ตอนที่ 320 ท่องเหินไร้ขอบเขต
หากพูดถึงความอารมณ์เสีย เจ้าวัวคิดว่าเขาคือผู้อัดอั้นที่สุดในที่นี้ เขามองนายบ่าวทั้งตระกูลเว่ย ดวงตาลุกเป็นไฟ นัยน์ตาคั่งโลหิต จ้องมองอย่างน่ากลัวยิ่ง
หากไม่ใช่ว่าท่านจี้เพิ่งควบคุมเมฆจากไป ถ้าเปลี่ยนเป็นหนิวป้าเทียนอย่างเมื่อก่อน ต่อให้พอเข้าใจตระกูลเว่ยอย่างไร เวลานี้คงบันดาลโทสะเปิดฉากเข่นฆ่า การกระทำของเขาคนแซ่หนิวย่อมเข้าใจได้เช่นกัน!
แต่หลังจากผ่านไปไม่กี่ลมหายใจ เขาฝืนข่มเพลิงโทสะ อย่างน้อยร่วมทางกับจี้หยวนมาไม่เสียเปล่า สิ่งสำคัญคือกลัวจี้หยวนมาก แต่ปากยังก่นด่าเสียงต่ำอย่างอดไม่ได้
“แม่งซวยจริง! เซียนนำทางของข้าคนแซ่หนิว… ฮึ่ม! หมดกัน…”
เยี่ยนเฟยหมดอาลัยตายอยากอยู่บ้าง แต่ดีกว่าหนิวป้าเทียนหน่อย ด้วยเขาคิดว่าท่านจี้ถ่ายทอดหลักการล้ำค่าจากเทียบเจตกระบี่… ความเชื่อมั่นและการเลื่อนระดับใหม่ด้านวิถียุทธ์แก่เขาแล้ว
ตอนนี้คนตระกูลเว่ยยังไม่สงบอารมณ์อย่างสมบูรณ์ เดิมยังมองท้องฟ้าอย่างอึ้งงัน แต่เมื่อเจออานุภาพหนิวป้าเทียน ตอนนี้หลายคนต่างมองหนิวป้าเทียนซึ่งดวงตาแดงก่ำอย่างตื่นตระหนก
เมื่อครู่ชายเชื่องเชื่อคนนี้ระเบิดปราณเหี้ยมโหดชั่วพริบตา ทำให้พวกคนตระกูลเว่ยรู้สึกกดดันเท่าทวีทั้งลอบระวังตัว รู้สึกเพียงว่าคนผู้นี้เป็นยอดฝีมือน่าหวาดกลัวเช่นกัน
แต่สุดท้ายการที่จี้หยวนควบคุมเมฆจากไปต่างหากคือผลกระทบใหญ่ยิ่งของคนตระกูลเว่ย
เว่ยเซวียนใจเต้นรัวทั้งเผยสีหน้าตื่นเต้นอยู่บ้าง เบี่ยงสายตาหลบหนิวป้าเทียน มองเยี่ยนเฟยพลางเอ่ยถามอย่างระวัง
“จอมยุทธ์เยี่ยน ผู้อาวุโสท่านนั้น เมื่อครู่เขา… ควบคุมเมฆจากไป ท่านนั้นเป็นเทพเซียนหรือ”
เยี่ยนเฟยสองมือกอดอก สอดกระบี่ยาวตรงหน้าตัว มองเว่ยเซวียนกับเว่ยหมิงพลางยิ้มรับ
“พวกท่านเห็นกับตาแล้วยังถามข้าคนแซ่เยี่ยนอีกหรือ วันนี้ข้าคนแซ่เยี่ยนมาเยี่ยม เรื่องหลักคือพาท่านจี้มาดูตำราสวรรค์ไร้อักษรของตระกูลเว่ย ในเมื่อเสร็จเรื่องนี้แล้ว ข้าคนแซ่เยี่ยนขอลา”
เยี่ยนเฟยพูดจบแล้วตบข้างบ่าหนิวป้าเทียน
“พี่หนิว พวกเราไปกันเถอะ”
เยี่ยนเฟยไม่อยากอยู่ที่นี่ต่ออีกแม้ชั่วขณะ เจ้าวัวยิ่งไม่ติดขัด ไม่อยากเสียอารมณ์อยู่ที่นี่
“หึๆ ก็ดี ท่านจี้ไปแล้ว อยู่ที่นี่ต่อก็ไม่น่าสนใจอะไร”
เว่ยเซวียนรีบส่งสายตาบอกบุตรชายตน เว่ยหมิงพยักหน้าแล้วรีบเดินไปเบื้องหน้า
“จอมยุทธ์เยี่ยน จอมยุทธ์หนิว โปรดหยุดก่อน เมื่อครู่ตระกูลเว่ยของข้าไม่รู้เรื่อง ล่วงเกินท่านเซียน ไม่ทราบว่าเซียนท่านนั้นยังกลับมาหรือไม่ ท่านทั้งสองโปรดอยู่ต่อให้ตระกูลเว่ยของข้าทำหน้าที่เป็นเจ้าบ้านรับแขก ท่านนั้นเป็นผู้อาวุโสของจอมยุทธ์เยี่ยน แน่นอนว่า…”
“ไม่จำเป็น!”
