ตอนที่ 312 ก้าวขึ้นไปอีกขั้น

เซียนหมากข้ามมิติ

ตอนที่ 312 ก้าวขึ้นไปอีกขั้น

เมื่อขบวนรถของภูตเผ่าวารีจากไปไกลแล้ว เทพหลักเมืองเชวี่ยหลิวที่ยืนอยู่ด้านข้างค่อยประสานมือบอกลาซินอู๋หยา

“เจ้าเมืองซิน ข้าคนแซ่หวังขอตัวก่อน”

กระทั่งเทพหลักเมืองเอ่ยปากกล่าว ซินอู๋หยาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่ายังมีเทพผีอยู่ด้านข้าง หันหน้ามองเขาพลางคารวะตอบ ก่อนเอ่ยถามอย่างสงสัยอยู่บ้าง

“เทพหลักเมืองหวังรอท่านจี้อยู่ที่นี่ด้วยไม่ใช่หรือ เขาจากไปแล้ว”

เทพหลักเมืองรับการคารวะพลางยิ้มกล่าว

“เดิมมาเจอท่านจี้ด้วยอยากยืนยันเรื่องบางอย่างจริงๆ ตอนนี้ไม่มีธุระแล้ว เทพผีไม่ควรออกจากอาณาเขตนานเกินไป เจ้าเมืองซิน พวกเราแยกกันตรงนี้เถอะ”

จุดประสงค์ที่เทพหลักเมืองรออยู่ที่นี่ด้วยอยากรู้อภินิหารของผู้ฝึกเซียนลึกลับคนนี้ ทั้งเกี่ยวข้องกับเมืองไร้ขอบเขตด้วย ถ้าพูดว่าเป็นห่วงเมืองไร้ขอบเขต กำจัดซินอู๋หยาแล้วคงถึงคราวเทพผีอย่างพวกเขา ตอนนี้รู้ผลซึ่งดีกว่าการคาดเดาไม่น้อย แน่นอนว่าไม่ต้องทำเรื่องเกินความจำเป็นมากนัก

เมื่อกล่าวประโยคนี้จบ เทพหลักเมืองซึ่งมาคนเดียวหันหลังกลับ กลายเป็นแสงเคลื่อนไหวสายหนึ่งลอยจากไป

ครานี้ถือว่าไม่มีคนนอกแล้ว ซินอู๋หยามองขุนพลผีสองตนกับผีทหารบางส่วนที่พามาโดยรอบ เมื่อครู่เหล่าคนใต้อาณัติของตนตื่นตระหนกไม่น้อย เมื่อเวทอสนีประชิดตัวขุนพลผีกับผีทหารต่างฝืนไม่หันหลังวิ่งหนี แต่อย่างน้อยก็ทำได้ดีกว่าภูตเผ่าวารีพวกนั้นมาก

“ในงานเลี้ยงก่อนหน้านี้ พวกที่บอกว่าอยากจัดงานเลี้ยงคนเป็นคือใคร จำได้หมดกระมัง”

เมื่อซินอู๋หยาเอ่ยปาก ขุนพลผีตนหนึ่งที่อยู่ด้านข้างกล่าวตอบ

“จำได้บางส่วนขอรับ ที่เหลือต่อให้จำไม่ได้ก็พอเดาออก”

ภูตผีซึ่งเข้าร่วมงานเลี้ยงได้มักมีตำแหน่งภายในเมืองผีอยู่บ้าง ด้วยอยู่ร่วมเมืองเดียวกัน ส่วนใหญ่จึงรู้ตื้นลึกหนาบาง พวกไหนวางแผนอยากกินคน พวกไหนกระโดดออกมาในสถานการณ์เช่นนี้ ความจริงถือว่าคาดเดาไม่ยาก

“จำได้ก็ดี อีกเดี๋ยวเมื่อกลับไป… ยอมฆ่าผิดดีกว่าปล่อยไป!”

