ตอนที่ 264 แปลงกายลวงมายา

เซียนหมากข้ามมิติ

ตอนที่ 264 แปลงกายลวงมายา

ยามตู้ก่วงทงบีบคอปีศาจจิ้งจอกแน่น เขาค่อนข้างรู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ เห็นชัดว่าโคจรพลังบีบคอขาวบางนี้แล้ว แต่มีความรู้สึกประหลาดว่าออกแรงไม่ได้

“อึก… ตะ ใต้เท้าเทพวารี… ท่านเบามือหน่อย ขะ ข้าจะถูกท่านบีบคอตายแล้ว… ท่านจี้…”

ภายใต้แรงมหาศาลของตู้ก่วงทง ปีศาจจิ้งจอกเจ็บปวดผิดปกติ ใบหน้าเหนือลำคอแดงก่ำ สองมือจับแขนตู้ก่วงทงแน่นด้วยคิดจะง้างออก เท้ายิ่งกระตุกอยู่ตลอด

“ท่านจี้ รีบบอกให้ใต้เท้าเทพวารีปล่อยมือหน่อย ท่านจี้ ข้าคนแซ่หวังขอร้องท่าน แม่นางหงซิ่วใกล้ถูกบีบคอตายแล้ว!”

หวังลี่ลนลานอยู่ด้านข้าง ประสานมือวิงวอนจี้หยวนอย่างอดไม่ได้ แต่กลับพบว่าตอนนี้จี้หยวนซึ่งพูดด้วยง่ายตลอดนิ่งดูดายใจคอเหมือนหินเหล็ก

จี้หยวนขมวดคิ้วจ้องมองถูซือเยียนซึ่งดิ้นรนเหมือนคนทั่วไป สลัดความรู้สึกผิดแปลกไม่ออก มองตู้ก่วงทงแล้วพบว่าเขาสีหน้าจริงจังเช่นกัน แรงมหาศาลผ่านมือไม่เพียงไม่ผ่อนปรน ปราณปีศาจและพลังกลับยิ่งเปี่ยมท้น แขนข้างหนึ่งแผ่แสงทมิฬแล้ว

“ท่านจี้… ชะ ช่วยข้า…”

กร๊อบ…

มือขวาของตู้ก่วงทงมีเสียงดังลั่น เสียงขอความช่วยเหลือของปีศาจจิ้งจอกพลันหยุดชะงัก เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย เหวี่ยงร่างไร้วิญญาณลงพื้น

“อ๊าก… ฆ่าคนแล้ว! ฆ่าคนแล้ว!”

หวังลี่ตื่นตระหนกจนทรุดตัวถอยหลัง

“ท่านจี้ นี่…”

ตู้ก่วงทงมองจี้หยวนอย่างสงสัยอยู่บ้าง จางหรุ่ยเองลุกขึ้นมามองร่างไร้วิญญาณบนพื้น

“ถลกหนังของนางออก”

“ขอรับ!”

ตู้ก่วงทงย่อตัวลงครึ่งหนึ่ง สองนิ้วทะลวงเข้าด้านหลังใบหน้าของหญิงสาวบนพื้น ใช้เล็บคมกริบแทงเข้าไปครึ่งชุ่น จากนั้นค่อยโคจรพลังถลกออกมา

ฟุ่บ…

คล้ายมีเสียงลมรั่วระลอกหนึ่งดังขึ้น ชั่วขณะนั้นภายในห้องอบอวลด้วยกลิ่นเหม็นเน่า

ตู้ก่วงทงจ้องหนังมนุษย์ในมือเขม็ง ทั้งมองร่างไร้วิญญาณบนพื้น

บนหนังคือใบหน้าหญิงสาวงดงาม เป็นหงซิ่วนั่นเอง ส่วนบนพื้นคือศพหญิงสาวเน่าเฟะร่างหนึ่ง ไม่รู้ว่าตายมานานเท่าไหร่แล้ว กลิ่นเหม็นเน่าเตะจมูก

“อุ… แหวะ…”

