ตอนที่ 274 อุบายลับและเปิดเผย

เซียนหมากข้ามมิติ

ตอนที่ 274 อุบายลับและเปิดเผย

หลี่มู่ซูลุกขึ้นจากที่นั่ง ท่าทางประหม่าและกังวล กล่าวด้วยเสียงสั่นเครือเล็กน้อย

“องค์ชาย… หากท่านเดาผิดเล่า นั่น…”

เมื่อฟังคำพูดนี้ผู้นำตระกูลฉู่ ที่ปรึกษากับอีกคนด้านข้างล้วนขนลุกชัน แม้แต่จิ้นอ๋องก็เหงื่อซึมสันหลังขนหัวลุกเกรียว แต่ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันกำหมัดแน่น

“ข้ารู้! นี่คือการเดิมพันครั้งใหญ่ หวังว่าโชคจะเข้าข้างข้าหยางฮ่าว!”

โครม ครืน…

เสียงอสนีบาตดังขึ้น สาดส่องใบหน้าซีดเผือดของจิ้นอ๋อง

ซ่า…

เสียงฝนด้านนอกตกกระหน่ำ ฝนห่าใหญ่ที่รวมตัวจากฟ้าคำรามเมื่อคืนถึงตอนนี้ตกลงมาแล้ว ดอกไม้ใบหญ้าในสวนนิมิตมงคลล้วนถูกฝนกระหน่ำจนกิ่งก้านโค้งงอ

สุภาษิตว่าฝนใบไม้ร่วงหนาวนัก หลังจากฝนตกไม่นาน คนจังหวัดจิงจีรู้สึกว่าอุณหภูมิลดลงอย่างชัดเจน

ผู้รู้จักเจ้ามากที่สุดคือคู่ต่อสู้ของเจ้า ประโยคนี้นำมาใช้กับการชิงบัลลังก์ได้เช่นกัน อู๋อ๋องไม่เคยดูแคลนจิ้นอ๋องมาก่อน ต่อให้หลังจากร่างกายฮ่องเต้ชราทรุดลง จิ้นอ๋องทำตัวว่าง่ายและเงียบสงบนัก แต่อู๋อ๋องหวาดกลัวน้องสามของตนมาตลอด

จิ้นอ๋องให้ความสำคัญกับพี่ใหญ่ตนเช่นกัน ทั้งต่างจากอู๋อ๋องซึ่งวางแผนรอบด้านชักนำราชสำนัก ตั้งแต่ร่างกายฮ่องเต้ชราเริ่มทนไม่ไหว ส่วนใหญ่จิ้นอ๋องแทบเพ่งความสนใจทั้งหมดกับสิ่งรอบตัวพี่ใหญ่ตน ด้วยเขารู้ว่าชิงตัวขุนนางราชสำนักสู้พี่ชายตนไม่ได้แน่นอน

จิ้นอ๋องไม่เคลื่อนไหวขนานใหญ่มานานแล้ว หรือกล่าวว่าแทบไม่เคลื่อนไหว แต่ไม่ได้สื่อว่าจิ้นอ๋องยอมแพ้จริงๆ

โอกาสมักหยิบยื่นให้คนเตรียมตัว ต่อให้ไม่มีหลักฐานยืนยันปัญหาที่อู๋อ๋องเผชิญ แต่อาศัยการวิเคราะห์ในจวนจิ้นอ๋อง จิ้นอ๋องกลับสรุปสถานการณ์ของคู่ต่อสู้ได้อย่างเด็ดขาด

จิ้นอ๋องเพิ่งตัดสินใจก็ออกคำสั่งอย่างลับๆ ยอดฝีมือคล่องแคล่วบางส่วนอาศัยช่วงฝนตกหนักพรางตัวเคลื่อนพล

สิ่งสำคัญของขั้นตอนนี้ไม่ใช่แค่แสร้งวางแผนกระตุ้นให้ฝ่ายอู๋อ๋องลงมือ ยังต้องคิดหาวิธีวางตัวอยู่เหนือปัญหาด้วย พูดตามตรงคือต้องสร้างสถานการณ์ให้อู๋อ๋องกรุ่นโกรธลงมือฆ่าจริงๆ

หากเดิมทีอู๋อ๋องคิดลงมือทำเช่นนี้ย่อมดีที่สุด แต่หากอีกฝ่ายข่มอารมณ์ได้ จิ้นอ๋องคงต้องผลักดันบ้าง