ซินอู๋หยาหรี่ตาหันกลับไปมองเมืองผีไร้ขอบเขต บอกเจตนาของจี้หยวนกับบริวารพวกนี้ด้วยเสียงแผ่วเบาโดยคร่าว เพียงแต่คำพูดเดิมของจี้หยวนที่บอกว่าไม่มีประโยชน์ก็กำจัด ซินอู๋หยากลับเปลี่ยนเป็นต้องฆ่าทิ้งทั้งหมด

ขณะกล่าวขุนพลผีกับผีทหารที่อยู่ด้านข้างบ้างขมวดคิ้วบ้างพยักหน้า รอเมื่อกล่าวผลลัพธ์ที่ต้องการโดยคราวเสร็จ เขาพลันยิ้มเล็กน้อย

“ปราณหยินของผีบำเพ็ญนานปีมากขนาดนี้ซ่านสลายถือเป็นเรื่องดี ฉวยโอกาสนี้ทำให้ปราณหยินเมืองไร้ขอบเขตก้าวขึ้นไปอีกขั้น ทั้งเมื่อครู่ฉัตรเวทอสนีแผ่แสงทองเปล่งประกาย คาดว่าผีทุกตนในเมืองคงเห็นแล้ว ถือว่ามีข้ออ้างลงมือ”

ภายในเมืองผีไร้ขอบเขต หลังจากซินอู๋หยากลับไป เขาเห็นภูตผีมากมายในเมืองเผยสีหน้าตื่นตระหนกและนึกกลัว ตั้งแต่อยู่เมืองไร้ขอบเขตมาภูตผีหลายตนไม่เคยเห็นสายฟ้าฟาดเหนือศีรษะ แต่เมื่อครู่ทั่วท้องฟ้ากลายเป็นเมฆอสนีสีทอง ทำให้รู้สึกหวาดกลัวเหมือนวันสิ้นโลกมาเยือน

ยังดีว่าความหวาดกลัวนั้นมาเร็วไปเร็ว ไม่นานก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

ด้วยไม่นานจวนผีขุมนรกแพร่ข่าวออกมา บอกว่ามีผู้สูงส่งซึ่งผูกมิตรกับเจ้าเมืองมาร่วมยินดีที่ควบรวมกายหยินได้ ช่วยเมืองผีไร้ขอบเขตหลอมฉัตรปราณหยิน ไม่นานปราณหยินของเมืองไร้ขอบเขตจะก้าวขึ้นไปอีกขั้น

หลังจากซินอู๋หยากลับมาเมืองผีไร้ขอบเขตก็ปิดด่านทั้งหมดพร้อมเปิดผนึก เท่ากับจับตะพาบในไห

ซินอู๋หยาไม่ห่วงว่าจะแพ้แม้แต่น้อย ความจริงคือไม่ห่วงว่าเรื่องราวจะถูกเปิดเผยเช่นกัน สุดท้ายเมืองไร้ขอบเขตก็มีเขาซินอู๋หยาเป็นใหญ่

ยามเหม่า หลังจากงานเลี้ยงสิ้นสุด ภายในหอแห่งหนึ่งตรงส่วนลึกของจวนผีขุมนรก

เจ้าเมืองซินอู๋หยากำลังนั่งจดจ่อพักผ่อนอยู่บนเบาะรอง หลังจากกลับเข้าเมืองเขาส่งตัวบริวารผู้แข็งแกร่งมากมาย มอบหมายพวกขุนพลผีมรรควิถีล้ำลึกนำเหล่าผีทหารไปปลิดชีพผีร้ายพวกนั้น

ตอนนี้ซินอู๋หยารู้สึกถึงการยกระดับของปราณหยินในเมืองอย่างชัดเจน น่าจะสังหารผีดุวิญญาณร้ายติดต่อกันไม่น้อย

ยามนี้ขุนพลผีตนหนึ่งเดินมาถึงทางเข้าหอ ประสานหมัดรายงานคนข้างใน

“เรียนเจ้าเมือง เมื่อรวมผู้ต้องสงสัยแล้ว พวกเราสังหารผีร้ายสองร้อยกว่าตน ทูตบริวารถูกจับกุม เขาอ้อนวอนขอพบท่านเจ้าเมืองขอรับ”

ซินอู๋หยาลืมตามองขุนพลผีด้านนอก

“เขาพูดว่าอะไรบ้าง”

“เขาบอกว่าตนจงรักภักดีต่อเจ้าเมืองมาตลอด จับคนธรรมดาพวกนั้นมาเพื่อมอบให้เจ้าเมือง ถ้ากล่าวโดยละเอียดจริงถือว่าเขาช่วยคนพวกนั้นมา ไม่อย่างนั้นคงถูกภูตผีในหอโผผินกินแล้ว”