เยี่ยนเฟยยกมือปรามคำกล่าวตามมารยาทของเว่ยหมิง เขาฟังแล้วรำคาญอยู่บ้าง
เขาหันกลับไปมองด้านในโถงกลาง ตอนนี้มีทายาทตระกูลเว่ยเก็บตำราสวรรค์ไร้อักษรเล่มนั้นกลับเข้ากล่องไม้แล้ว
“แม้ว่าในใจข้าคนแซ่เยี่ยนมองท่านจี้เป็นอาจารย์มาตลอด แต่เซียนกับคนธรรมดาแตกต่างกัน หลังจากกันครั้งก่อน ยามเจอท่านอีกครั้งคือวันนี้ซึ่งผ่านมาสิบกว่าปีแล้ว ตอนมีชีวิตจะมีวาสนาพบเจออีกหรือไม่ยังไม่ทราบ… ข้าคนแซ่เยี่ยนไม่รบกวนแล้ว อีกอย่างคือพี่หนิวอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก วิชายุทธ์ยิ่งแข็งแกร่งกว่าข้าไม่ใช่แค่สิบเท่า หากพวกเราอยู่ที่นี่ต่อ ตระกูลเว่ยสบายใจหรือ”
คำพูดนี้ของเยี่ยนเฟยทำให้เว่ยเซวียนกับเว่ยหมิงอึ้งงันครู่หนึ่ง ไม่รอให้ฝ่ายหลังพูดอะไรอีก เยี่ยนเฟยกับหนิวป้าเทียนแย้มยิ้มเล็กน้อย ทั้งสองคนเดินออกนอกจวนไปพร้อมกัน
“จอมยุทธ์เยี่ยน! จอมยุทธ์เยี่ยนท่านพูดอะไรกัน!”
เว่ยหมิงรีบตามไป บิดาเขาเว่ยเซวียนยกเท้าแต่สุดท้ายกลับไม่ก้าวออกไป
รอเมื่อคนนอกสองคนจากไป ทายาทตระกูลเว่ยที่อยู่ด้านข้างกระแทกหมัดใส่ฝ่ามือ อึดอัดคับข้องอย่างยิ่ง
“ปัดโธ่! เมื่อครู่ถ้าให้ยืมตำรา ท่านเซียนอาจชี้แนะด้วยตัวเองหรือไม่”
“ถูกของเจ้า!”
“คิดไม่ถึงว่าตำราสวรรค์ของพวกเราตระกูลเว่ยถึงกับเป็นตำราสวรรค์ของจริง…”
เว่ยเซวียนแค่นเสียงเย็นชา เสียงเซ็งแซ่ด้านข้างหายไปทันที แน่นอนว่าเขาเสียใจเช่นกัน แต่เขาเป็นถึงผู้นำตระกูลเว่ย มีหรือจะยอมเป็นแพะรับบาป
“เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว พูดเรื่องพวกนี้อีกทำไม หากท่านเซียนกลับมายืมอีก ข้าย่อมประเคนตำราสวรรค์ด้วยสองมือ ตอนนี้อย่างน้อยพวกเราก็มีบทคัดลอกตำราสวรรค์จากมือท่านเซียนแล้ว!”