ฟ้ามืดแล้ว ฝนยังตกกระหน่ำไม่หยุด ประตูจวนจิ้นอ๋อง จิ้นอ๋องหยางฮ่าวกับหลี่มู่ซูมีบ่าวกางร่มมาส่ง เดินมาถึงประตูแล้วขึ้นรถม้าพร้อมกัน

“ไป ไปพระราชวัง”

จิ้นอ๋องประคองหลี่มู่ซูขึ้นรถม้า ก่อนกล่าวกับผู้คุมรถเช่นนี้ รถม้าออกตัวเนิบช้าภายใต้การคุ้มครองของผู้คุ้มกัน

ผ่านไปหนึ่งเค่อกว่าภายในห้องทรงอักษรของราชวัง ฮ่องเต้หยวนเต๋อกำลังอ่านตำรารวมเล่มหนึ่ง เนื้อหายังคงกล่าวถึงเรื่องเทพเซียน

ถึงแม้ว่ากำลังอ่านเรื่องเทพเซียน แต่ในใจฮ่องเต้ชรากลับใคร่ครวญเรื่องราชสำนัก การเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ของอู๋อ๋องทำให้ฮ่องเต้หยวนเต๋อผิดหวังมาก เรื่องที่เดิมคิดประกาศราชโองการสืบทอดบัลลังก์หลังผ่านฉงหยางถูกเลื่อนไปชั่วคราว

เวลานี้ขันทีเฒ่าคนหนึ่งเดินมาใกล้ห้องทรงอักษรก่อนกล่าวเสียงเบา

“ฝ่าบาท จิ้นอ๋องเข้าวังมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”

“หืม? ดึกป่านนี้แล้ว เขามาทำอะไร”

“เอ่อ องค์ชายบอกว่ามาคารวะฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ”

ฮ่องเต้ชราขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนวางตำรา หลี่กงกงรีบเดินมาสองสามก้าว ประคองเขาลุกขึ้น นางกำนัลด้านข้างหนุนเบาะวางหลังเตียงฟูกทันที

“บอกว่าเข้ามาเถอะ”

“พ่ะย่ะค่ะ!”

ขันทีเฒ่าถอยจากไป ไม่นานก็พาจิ้นอ๋องหยางฮ่าวเข้ามาถึงห้องทรงอักษร

“ลูกมาคารวะเสด็จพ่อโดยเฉพาะ!”

เมื่อจิ้นอ๋องเข้ามาด้านใน เขาคุกเข่าคารวะอย่างนอบน้อม

“ลุกขึ้นเถอะ”

จิ้นอ๋องที่อยู่บนพื้นเงยหน้ายิ้มก่อนลุกขึ้นยืน

“วันนี้แปลกใหม่นัก ทำไมนึกครึ้มเข้าวังมาคารวะเล่า นั่งเถอะ”

ฮ่องเต้ชราหยอกล้อคราหนึ่ง หลังจากพวกองค์ชายออกจากวังสร้างจวน ส่วนใหญ่ไม่มีใครมาคารวะตอนกลางคืน แน่นอนว่าภายในนั้นมีเหตุเพราะตัวฮ่องเต้ชรานิสัยเสียและขี้รำคาญ

“ขอบพระทัยเสด็จพ่อ!”

จิ้นอ๋องลุกขึ้นยืน ด้านข้างมีขันทียกเก้าอี้มาตัวหนึ่ง เขานั่งลงทั้งอย่างนั้น

“เมื่อก่อนลูกกลัวเสด็จพ่อมากจึงไม่กล้ามา ตอนนี้คิดแล้วรู้สึกว่าควรมาคารวะบ่อยๆ”

จิ้นอ๋องกล่าวเสียงเบาเจือความทอดถอนใจเล็กน้อย

“หลี่มู่ซูเล่า เขาแทบเหมือนเงาตามตัวเจ้า ไม่มาด้วยกันหรือ”

“ปิดบังเสด็จพ่อไม่ได้จริงๆ อาจารย์ยังรออยู่บนรถม้า เขาบอกว่าเป็นแค่ราชครูไม่กล้ามาพบที่ห้องทรงอักษร”

“หึ…”

ฮ่องเต้ชรายิ้มเล็กน้อย หยิบผลไม้เชื่อมบนโต๊ะเตี้ยหน้าเตียงฟูกมาชิ้นหนึ่ง จากนั้นค่อยโบกมือไปทางจิ้นอ๋องเล็กน้อย นางกำนัลด้านข้างยกจานเดินมาตรงหน้าจิ้นอ๋องทันที

จิ้นอ๋องไม่เกรงใจเช่นกัน หยิบผลไม้เชื่อมหลายชิ้นยัดเข้าปาก อีกส่วนกลับถือไว้ในมือ