ใบหน้าซีดเผือดของซินอู๋หยาเผยรอยยิ้มเสี้ยวหนึ่ง

“ไม่มีคำพูดอื่นอีกหรือ”

ขุนพลผีครุ่นคิดครู่หนึ่งก่อนกล่าวยืนยัน

“ไม่มีขอรับ”

“อืม ริบเชือกดึงวิญญาณของเขามา จากนั้นค่อยฆ่าทิ้ง”

“ขอรับ!”

ขุนพลผีรับคำสั่งแล้วมองเจ้าเมืองพลางกล่าวอย่างลังเล

“ท่านเจ้าเมืองไม่เจอเขาหน่อยหรือ ข้าน้อยเห็นว่าเขาภักดีกับเจ้าเมืองจริงๆ”

“เขาอยากเจอข้าเพื่อขอชีวิตเท่านั้น เจอหรือไม่ล้วนต้องตาย ดังนั้นปล่อยให้ตายเช่นนี้เถอะ จริงสิ หอโผผินคือที่ใดกัน”

ขุนพลผีคิดดูครู่หนึ่งค่อยกล่าวตอบ

“เหมือนว่าจะเป็นหอสุรามีชื่อกลางเมืองขอรับ”

“อืม กำจัดผีซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องในหอสุรานั่นด้วย ถือว่าทำแทนเซี่ยงฉง ออกไปเถอะ”

“ข้าน้อยรับคำสั่ง!”

ขุนพลผีคารวะอีกครั้ง เดินถอยสองสามก้าวก่อนหันหลังจากไป

ภายในคุกมืดแห่งหนึ่งของจวนผี ทูตบริวารมองประตูข้างนอกถูกเปิดออกด้วยสีหน้าเฝ้ารอ ทั้งเห็นขุนพลผีเดินเข้ามาภายใต้การนำทางของผีทหาร จับประตูคุกเหล็กหยินดำสนิทถามหาผลลัพธ์อย่างตื่นเต้นโดยไม่รู้ตัว

“แม่ทัพอู๋! แม่ทัพอู๋เจอเจ้าเมืองแล้วหรือ เจ้าเมืองรับปากว่าจะเจอข้าหรือไม่ นี่ต้องเป็นเรื่องเข้าใจผิดแน่ ข้าคนแซ่เซี่ยงจะอธิบายพร้อมรับโทษจากเจ้าเมืองด้วยตัวเอง…”

“เซี่ยงฉง เจ้าเมืองรับปากว่าจะเจอเจ้าแล้ว! เปิดประตูให้เขา”

“ขอรับ!”

ผีทหารหยิบกุญแจอบอวลปราณชั่วร้ายออกมาเปิดกลอนประตูคุก

“ดียิ่งนักๆ!”

ทูตบริวารเดินออกมาจากด้านในอย่างยินดี สีหน้าเปี่ยมด้วยความซาบซึ้ง คิดค้อมตัวคารวะกล่าวขอบคุณขุนพลผีซึ่งไม่แสดงความรู้สึกใดมาตลอด

“ขอบคุณแม่ทัพที่ช่วยรายงาน ขอบคุณ…”

ชั่วพริบตายามทูตบริวารคารวะเสร็จแล้วเงยหน้าขึ้นมา

ชิ้ง…

เสียงอาวุธออกจากฝักมาพร้อมกับแสงดาบ แค่เสี้ยวเงาวาบผ่าน เสียงขอบคุณจากปากทูตบริวารพลันหยุดชะงัก ศีรษะแยกจากร่างผี จากนั้นค่อยกลายเป็นหมอกหนาแน่น แผ่ลอยออกไปนอกคุก

ขบวนรถของเกาเทียนหมิงห่างจากเมืองผีไร้ขอบเขตมาไกลแล้ว

หลังจากฟ้าสางเหล่าภูตเผ่าวารีในขบวนรถเริ่มเผยร่างเดิมส่วนหนึ่ง บนหน้าบ่าวบางตนปรากฏเกล็ดปลามากมาย บ้างเผยนอเขารวมถึงเครายาวมากมาย

