด้วยซ้ำ

“ทุกคนระวังหน่อย คืนนี้ไม่มีบ้านหรือผนังกำบังพวกเรา นอกจากสัตว์ป่าแล้ว จิ้งจอกสามตัวเมื่อคืนอาจมาอีกก็ได้!”

พ่อค้าเร่มีประสบการณ์หลายปี เรื่องราวแปลกลึกลับความจริงเคยพบมากกว่าหนึ่งครั้ง แต่ส่วนใหญ่ล้วนไม่กล้าสืบเสาะและไม่อยากหาต้นตอ ด้วยอยากปลอดภัยยินดีทำเป็นไม่รู้เรื่องราว ทว่าครั้งนี้ประหลาดที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะเจอปีศาจเข้าจริงๆ แล้ว

“บรู๋ว…”

“บรู๋ว…”

กลางเขาหลังเข้าช่วงกลางคืนพลันมีเสียงหมาป่าหอนดังขึ้น ทำให้ทุกคนยิ่งเครียดเกร็งกว่าเดิม เงียบอยู่ครู่หนึ่งแล้วก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“บรู๋ว…”

หลายคนล้วนหยิบหขวานออกมาแล้ว ตั้งท่าอยู่หลังกองไฟ

“ท่านลุงลู่ เสียงหมาป่าร้องเหมือนใกล้เข้ามาเรื่อยๆ หรือไม่”

ชายหนุ่มผู้พูดสบตากับคนอื่น บนใบหน้ามีเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดออกมา

“อืม…คืนนี้ต้องระวังหน่อยแล้ว หมาป่าหิวโหยอาจอันตรายกว่าภูตจิ้งจอกพวกนั้น โบราณว่าไว้ฝูงหมาป่าหิวโหยน่ากลัวยิ่งกว่าเสือ…”

ทว่าตอนนี้เทียบกับพวกพ่อค้าเร่แล้ว ภูตจิ้งจอกสามตัวที่พวกเขาพูดถึงยิ่งเป็นกังวลอย่างชัดเจน กลางเนินเขาขนาดเล็กไกลจากพ่อค้าเร่ประมาณหนึ่งร้อยสิบจั้ง จิ้งจอกสามตัวขดตัวอยู่ด้วยกัน

“โฮ่ง…”

“โฮ่ง…”

“บรู๋ว…”

หมาป่าตัวหนึ่งปรากฏตัวใกล้ๆ เพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากไกลเข้าใกล้ปรากฏสภาวะล้อมปราบ หมาป่าไม่น้อยแยกเขี้ยวข่มขู่จิ้งจอก น้ำลายหยดลงจากเขี้ยว

“สะ สัตว์ป่าเหล่านี้เหตุใด…”

“ไยสัตว์ป่าเหล่านี้ถึงจู่โจมพวกเราล่ะ”

“พะ พี่ใหญ่ พวกเราจะทำอย่างไรดี”

“หมาป่าเยอะนัก ฝูงหมาป่าจากเขาทะลุก็มาด้วยใช่หรือไม่…”

ดวงตาของหมาป่ากลุ่มหนึ่งสะท้อนสีเขียวท่ามกลางความมืด บ้างอยู่บนเนินสูง บ้างอยู่ด้านข้าง ทั้งหมดจ้องจิ้งจอกสามตัวเขม็ง

คนที่อยู่ห่างออกไปร้อยจั้งจุดไฟแล้ว แม้กั้นไว้ด้วยต้นไม้และก้อนหินมากมาย แต่กลับมองเห็นแสงไฟเช่นกัน ฝูงหมาป่าไม่มีความคิดสนใจคนโดยสิ้นเชิง

ราวกับได้รับสัญญาณบางอย่าง หมาป่าหนึ่งตัวในนั้นคำรามขึ้นมา ก่อนที่ฝูงหมาป่าทั้งหมดจะแยกเขี้ยวแสดงความดุร้าย แล้วกระโจนตัวออกไปทันที

ว่ากันว่าสิ่งหนึ่งพิชิตอีกสิ่งหนึ่งได้ จิ้งจอกสามตัวแม้หลอมกระดูกและเกิดปัญญาแล้ว ทว่าด้านการฝึกปราณนั้นแตกต่างออกไป มรรควิถีและความสามารถของตนเองยังไม่อาจเติมเต็มปมด้อยโดยกำเนิด ยิ่งไปกว่านั้นคือหมาป่าและสุนัขมีความสามารถของความดุร้ายอย่างแน่นอน จึงเรียกได้ว่าพวกมันเจอกับศัตรูตามธรรมชาติ

“โฮก…”

“โฮก…”

“หงิงๆๆ…”

“โฮก…”

“อ๊าก…”

“โฮก…”

“ท่านพี่ช่วยข้าด้วย…”

เสียงแหลมจากภูตจิ้งจอกและเสียงคำรามของหมาป่าทำให้กลุ่มคนที่อยู่ไกลออกไปตกใจอย่างชัดเจน เสียงคำรามของสัตว์ป่าต่อสู้กันทำให้ขนพองสยองเกล้า ฟังดูใกล้มาก บางครั้งถึงขนาดรู้สึกว่าอยู่ข้างนอกถ้ำนี้เอง

“เฮ้อ…เมื่อครู่ข้าเหมือนกับได้ยินเสียงขอความช่วยเหลือ หรือว่ามีคนถูก…”

“อย่าพูดมั่วเลย ข้าไม่เห็นได้ยิน!”

“ชู่ เงียบให้หมด ระวังตัวหน่อย เติมไฟให้มากกว่านี้ด้วย!”