หวังลี่ซึ่งเมื่อครู่ยังตกใจเพราะ ‘การฆ่าคน’ หลังจากเห็นสถานการณ์อย่างชัดเจน เขาอาเจียนออกมาอย่างอดไม่ได้ สำรอกอาหารที่กินไปตอนค่ำแล้วยังย่อยไม่ละเอียดออกมาจนหมด หลังจากอาเจียนเสร็จยังวิ่งไปสูดอากาศตรงหน้าต่าง ไม่กล้ายืนอยู่ข้างโต๊ะอีก

จี้หยวนนวดขมับตนเล็กน้อย ลุกขึ้นมาอย่างเนิบช้า

เบิกตาทิพย์เต็มที่ ขณะเดียวกันยังโคจรพลังมหาศาลมาถึงดวงตาทั้งสอง เผยเขตแดนห้วงนิมิตแต่ไม่ได้วิวัฒน์ออกมา จดจ่อกับการแผ่จิตวิญญาณ กวาดมองซากศพและหนังบนมือตู้ก่วงทง ทั้งเหลือบมองไปยังตำแหน่งอื่น

ยามเขตแดนภูผาธาราถูกจี้หยวนนำออกมาจากห้วงนิมิต ตู้ก่วงทงรับรู้ได้เลือนรางว่าถึงแม้จี้หยวนยังยืนอยู่หน้าโต๊ะ แต่ร่างกายเหมือนเหยียดกลางฟ้าดินไร้สิ้นสุด เกิดภาพลวงตาคล้ายว่าเป็นยักษ์ค้ำสวรรค์ ยืนตระหง่านอยู่กลางฟ้าดิน ดวงตาทิพย์ราวกับสุริยันจันทราดาราสาดส่องฟ้าดิน

หลังจากผ่านไปประมาณสองลมหายใจ สายตาจี้หยวนมองไปทางตะวันออก

“ถูซือเยียน ไม่รู้ว่าเป็นชื่อจริงหรือชื่อปลอม…”

จี้หยวนกล่าวพึมพำกับตัวเอง รู้สึกว่ากายใจถดถอยรวดเร็ว ก่อนฟื้นตัวสู่สภาพปกติ ผ่อนลมหายใจเล็กน้อย

“ฮู่…”

จี้หยวนแค่ทำเช่นนี้ตามจิตใต้สำนึก ความจริงการทำเช่นนี้ไม่อาจขยายสายตา แต่กลับทำให้เขาจับทิศทางได้รางๆ ทว่าการรับรู้เลือนรางและแสนสั้นเหมือนภาพลวงตา

สถานที่ห่างไกลทางตะวันออก หมอกควันเลือนรางหนึ่งบ้างม้วนซัดบ้างคลายตัว บางครั้งยังกลายเป็นร่างจิ้งจอก เพียงแต่ตอนนี้หมอกควันเหมือนดีดตัวกะทันหัน กลายเป็นร่างจิ้งจอกหันกลับมามองทางตะวันตกใหม่อีกครั้ง

เมื่อครู่ความรู้สึกนั้นทำให้จิ้งจอกพลันตกใจ ชั่วพริบตานั้นยามหันกลับไป คล้ายเกิดภาพลวงตาเห็นว่ากลางฟ้าดินมียักษ์ตนหนึ่งยืนตระหง่านอยู่ เขาสวมชุดคลุมยาวสีเขียวสองแขนไพล่หลัง ดวงตาสีเทามองมาทางตนอย่างเฉยชา

ชั่วพริบตานี้ปีศาจจิ้งจอกเหมือนหัวใจหยุดเต้นกะทันหัน จากนั้นพริบตาต่อมาความรู้สึกเช่นนี้กลับหายไปจนสิ้น คล้ายว่าเมื่อครู่เป็นแค่ภาพลวงตา

‘จี้หยวน… ร้ายกาจจริงดังคาด ดูท่าว่าเป็นผู้สูงส่งระดับเซียนแท้จริงๆ ครั้งนี้หยอกล้อเขาเล็กน้อย รู้สึกว่าท่าไม่ดีนัก… เฮ้อ! กระบี่เครือเขียวงดงามนัก น่าเสียดายว่าความตั้งใจไม่สำเร็จ… นอกจากใช้อภินิหารผนึกคนได้ เมื่อครู่คือวิชาอะไรกัน’