เดิมภูตเหล่านี้ไม่ใช่พวกมรรควิถีล้ำลึกอะไร ยิ่งไม่มีทางเหมือนปีศาจแปลงกาย แค่อาศัยวิชามายาบางอย่างเท่านั้น แต่แสงอาทิตย์มักข่มวิชามายาของสิ่งชั่วร้ายบางส่วน ผีร้ายส่วนใหญ่จึงแปลงกายล่อลวงคนได้แค่ตอนกลางคืน

วันก่อนตอนกลางวันยามเห็นขบวนรถยังอยู่กลางเมืองผี ด้วยอยู่แดนหยินจึงไม่ชัดเจน ตอนนี้รับแสงแดดจากข้างนอก ส่วนใหญ่ของภูตเหล่านี้จึงเผยร่างเดิม

เมื่อรถของสี่คนที่ถูกช่วยมาโดนแดดสาดส่อง พวกเขาตื่นขึ้นมาอย่างเป็นธรรมชาติ เห็นรูปลักษณ์ของบ่าวโดยรอบแล้วไม่กล้าอยู่บนรถอีก หากแต่ลงมาเดินกับเยี่ยนเฟย

ตั้งแต่ต้นจนจบภายในขบวนอบอวลด้วยหมอกน้ำพิเศษ แม้ว่าเดินอยู่ในนั้นแล้วไม่รู้สึก แต่ความจริงความเร็วการเดินไวกว่าการเดินทั่วไปมาก จากคำพูดของเกาเทียนหมิงคือ ‘วิชาล่องคลื่น’

พอเกือบเที่ยงวัน ขบวนมาถึงริมแม่น้ำสายหนึ่ง นี่ก็คือสถานที่ซึ่งขบวนทะเลสาบวารีนภาต้องลงน้ำ ถึงตอนนั้นค่อยว่ายน้ำไปข้างหน้า ตามกระแสจนถึงทะเลสาบวารีนภา

พาหนะกับเหล่าภูตทนไม่ไหวจนลงน้ำก่อน ส่วนคู่สามีภรรยาเกาเทียนหมิงยังยืนอยู่ริมฝั่ง

“ท่านจี้ ถ้าท่านว่างเชิญไปพักที่จวนบาดาลทะเลสาบวารีนภาของข้า แม้ว่าข้าคนแซ่เกาไม่มีสุราเทพอย่างอำพันมังกร แต่ยังมีสุราชั้นดีอยู่บ้าง!”

คู่สามีภรรยาเกาเทียนหมิงยืนขึงขังประสานมือบอกลาจี้หยวนอยู่ริมน้ำ

“ใช่แล้ว ท่านจี้ ขอแค่ท่านมา ซย่าชิวจะเข้าครัวด้วยตัวเอง ทำอาหารจานเด็ดให้ท่านสักโต๊ะ”

ในสมองจี้หยวนนึกถึงวิธีการทำอาหารในน้ำว่าเป็นอย่างไร ตัวเขาประสานมือบอกลาเช่นกัน

“ถ้ามีเวลาว่างย่อมไปเยี่ยมเยือนแน่นอน”

เมื่อได้ยินคำพูดของจี้หยวน ซย่าชิวเผยสีหน้ายินดีก่อน จากนั้นค่อยกล่าวอย่างเบิกบาน

“ข้าน้อยคิดเป็นจริงเป็นจัง ท่านอย่าผิดคำพูดนะ!”

“เฮ้อ เจ้าพูดอะไร ท่านจี้เป็นผู้สูงส่งมรรคอัศจรรย์ ผิดคำพูดได้อย่างไรเล่า!”

สองสามีภรรยาเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ใบหน้ายิ้มแย้ม ทั้งรู้จักวางมือ ประสานมือบอกลาพวกหนิวป้าเทียนกับเยี่ยนเฟย

“พี่หนิว น้องเยี่ยน ยังมีทั้งสี่ท่าน มีวาสนาค่อยพบกันใหม่ ข้าคนแซ่เกากับฮูหยินจะลงน้ำแล้ว พวกเราจากกันตรงนี้!”

“พี่เกาเดินทางปลอดภัย!” “วันหน้าค่อยพบกันอีก!”