ประโยคนี้ของเว่ยเซวียนเบนความสนใจจากทุกคนสำเร็จ ทำให้ทุกคนคลายความสิ้นหวังและนึกเสียใจในเวลาไม่นาน เริ่มเปลี่ยนเป็นตื่นเต้นยินดีอยู่บ้าง หลายคนถึงขั้นวิ่งกลับมากลางห้องรับแขกก่อน
บนโต๊ะตรงห้องรับแขกมีกระดาษเซวียนจื่อสิบกว่าแผ่นกองเป็นตั้ง แต่ละหน้าเปี่ยมอักษรตัวเล็ก
จากมุมมองของคนตระกูลเว่ย สิ่งนี้เหนือกว่าตำราลับวิชายุทธ์ทั่วไป ถือเป็นวิชาอัศจรรย์ซึ่งท่านเซียนหลงเหลือไว้ หากสำเร็จวิชา การบรรลุเซียนใช่ว่าคาดหวังไม่ได้
ตอนนี้เว่ยหมิงยังตามเยี่ยนเฟยกับหนิวป้าเทียน คิดหาคำพูดโน้มน้าวทั้งสองคนให้อยู่ต่อ เรื่องวันนี้ไม่ควรจบลงเช่นนี้ แต่เยี่ยนเฟยกับหนิวป้าเทียนไม่สนใจเขาอีก เงยหน้าก้าวต่อไปลูกเดียว
แต่เมื่อก้าวออกจากคฤหาสน์ตระกูลเว่ยมาช่วงหนึ่ง เยี่ยนเฟยกลับหยุดเดิน ทอดสายตามองตรงโถงหลัก กล่าวกับเว่ยหมิงซึ่งตามส่งมาตลอดทาง
“เว่ยหมิง ข้าคนแซ่เยี่ยนขอบอกท่านเป็นครั้งสุดท้าย หากเรื่องวันนี้แพร่งพรายออกไปย่อมไม่ค่อยดีกับตระกูลเว่ยนัก ก่อนหน้านี้ตำราสวรรค์ไร้อักษรเป็นแค่ข่าวลือบนยุทธภพ แต่วันนี้มีเซียนมาอ่านพร้อมคัดตำรา ไม่ใช่ข่าวโคมลอยอีก”
“จอมยุทธ์เยี่ยนท่าน…”
สีหน้าเว่ยหมิงตื่นตระหนกอยู่บ้าง
“วางใจเถอะ แม้ว่าข้าคนแซ่เยี่ยนไม่ได้ผดุงคุณธรรมเป็นหน้าที่ แต่ไม่คิดทำเช่นนี้ ไม่สนตำราสวรรค์ประจำตระกูลท่าน ทั้งไม่มีทางแพร่งพรายสู่ภายนอกด้วย”
เจ้าวัวที่อยู่ด้านข้างรำคาญอยู่บ้างแล้ว ลากเยี่ยนเฟยเดินออกไปข้างนอกทั้งอย่างนั้น
“ไปๆๆ น้องเยี่ยน สนใจพวกเขาทำไม ต่อให้ภายหน้าเจ้าไม่เจอท่านจี้ แต่ข้าคนแซ่หนิวอายุยืน อนาคตถ้าเจ้าเสียชีวิต ข้าจะเชิญท่านไปหลุมศพเพื่อเยี่ยมเจ้า ช่วยกันจุดธูปเซ่นไหว้”
คำพูดนี้เยี่ยนเฟยฟังแล้วมุมปากกระตุกเล็กน้อย ทำหน้าไม่ถูกอยู่บ้าง
“แหะๆๆ น้องเยี่ยน ไปๆๆ พวกเราไปหอหยกอ่อนแห่งเมืองลู่ผิงกัน เมื่อวานข้าคนแซ่หนิวรู้จักหญิงงามผู้รู้ใจมากมาย ข้าจะแนะนำให้เจ้ารู้จัก!”