บนเรือวิจิตร จี้หยวนรู้ว่าตนถูกหยอกแล้ว ทั้งรู้ว่าต่อให้ประเมินปีศาจจิ้งจอกบนเรือสูงหลายครั้ง แต่เห็นชัดว่ายังประเมินอีกฝ่ายต่ำไป ถึงขั้นไม่แน่ใจว่าการปล่อยให้นางหนีไปได้เป็นโชคดีหรือโชคร้าย

จี้หยวนคิดอยู่นานก่อนยิ้มเยาะตนเอง

“หึๆ… ข้าคิดว่าตนมีความสามารถต่ำต้อยอยู่บ้าง ดูถูกวีรชนในใต้หล้าแล้ว…”

ความสามารถต่ำต้อย?

ตู้ก่วงทงก้มมองทรวงอกตนเองตามจิตใต้สำนึก เช่นนั้นข้านับเป็นตัวอะไร ปลาไหลโคลนในน้ำหรือ

แม้ดูจากผลลัพธ์แล้วปีศาจนั่นเก่งกาจจริง ถึงกับหลบหนีไปภายใต้สายตาท่านจี้ แต่ตู้ก่วงทงไม่กล้าหัวเราะเยาะท่านจี้

ท่านจี้สามารถใช้วิชาคุมเทพได้ แม้ว่าดูยิ่งใหญ่แต่คิดอย่างละเอียดแล้วไม่ถือว่าผิดธรรมดานัก แต่วิชาผนึกร่างนั่น อย่าว่าแต่เคยเห็น ตู้ก่วงทงไม่แม้แต่เคยได้ยิน จากนั้นยังมีความรู้สึกชั่วพริบตาในตอนท้าย ความรู้สึกชั่วพริบตานั้นทำให้เทพวารีตู้ก่วงทงคาดไม่ถึง แม้แต่บรรยายยังบรรยายไม่ถูก

‘นี่ก็คือความสามารถของระดับเซียนแท้หรือ ประมุขมังกรก็ทำได้ใช่หรือไม่…’

ในใจตู้ก่วงทงอดคิดเช่นนี้ไม่ได้ แต่พอรู้สึกได้ว่าไม่ใช่ผู้สูงส่งระดับเซียนแท้ทุกคนจะทำได้ จากนั้นความคิดเขาไหวเคลื่อนเกิดความนึกกลัว

‘วิ่งหนีไปต่อหน้าท่านจี้เช่นนี้ได้ เกรงว่าปีศาจนั่นคงร้ายกาจชวนประหวั่น ถ้าไม่ใช่ว่าท่านจี้มาด้วย วันไหนข้าปะทะกับนางเพียงลำพัง…’

จี้หยวนไม่รู้ว่าตอนนี้ในใจเทพวารีคิดหลายตลบเช่นนี้ เขาอักอ่วนเหมือนถูกตบหน้าอยู่บ้าง แต่ไม่นานก็มีเรื่องน่ากลัดกลุ้มกว่ารอให้จัดการ

“อึก… ฮู่… ฮู่… แหวะ… ทะ ท่านจี้ ทำอย่างไรกับร่างไร้วิญญาณนี้ดี มะ แม่นางหงซิ่วตายแล้วหรือ”

ตอนนี้หวังลี่ซึ่งอาเจียนจนมึนงงยังเป็นห่วงหงซิ่ว ถามอย่างลนลานเจือความรู้สึกหดหู่ประโยคหนึ่ง

“ใช่แล้ว ไม่รู้ว่าศพหญิงสาวคนนี้ใช่หงซิ่วหรือไม่”

จางหรุ่ยกระโดดข้ามโต๊ะ เดินมาถึงข้างศพหญิงสาวพลางตรวจสอบอย่างละเอียด แต่เห็นชัดว่านางมองไม่ออกว่าคนผู้นี้เป็นใคร

จี้หยวนนับนิ้วคำนวณ ส่ายศีรษะพลางกล่าว

“หงซิ่วยังไม่ตาย ศพหญิงสาวคนนี้มาจากสุสานร้างนอกเมือง แต่คืนนี้หงซิ่วกลับตายแล้ว…”

จี้หยวนกล่าวอย่างกลัดกลุ้มอยู่บ้าง

“อีกเดี๋ยวแม่เล้ามาต้องถามหานางแน่”

“หา!? เช่นนั้นทำอย่างไรดี พวกเราฆ่าคนแล้ว แม่เล้าต้องแจ้งทางการแน่!”