“ทำไม จวนจิ้นอ๋องไม่มีของกินหรือ”

ฮ่องเต้ชรากล่าวหยอกล้ออย่างขบขันอยู่บ้าง

“เสด็จพ่อล้อเล่นแล้ว นี่คือของจากห้องทรงอักษร ทั้งเป็นสิ่งที่เสด็จพ่อมอบให้ ย่อมแตกต่างกัน ลูกแค่ถือโอกาสนำไปให้อาจารย์ลองชิม”

ฮ่องเต้ชรามองจิ้นอ๋องตั้งแต่หัวจรดเท้า

“เจ้าบอกว่าควรมาคารวะบ่อยๆ คงไม่คิดว่าข้าเหลือเวลาไม่มาก กลัวว่าภายหน้าไม่มีโอกาสอีกกระมัง”

เวลาแบบนี้ขุนนางทั่วไปคงตกใจจนหน้าเปลี่ยนสียกใหญ่รีบแก้ต่างแล้ว แต่จิ้นอ๋องกลับไม่ตอบทันที เงียบไปครู่หนึ่งค่อยเอ่ยปาก การแสดงออกทางสีหน้าเจือความเศร้าสร้อยเสี้ยวหนึ่ง

“ถือว่าเสด็จพ่อกล่าวตรงใจลูกนัก ผู้คนต่างบอกว่าเชื้อพระวงศ์ยากมีความสัมพันธ์ในครอบครัว แต่ลูกยังจำได้ว่ามี ตอนเด็กเสด็จพ่อยังเคยอุ้มลูกพลางพูดว่าบินอยู่เลย…”

พ่อแม่ย่อมรักลูกเป็นธรรมดา ในฐานะคนแก่ใกล้ตาย ฮ่องเต้หยวนเต๋อฟังคำพูดเปี่ยมความรู้สึกของจิ้นอ๋องตอนนี้แล้ว ในใจมีหรือจะไม่ตื้นตัน เขาไม่ตัดบทจิ้นอ๋องกล่าวรำลึกความทรงจำอย่างหายากยิ่ง

“เมื่อเติบใหญ่ความกลัวกลับมากขึ้น ลูกไม่ได้คุยกับเสด็จพ่อมานานแล้ว…”

คำพูดของจิ้นอ๋องตัดจบถึงตอนเขาออกจากวังสร้างจวน

ฮ่องเต้ชราไม่เอ่ยปากมาตลอด ถึงตอนนี้เขามองบุตรชายอีกครั้ง ทอดถอนใจเหลือคณา ถือโอกาสตบเตียงฟูกข้างตัว

“มานั่งสิ”

จิ้นอ๋องอ้าปากเล็กน้อย ลุกขึ้นครึ่งหนึ่งแต่กลับไม่ขยับ

“ทำไม กลัวหรือ ตอนเด็กเจ้านั่งออกบ่อยไม่ใช่หรือ!”

ฮ่องเต้ชรากล่าวเช่นนี้แล้ว จิ้นอ๋องไม่ลังเลอีก เก็บผลไม้เชื่อมในมือ ลุกขึ้นเดินเนิบช้ามานั่งตรงเตียงฟูก สัมผัสอ่อนนุ่มตรงก้นยังเหมือนความทรงจำ ทั้งนึกถึงความวาดหวัง

เขาไม่ได้พูดนอกเรื่องกับบิดามากนัก แค่คุยเรื่องครอบครัวเท่านั้น พูดเรื่องตอนเด็กสมัยก่อน ระหว่างนั้นฮ่องเต้ชราถึงขั้นเรียกเริ่นกุ้ยเฟยมาด้วย

เวลาผ่านไปนานโดยไม่รู้ตัว ตั้งแต่ต้นจนจบไม่พูดเรื่องการชิงบัลลังก์ใดๆ ถึงขั้นไม่พูดถึงเรื่องงานราชสำนักแม้แต่น้อย

“เสด็จพ่อ เวลาล่วงเลยมามากแล้ว ทรงพักผ่อนเร็วหน่อยเถอะ พรุ่งนี้ลูกค่อยมาคารวะ!”

จิ้นอ๋องลุกขึ้นบอกลา

“ฮ่าวเอ๋อร์… ทุกวันเจ้ามาคุยนานขนาดนี้ เสด็จพ่อของเจ้าคงเหนื่อยมาก!”

เริ่นกุ้ยเฟยขมวดคิ้วตำหนิบุตรชายประโยคหนึ่ง

“หึๆ ไม่เป็นไร เขาอยากมาก็มาเถอะ!”