เจ้าวัวยิ้มพลางลากเยี่ยนเฟยเข้าเมืองอย่างหยาบโลน ไม่นานก็หายไปจากสายตาของเว่ยหมิง
เว่ยหมิงมองดูครู่หนึ่งก่อนถอนหายใจ พาบ่าวข้างกายหันหลังกลับไปพร้อมกัน แต่เปรียบเทียบกับความจิตตกแล้ว กล่าวโดยรวมคือวันนี้ตระกูลเว่ยถือว่าโชคดี หลังจากเดินไปสองสามก้าวบนหน้าเขาเริ่มเปี่ยมรอยยิ้ม
นอกโถงกลางคฤหาสน์ เหล่าทายาทตระกูลเว่ยล้อมรอบโต๊ะโดยมีเว่ยเซวียนเป็นผู้นำ ตำราสวรรค์ไร้อักษรเล่มนั้นถูกเว่ยเซวียนหยิบมาวางบนมืออีกครั้ง เขาพลิกหน้าพลางอ่านอักษรที่จี้หยวนเขียนไว้บนโต๊ะ ท่าทางนั้นเหมือนเขาเห็นตัวอักษรบนตำราบันทึกสวรรค์
เมื่อเว่ยหมิงกลับมา คนโดยรอบหลีกทางให้เขาอย่างเป็นธรรมชาติมาก
“หมิงเอ๋อร์กลับมาแล้วหรือ เยี่ยนเฟยกับคนแซ่หนิวนั่นเล่า”
เว่ยเซวียนมองเว่ยหมิงเล็กน้อย ก่อนจดจ่ออยู่กับโต๊ะอีกครั้ง
“จอมยุทธ์เยี่ยนกับจอมยุทธ์หนิวจากไปแล้ว แต่ก่อนจากไปจอมยุทธ์เยี่ยนกล่าวเตือนพวกเรา บอกว่าเรื่องท่านเซียนช่วยพวกเราคัดลอกอักษรจากตำราสวรรค์ หากแพร่งพรายสู่ภายนอกคงนำภัยมาถึงตัว”
“นั่นแน่นอนอยู่แล้ว”
เว่ยเซวียนพยักหน้าเห็นด้วย เขาเงยหน้ามองทายาทตระกูลเว่ยกับบ่าวประจำคฤหาสน์โดยรอบ
“ห้ามเอ่ยถึงเรื่องวันนี้กับภายนอกแม้แต่คำเดียว มิฉะนั้นหากถูกสังเกตเห็น ญาติพี่น้องครอบครัวพวกเราจะมีอันตราย แต่มีฝันท่องเมฆาจากมือเซียนท่านนี้แล้ว ตระกูลเว่ยมีหรือจะไม่ยินดี!”
ประโยคนี้เว่ยเซวียนกล่าวอย่างหนักแน่นยิ่ง ทายาทตระกูลเว่ยโดยรอบ รวมถึงเว่ยหมิงต่างทำท่าตื่นเต้นยินดี
เว่ยเซวียนอ่านต่อครู่หนึ่งแต่สุดท้ายยังไม่เห็นตัวอักษรบนตำราสวรรค์ ได้แค่เก็บตำราบันทึกสวรรค์เข้ากล่องอีกครั้ง เริ่มอ่านบทคัดลอกซึ่งรอยหมึกเพิ่งแห้งบนโต๊ะพร้อมคนอื่นโดยละเอียด
“แค่อักษรล้ำค่าพวกนี้… มูลค่าก็ไม่น้อยแล้ว…”
ชายชราคนหนึ่งในตระกูลเว่ยเอ่ยพึมพำ พวกคนตระกูลเว่ยรู้สึกแบบเดียวกัน แม้แต่คนตระกูลเว่ยซึ่งไร้ความสามารถไม่ชอบการเขียน เมื่อเห็นตัวอักษรนี้ยังสบายใจอย่างยิ่ง
…
บนทางระหว่างคฤหาสน์ตระกูลเว่ยกับเมืองลู่ผิง หนิวป้าเทียนกับเยี่ยนเฟยกำลังเดินไปเมืองลู่ผิง
“พี่หนิว ท่านว่าฝันท่องเมฆาซึ่งท่านจี้คัดลอกให้ตระกูลเว่ย ทำให้ตระกูลเว่ยสบโอกาสเปลี่ยนโชคชะตาได้หรือไม่”
ส่วนตระกูลเว่ยเก็บรักษาความลับวันนี้ได้หรือไม่ ความจริงเยี่ยนเฟยคาดว่าเก็บรักษาได้ ถึงอย่างไรตระกูลเว่ยก็อาศัยอยู่นอกเมืองลำพัง เรื่องภายในปิดผนึกมั่นคง การควบคุมจัดการต้องไม่น้อยแน่