หวังลี่ตื่นตัวขึ้นมากทันที กล่าวลนลานอยู่บ้าง แต่พลันตระหนักว่าที่นั้นยังมีเทพเซียนอยู่ เขาสบายใจไม่น้อยทันที

“พวกเราไม่ได้ฆ่าคน!”

จางหรุ่ยกล่าวตอบอย่างไม่สบอารมณ์ จากนั้นค่อยมองเทพวารีซึ่งยืนอย่างเคารพยำเกรงอยู่ข้างกายจี้หยวนมาตลอด ทั้งมองไปทางจี้หยวน

“ท่านจี้ เรื่องหงซิ่วควรทำอย่างไร หงซิ่วตัวจริงอยู่ที่ไหน”

จี้หยวนยิ้มตอบนางอย่างจนปัญญา

“นำร่างไร้วิญญาณส่งกลับที่เดิม หงซิ่วตัวจริง พวกเราต้องลองไปหาคุณชายตระกูลเซียวดู ส่วนคืนนี้แม่นางหงซิ่ว… แน่นอนว่าต้องไถ่ตัวแทนนาง แม่นางจางหรุ่ย ต้องลำบากเจ้าหน่อยแล้ว”

“หา? ไถ่ตัวแทนนาง? ลำบากข้า?”

จางหรุ่ยยังคิดว่าท่านจี้จะย้ายร่างไร้วิญญาณของนาง แต่ผลลัพธ์กลับพบว่าท่านจี้หยิบหนังผืนนั้นมาจากมือเทพวารี ในใจพลันรู้สึกว่าไม่เข้าที

หลังจากนั้นครึ่งเค่อ ภายในห้องโดยสารแทบกลับสู่สภาพเหมือนก่อนแม่เล้าจากไป หงซิ่ว จี้หยวน หวังลี่อยู่กันครบ ความต่างอยู่ที่มีเทพวารีตู้ก่วงทงเพิ่มมาคนหนึ่ง

รอยเปื้อนบางส่วนภายในห้องล้วนถูกวิชาเก็บกวาดไป กลับมาสะอาดหมดจดแล้ว

จางหรุ่ยไม่ชินกับสภาพตอนนี้อย่างยิ่ง ถอดเสื้อจากร่างไร้วิญญาณมาสวมยังไม่มีปัญหาอะไร แต่การให้นางปลอมตัวเป็นหญิงคณิกา…

พูดตามตรงว่าต่อให้นางตายมาหลายปีแล้ว ต่อให้นางเดินตามมรรคเทพเป็นเทพธิดา แต่สุดท้ายยังเป็นหญิงสาวซึ่งเติบโตมาจากสภาพสังคมนี้ ย่อมรู้สึกว่าสถานการณ์ตอนนี้ไม่เหมาะสมเป็นธรรมดา

แน่นอนว่าเรื่องพวกนี้ล้วนทนได้ สิ่งเดียวที่ยากจะรับคือแววตาของหวังลี่คนนี้ ทำให้จางหรุ่ยอยากจะฉีกทึ้งเจ้าหมอนี่ ทั้งอยากควักลูกตาเขาออกมา

แต่ตอนนี้หวังลี่ไม่ได้มองเพราะตัณหาจัดจริงๆ แน่นอนว่ามีสาเหตุจากรูปโฉมเล็กน้อย แต่สิ่งที่มากกว่าคือความสงสัย ด้วยเห็นจางหรุ่ยกลายเป็นคนเป็นอย่าง ‘หงซิ่ว’

‘ไม่มีอะไรเกินไปกว่าวิชาเทพเซียนแล้ว!’