“ใช่ๆ เติมไฟให้มากกว่านี้หน่อย!”

คนกลุ่มหนึ่งอกสั่นขวัญแขวน หมาป่าคืนนี้เหมือนกับเป็นบ้าไปแล้ว อีกทั้งได้ยินเสียงหมาป่าร้องจากที่ใกล้และไกล เสียงกัดทึ้งและต่อสู้ดังอยู่ข้างนอกถ้ำครู่ใหญ่ จากนั้นค่อยห่างไกลออกไปเรื่อยๆ

อย่างไรเสียก่อนฟ้าสว่างก็ไม่มีใครกล้าออกไปดูสถานการณ์แล้ว

เมื่อถึงเช้าวันรุ่งขึ้น กลุ่มคนที่นอนไม่หลับทั้งคืนลากร่างกายอันเหนื่อยล้าเคลื่อนไหวอย่างระมัดระวัง หลังจากลังเลอยู่นาน สุดท้ายเดินไปยังบริเวณใกล้เคียงที่ได้ยินเสียงสัตว์ป่าต่อสู้เมื่อคืนนี้

ทันทีที่ถึงตรงเนินขนาดเล็กก็เห็นร่องรอยน่าหวั่นกลัวจำนวนหนึ่ง

“ซี้ด…เลือดเยอะมาก!”

“อืม มีขนเปื้อนเลือดเยอะแยะเลยด้วย!”

ผู้อาวุโสลู่เดินไปยังพุ่มไม้ข้างหลัง ใช้ขวานฟันเล็กน้อย จากนั้นดึงขาและกรงเล็บเปื้อนเลือดออกมา

“เอ่อ…นี่เหมือนจะเป็นขาจิ้งจอกนะ?”

“ข้าไม่แน่ใจเลยจริงๆ!”

“เฮ้อ…เขาทะลุแห่งนี้อันตรายเกินไปแล้วกระมัง!”

ผู้อาวุโสลู่มีหน้าดำคล้ำ ในใจกำลังคิดว่าหลังจากนี้ต้องการทางผ่านเขาทะลุให้น้อยหน่อยหรือไม่ หรือแค่ยอมแพ้ไปเลยดีกว่า

“ไปๆๆ รีบหน่อย วันนี้ต้องออกจากเขาก่อนฟ้ามืด ที่นี่อันตรายเกินไปแล้ว!”

“อืม!”

“ท่านลุงลู่พูดถูกต้อง!”

“ไปเร็วๆ!”

คนกลุ่มหนึ่งไม่ลังเลอีก ส่วนบัณฑิตหลายคนไม่บ่นว่าเหนื่อยอีกเลยตลอดทาง ต่อให้ขาหักก็ดีกว่าทิ้งชีวิตไว้ที่นี่

เมื่อถึงเวลาเย็นย่ำพระอาทิตย์คล้อยลงทางทิศตะวันตก คนเกือบยี่สิบคนที่เหนื่อยล้าจนแทบทนไม่ไหวเดินออกจากเขาทะลุ โลกที่รกร้างไร้เงาคนได้ในที่สุด

เมื่อเลี้ยวออกจากถนนเส้นเล็กก็มองเห็นสถานพักม้าขนาดใหญ่ที่ยังคงดำเนินกิจการอยู่ข้างหน้า ทุกคนพากันถอนใจโล่งอกอย่างแรง

อิ๋นชิงที่ตื่นตัวอยู่ตลอดก้มหน้ามอง จากนั้นหันไปมองข้างหลัง ด้านหลังดินสีเหลืองและก้อนหินขนาดใหญ่ข้างถนนเส้นเล็กนั้น เทพภูเขากระดูกผิดรูปร่างประสานมือให้เขาอยู่ไกลๆ

เมื่อเห็นภาพนี้ อิ๋นชิงพลันเข้าใจเรื่องราวเมื่อคืนนี้แล้ว เกรงว่าจะเป็นฝีมือของเทพภูเขา จึงรีบโค้งกายคารวะเช่นกัน

“บัณฑิตอิ๋น เจ้าคารวะใครหรือ”

“ข้ากำลังขอบคุณเทพบนภูเขา บนเขามีเทพอยู่ ครั้งนี้ต้องเป็นเทพภูเขาที่ปกปักษ์พวกเราให้ออกจากเขาอย่างปลอดภัย”

“ใช่ๆๆ มีเหตุผล!”

“เช่นนั้นข้าคารวะด้วย”

“ข้าก็เช่นกัน!”

ผ่านเรื่องในครั้งนี้มาแล้ว ทุกคนล้วนคารวะภูเขาด้วยความหวั่นเกรงและจริงใจครั้งหนึ่ง

จิตวิญญาณภูผาธาราแทนที่จะเรียกว่าเทพภูเขา มิสู้เรียกว่าผู้ฝึกปราณที่มุ่งสู้ตำแหน่งเทพภูเขาดีกว่า อย่างมากก้าวเข้าสู่ธรณีประตูแล้ว ไม่สนใจสัตว์ร้ายและคนที่ขึ้นเขามา

นอกจากนี้เขาทะลุไม่มีศาลเทพภูเขา ไม่ใช่ว่าเทพภูเขาผู้นี้ไม่ต้องการ ทว่าไม่มีความสามารถรวบรวมกำยาน หรือเรียกได้ว่าไม่รู้ว่าจะรวบรวมกำยานได้อย่างไร แต่ตอนนี้จิตวิญญาณภูผาธาราที่หลบอยู่ข้างหลังก้อนหินพลันได้รับแรงปรารถนาจากมนุษย์แล้ว