จิ้นอ๋องยิ้มพลางประสานมือคารวะเสด็จแม่กับเสด็จพ่อของตน

“เสด็จแม่โปรดวางใจ ลูกแค่มาคารวะ อาศัยช่วงยังมีโอกาส…”

“ฮ่าวเอ๋อร์! เจ้าพูดอะไร!?”

เริ่นกุ้ยเฟยหน้าเปลี่ยนสี ตวาดด่าคราหนึ่ง จากนั้นค่อยขออภัยฮ่องเต้ทันที

“ฝ่าบาท ฮ่าวเอ๋อร์ไม่ตั้งใจ เขา…”

“เอาเถอะๆ ไม่เป็นไร”

ฮ่องเต้ชราโบกมือเล็กน้อย ค่ำวันนี้เขาอารมณ์ไม่เลวนัก เดิมนี่ก็เป็นเรื่องจริง เขาไม่ใส่ใจขนาดนั้นแล้ว

คราวนี้เริ่นกุ้ยเฟยจึงเป่าปากโล่งอก มองบุตรชายของตนพลางขมวดคิ้วกล่าว

“ฮ่าวเอ๋อร์ ยังไม่ขอบพระทัยเสด็จพ่ออีก?”

จิ้นอ๋องเหมือนเพิ่งกระจ่างตอบสนองกลับมา ประสานมือกล่าวขอบคุณอีกครั้ง

“ขอบพระทัยเสด็จพ่อที่ไม่คาดโทษลูก ความจริงสิ่งที่ลูกกล่าวเมื่อครู่…”

จิ้นอ๋องมองเริ่นกุ้ยเฟย ถอนใจแผ่วไม่กล่าวต่อ ค้อมตัวคารวะอีกครั้ง

“ลูกขอตัวลา!”

รอเมื่อจิ้นอ๋องจากไป สีหน้าของเริ่นกุ้ยเฟยกลับเป็นห่วง ท่าทางหดหู่เจือร้าวระทมเสี้ยวหนึ่งของบุตรชายก่อนจากไป ทำให้ใจนางไม่เป็นสุข

“ฝ่าบาท ฮ่าวเอ๋อร์เขา…”

ฮ่องเต้ชราถอนใจเนิบช้า ตบหลังสนมโปรดของตน

“ไม่เป็นไร ข้าไม่ปล่อยให้เขาเกิดเรื่องแน่…”

ตอนนี้ฮ่องเต้ชราเข้าใจบ้างแล้ว จิ้นอ๋องเฉลียวฉลาดมาตลอด ถึงแม้ไม่ลงรอยกับอู๋อ๋อง แต่ช่วงนี้กลับเงียบสงบเรื่อยมา คงรู้ตัวว่าตนไม่มีความหวังแล้ว

แต่น้องชายซึ่งมีความสามารถเช่นนี้ รอเมื่ออู๋อ๋องครองบัลลังก์จะปล่อยเขาไปหรือไม่

กลางดึกมีข่าวพิเศษบางส่วนส่งมาถึงจวนอู๋อ๋อง ทำให้อู๋อ๋องซึ่งเดิมดึกดื่นนอนไม่หลับสวมเสื้อเดินมายังโถงหน้า

“น้องสามเข้าวังกลางดึกหรือ”

ชายสวมชุดรัตติกาลสีฟ้าเข้มคนหนึ่งประสานมือตอบ

“กราบทูลองค์ชาย เป็นเช่นนั้นจริงๆ รถม้าออกเดินทางตอนยามซวีใกล้ยามจื่อค่อยกลับมา!”

อู๋อ๋องขมวดคิ้วมุ่นจนเกิดรอย

“ภายในวังมีข่าวควรค่าแก่การกล่าวถึงหรือไม่”

ต่อให้กลางวันสอบถามเหล่าขุนนางมาแล้ว แต่อู๋อ๋องกลับถามเช่นนี้ตามจิตใต้สำนึก

“เรื่องนี้… พวกเขาทำตามองค์ชายสั่งการ คนข้างกายฝ่าบาทล้วนไม่ส่งข่าวมาอีก…”

อู๋อ๋องพลันตบมือ ร้อนรนจนเดินไปมาอยู่ในโถง

“เช่นนั้นก็ช่างเถอะ!”

“พ่ะย่ะค่ะ!”