นี่คือความคิดตอนนี้ของหวังลี่

“อืม… ตอนนี้มีแค่ปัญหาเดียวแล้ว”

“ปัญหาอะไรหรือ”

จางหรุ่ยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะจบเรื่องนี้โดยเร็ว ส่วนตู้ก่วงทงกับหวังลี่ก็มองจี้หยวนรอประโยคหลังของเขา

จี้หยวนยิ้มอย่างอักอ่วนอยู่บ้าง หยิบเศษทองและเศษเงินเล็กน้อยออกมาจากแขนเสื้อ

“ใช้เงินร้อยกว่าตำลึงมาสิบกว่าปี ข้าคนแซ่จี้เหลือทรัพย์แค่นี้แล้ว มีมูลค่าประมาณยี่สิบสามสิบตำลึงเงิน… เฮ้อ… พวกเจ้าว่าแม่นางหงซิ่วแห่งรัฐโยวซึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือ ถ้าไถ่ตัวต้องใช้เงินเท่าไหร่”

“เอ่อ… หนึ่งพันตำลึง?”

จางหรุ่ยไตร่ตรองพลางกล่าวประโยคหนึ่ง หวังลี่ส่ายศีรษะทันที

“แน่นอนว่าไม่พอ ปัดเศษยังไม่พอเลย!”

จี้หยวนคิดว่าภายในคนกลุ่มนี้ผู้มีความหวังมากที่สุดก็คือตู้ก่วงทง ในโทรทัศน์เมื่อชาติก่อนพวกเทพวารีราชันมังกรล้วนมีสมบัติมากที่สุด

“เทพวารีตู้ ไม่ทราบว่าท่านมีเงินเท่าไหร่”

จี้หยวนเอ่ยถามหน้าด้านๆ ตู้ก่วงทงเกาหัวเล็กน้อย

“ท่านจี้ ข้าน้อยไม่เคยมีของจำพวกเงินทองอะไร… ของนอกกายเช่นนี้มีประโยชน์อะไรกับข้าเล่า”

จบกัน ความหวังใหญ่ที่สุดไม่มีแล้ว…

ก๊อกๆๆ…

ชั่วพริบตายามแม่เล้าเคาะประตูจากด้านนอก จี้หยวนตัดการใช้วิชา ทำให้ภายในภายนอกเชื่อมต่อกัน

“ลูกค้า ฟ้าใกล้สว่างแล้ว จัดเตรียมห้องเรียบร้อยแล้ว มิสู้ไปพักผ่อนก่อนเถอะ”

แม่เล้าโบกพัดยิ้มระรื่นเดินเข้ามา

“ลูกจ๋า… คืนนี้ต้องให้ท่านจี้อยู่ต่อหรือไม่ ยังมีสองท่านนี้…”

‘หืม? สองท่าน!’

แม่เล้าขยี้ตาก่อนมองอีกครั้ง มีแค่หวังลี่กับจี้หยวนแล้ว เมื่อครู่เหมือนเห็นคนชุดดำอีกคน ดูท่าว่าคงอดนอนจนตาลาย

“อะแฮ่ม ยังมีคุณชายหวัง เสี่ยวหย่ารอท่านอยู่!”

สีหน้าจางหรุ่ยผิดธรรมชาติมาก ยิ้มรับอย่างแข็งทื่อนัก มือใต้โต๊ะกำหมัดแน่นแล้ว

“มะ ไม่ต้องหรอก ทะ ท่านแม่”

“หา?”

แม่เล้าอึ้งงันครู่หนึ่ง ทำไมวันนี้หงซิ่วถึงเริ่มไม่รู้ภาษาอีกแล้ว

“แม่เล้า ไม่ทราบว่าหากไถ่ตัวแม่นางหงซิ่วต้องใช้เงินเท่าไหร่”

จี้หยวนเอ่ยถามแล้ว เขาเองไม่ได้เตรียมการที่จะใช้เงินทองจริง ใช้วิชาบังตาเปลี่ยนเงินมาเกทับก็จบแล้ว