หนิวป้าเทียนกับเยี่ยนเฟยต่างคารวะตอบ สี่คนนั้นคารวะโดยไม่ละเลย แต่ปากกลับไม่กล้าพูดอะไร ทั้งรู้ดีว่าเขาไม่สนใจพวกตนสักนิด

หลังจากบอกลาทุกคนเสร็จ คู่สามีภรรยาเกาเทียนหมิงค่อยเดินลงน้ำทีละก้าว ไม่แยกแม่น้ำหรือเผยวังวนอะไร หากแต่ปล่อยให้สายน้ำท่วมเท้าจนถึงเหนือศีรษะ สุดท้ายเหลือแค่ระลอกคลื่นบนผิวน้ำเล็กน้อย

หลังจากตกใจติดต่อกันหลายครั้ง ตอนนี้ทั้งสี่คนซึ่งชินชาอยู่บ้างเป่าปากโล่งอกเฮือกใหญ่ เคออวิ้นตงยิ่งกล่าวอย่างทอดถอนใจประโยคหนึ่ง

“คิดไม่ถึงว่าจะเห็นภาพอัศจรรย์เช่นนี้ตอนยังมีชีวิต…”

โจวซิ่งมองจี้หยวนอย่างยำเกรง จากนั้นค่อยมองหนิวป้าเทียนกับเยี่ยนเฟย ขยับเข้าใกล้ก้าวหนึ่งก่อนถามเสียงเบา

“จอมยุทธ์เยี่ยน จอมยุทธ์หนิว คราวนี้ไม่มีปีศาจกับผีแล้วกระมัง”

เยี่ยนเฟยยังไม่เอ่ยวาจา หนิวป้าเทียนกลับยิ้มระรื่นเอ่ยปาก

“ใช่ๆๆ ครานี้ไม่มีปีศาจแล้ว ผียิ่งไม่มีทาง สบายใจได้ เฮ้อ พูดตามตรงว่าเดินร่วมกับขบวนปีศาจ แรงกดดันในใจมากจริงๆ”

“นั่นน่ะสิ ต้องขอบคุณท่านเซียนกับจอมยุทธ์ทั้งสองที่ช่วยเหลือ ไม่อย่างนั้นพวกเราอยู่ในเมืองผีคงตายสถานเดียว”

เคออวิ้นตงที่อยู่ด้านข้างพูดเสริมแล้วไม่ลืมกล่าวขอบคุณ

“เฮ้อ กล่าวตามมารยาทรอบเดียวก็พอ เจ้าพูดสิบรอบกลับทำให้คนรำคาญ ผู้สูงส่งอย่างท่านจี้เองไม่นิยมเรื่องพวกนี้ ไปๆๆ พวกเรารีบไปเมืองลู่ผิงกัน”

ตระกูลเว่ยแห่งเขตจงหูอยู่นอกเมืองลู่ผิง มีคฤหาสน์ครอบครองพื้นที่กว้างใหญ่แห่งหนึ่ง ปัจจุบันไม่ถือว่ามีชื่อเสียงบนยุทธภพจู่เยวี่ยเท่าไหร่นัก แต่พูดได้ว่ามีชื่อรอบเมืองลู่ผิงอยู่บ้าง สามพี่น้องตระกูลเคอกับโจวซิ่งล้วนเป็นคนเมืองลู่ผิง

เมื่อรู้ว่าได้ร่วมทางกับท่านเซียนและสองจอมยุทธ์ที่ช่วยชีวิต พวกเขาสี่คนยินดีอย่างยิ่ง

เจ้าวัวโอบคอเคออวิ้นตงกับโจวซิ่งแล้วรีบเดินไปข้างหน้า พลางเอ่ยถามทั้งสองคนด้วยเสียงแผ่วเบา

“ถามข้อมูลจากพวกเจ้าหน่อย เมืองลู่ผิงใหญ่มากกระมัง ที่นั่นมีสถานที่เลื่องชื่อหรือไม่ หึๆๆๆ… พวกหอนางโลมน่ะ”

เจ้าวัวที่ดูเหมือนชาวนาธรรมดา ทำหน้าซื่อถามปัญหาไม่ธรรมดาเช่นนี้ เคออวิ้นตงกับโจวซิ่งต่างมึนงงอยู่บ้าง