ผู้มาเยือนรับคำสั่งก่อนถอยจากไป อู๋อ๋องนั่งอยู่กลางโถงเนิ่นนานไม่กลับห้องพักผ่อน

วันที่สอง วันที่สาม… จิ้นอ๋องเข้าวังติดต่อกันหลายวัน จากนั้นวันหนึ่งรถม้ามาถึงนอกเรือนพักจังหวัดจิงจีอย่างเปิดเผย

อิ๋นจ้าวเซียนคิดไม่ถึงว่าจิ้นอ๋องจะกล้ามาหาตนด้วยตัวเอง แต่องค์ชายมาเยือนย่อมต้องต้อนรับ เขาแค่เชิญจิ้นอ๋องเข้าเรือนพัก แต่กลับเปิดประตูหลัก ทั้งเชิญผู้ดูแลเรือนพักมาชงชา

สองเรื่องนี้ล้วนปิดบังฮ่องเต้ชรากับอู๋อ๋องไม่ได้ แต่การตอบสนองของสองฝ่ายต่างกันออกไป

วันนั้นเมื่อฮ่องเต้ชราทราบเรื่อง เขารู้ว่าอนาคตจิ้นอ๋องหวังว่าอิ๋นจ้าวเซียนจะปกป้องขุนนางส่วนน้อยของจิ้นอ๋องไว้ โดยเฉพาะการปกป้องราชครูหลี่มู่ซู

แน่นอนว่าฮ่องเต้ชราไม่มีทางเชื่อเรื่องนี้ แต่ไม่อาจบอกว่าเรื่องนี้เป็นไปไม่ได้ เขาทอดถอนใจอย่างเลี่ยงไม่ได้อยู่บ้าง สำหรับโอรสคนนี้ของตนถือว่า ‘รู้ตัวว่าใกล้ถึงทางตัน’ ทุกด้านจริงๆ

แต่เมื่อจิ้นอ๋องเจออิ๋นจ้าวเซียน อู๋อ๋องกลับทนไม่ไหว ส่งสารลับเรียกคนสนิททั้งหมดของตนมาหารือที่จวนอู๋อ๋องอีกครั้ง

การกระทำของจิ้นอ๋องทำให้อู๋อ๋องร้อนรนนัก ติดต่อสายในวังอย่างอดไม่ได้อีกครั้ง เมื่อรู้ว่าเริ่นกุ้ยเฟยคอยอยู่เป็นเพื่อนในห้องทรงอักษรหลายครั้ง เหล่าขุนนางที่จวนอู๋อ๋องพากันหวาดกลัวไม่เป็นสุข

ไม่มีใครรู้ว่าความสามารถของจิ้นอ๋องดีกว่าพวกเขา ขุนนางบู๊บางส่วนถึงขั้นมาขอพบอู๋อ๋องด้วยตัวเองหลายครั้ง

วันที่สิบเจ็ดเดือนเก้าตอนเช้าตรู่ ตรงจุดลับตาคนนอกประตูเมืองจังหวัดจิงจี ราชครูหลี่มู่ซูกับครอบครัวของเขาเตรียมตัวขึ้นรถม้ามากมาย ครอบครัวต่างแยกกันมาถึงที่นี่เงียบๆ โดยรอบคือยอดฝีมือคนสนิทบางส่วนของจิ้นอ๋อง

หลี่มู่ซูผู้แก่ชราประสานมือไปทางจิ้นอ๋อง สีหน้าอาดูรและอาวรณ์

“องค์ชาย ข้าอยู่ต่อดีกว่ากระมัง!”

จิ้นอ๋องส่ายหัวเล็กน้อย

“อาจารย์ ท่านกลับรัฐเยี่ยนเถอะ ต่อให้อนาคตพี่ใหญ่สืบทอดบัลลังก์จริง ท่านอายุมากและอยู่ไกลถึงรัฐเยี่ยน ทั้งมีอิ๋นจ้าวเซียนอยู่ แน่นอนว่าต้องปลอดภัย”

“เช่นนั้นองค์ชายเล่า”

“ข้า? แน่นอนว่าต้องรอผลแพ้ชนะ ข้ายังมีสถานที่หลบภัยด้วยหรือ”

จิ้นอ๋องยิ้มเล็กน้อย ประสานมือไปทางหลี่มู่ซู

“อาจารย์รักษาตัวด้วย!”

แววตาหลี่มู่ซูขุ่นมัว ประสานมืออย่างสั่นเทา

“องค์ชายรักษาตัวด้วย!”

จิ้นอ๋องก้าวมาข้างหน้าประคองหลี่มู่ซูขึ้นรถด้วยตัวเอง ทั้งมองส่งขบวนรถม้าจากไปช้าๆ จากนั้นค่อยหันหลังจากไป กลับเข้าเมืองอย่างเงียบเชียบเหมือนตอนมา

————————————————————————————