“น้องเยี่ยน ท่านจี้คัดตำราครานี้โดยปราศจากเจตจำนง สุดท้ายตระกูลเว่ยก็เป็นคนธรรมดา คิดก้าวเดียวทะยานฟ้าด้วยบทคัดลอกคงไม่ค่อยมีโอกาส แต่ถึงอย่างไรบทความนี้ก็เป็นสิ่งที่ท่านจี้เขียน กอปรกับเมื่อครู่ยามอ่านตำราท่านยังจดจ่อยิ่ง ถึงขั้นเผยลักษณ์ประหลาดเปลี่ยนแปลงฟ้าดิน ต้นร่างนั้นคงไม่ธรรมดาอยู่บ้าง ก่อนจากมาข้าคนแซ่หนิวโคจรพลังอ่านบทคัดลอกนั้นโดยละเอียด แต่กลับมีแสงอำพราง มรรควิถีของข้าคนแซ่หนิวคงตื้นเขินมองไม่ออก”
เรื่องนี้เจ้าวัวมองไม่ผิด ตอนแรกจี้หยวนแค่อยากคัดบทความปราศจากเจตจำนงจริงๆ แต่ยามอ่านจิตและเจตจำนงผสานอย่างอดไม่ได้ มีท่วงทำนองศักดิ์สิทธิ์ปรากฏในบทคัดลอกอยู่บ้าง เรื่องนี้แม้แต่ตัวจี้หยวนเองยังไม่ทันสังเกตเห็น ตอนอ่านตำราจบจิตใจหยั่งรู้ เมื่อยืมตำราไม่สำเร็จก็ใช้วิชาเหาะเหินจากไปแล้ว
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้แม้ว่าครั้งนี้ตระกูลเว่ยทำให้ท่านจี้ไม่พอใจ ตัดวาสนาเซียนของตน แต่ความจริงยังได้รับวาสนาหรือ”
ได้ยินเยี่ยนเฟยกล่าวเช่นนี้ ใบหน้าเชื่องเชื่อของเจ้าวัวเผยรอยยิ้ม
“เจ้าพูดเช่นนี้ถือว่าไม่ผิดกระมัง ถ้าตระกูลเว่ยระวังตัวเพียงพอ อ่านตำรานานเข้าย่อมมีประโยชน์อยู่บ้าง”
ความจริงหนิวป้าเทียนยังไม่ได้กล่าวอีกประโยค บนโลกปัจจุบันสิ่งที่ตระกูลเว่ยต้องระวังไม่ใช่แค่คนธรรมดา
คนตระกูลเว่ยอาจปิดปากสนิทกับคนภายนอก แต่คนภายในเล่า ยามศึกษาตำราเซียนในจวน ไม่แน่ว่าอาจทำพิธีเซ่นไหว้จุดธูปอะไรบางอย่าง
หากพวกผู้ฝึกเซียนหรือภูตผีปีศาจตนอื่นรู้เรื่องนี้เล่า ฝ่ายแรกอาจพอทำเนา ถ้าเป็นฝ่ายหลังคงเหมือนเด็กถือทองต่อหน้าผู้คนแล้ว
…
ยามเจ้าวัวกับเยี่ยนเฟยกลับเมืองลู่ผิง จี้หยวนกำลังขี่เมฆห้อตะบึงอยู่บนฟ้าสูง
จี้หยวนไม่คิดหาสถานที่ใกล้เคียงเพื่อฝึกปราณ หนึ่งด้วยอาณาจักรจู่เยวี่ยค่อนข้างอลหม่าน พวกผีร้ายทยอยก่อเกิด ไม่ใช่สถานที่เหมาะแก่การฝึกปราณ สองคือไม่สอดคล้องกับการหยั่งรู้ตอนนี้
จี้หยวนไม่คิดกลับต้าเจิน แต่มุ่งหน้าไปทางตะวันออก ตอนนี้สถานที่ฝึกปราณซึ่งเหมาะที่สุดคือมหาสมุทรกว้างใหญ่ ที่นั่นคือสถานที่ตรงตามนัยแท้จริงของฝันท่องเมฆา ทั้งอาณาจักรจู่เยวี่ยยังมีอาณาเขตส่วนหนึ่งติดทะเลตะวันออกด้วย
หลังจากนั้นครู่ใหญ่จี้หยวนได้กลิ่นลมทะเลแล้ว ดวงตาสีเทาทอดมองไปไกล ท่ามกลางความรางเลือนมองเห็นทะเลครามกว้างใหญ่ไพศาล
ภายในเขตแดนคือภาพฝันท่องเมฆาก่อนหน้านี้ แต่สิ่งที่ปากจี้หยวนกล่าวถึงกลับเป็นบทความหนึ่งจากท่องอิสระ ด้วยเขาคิดว่าเป็นคำอธิบายความอัศจรรย์ของเซียน
“อาศัยหลักการฟ้าดิน ควบคุมการเปลี่ยนแปลงหกปราณ ท่องเหินไร้ขอบเขต…”