ตอนที่ 1หญิงสาวปัญญาอ่อนที่กระโดดแม่น้ำ
ในวันที่กิ่งไม้ผลิใบอ่อน เกิดเรื่องบางอย่างขึ้นในหมู่บ้านหลี…
เฉจื่อเจิ้ง ชายผู้เป็นโสดมาตลอดสี่สิบกว่าปีใช้เงินจำนวนห้าตำลึงที่ตนเก็บหอมรอมริบมาเกือบทั้งชีวิตซื้อตัวหญิงสาวปัญญาอ่อนผู้หนึ่งกลับมา แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้เข้าเรือนหอกับหญิงสาวผู้นี้ นางกลับหนีเขาไปกระโดดลงแม่น้ำเสียอย่างนั้น
เรื่องนี้ถือว่าทำให้จิตใจของเหล่าบรรดาสามนางหกแม่ในหมู่บ้านหลีสั่นสะเทือน เรียกได้ว่ามันกลายเป็นหัวข้อสนทนาที่ยอดเยี่ยมหลังมื้ออาหารเลยก็ว่าได้
ต้องทราบก่อนว่าในแววตาของหญิงสาวผู้นี้ดูไร้ชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก มองเพียงปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเป็นคนปัญญาอ่อนที่สมองมีความผิดปกติ ทว่านางนั้นทั้งดูดีและมีความงดงามในตัวเอง ตอนที่เหรินหยาจื่อพานางมาให้เฉจื่อเจิ้งดูตัว อย่าว่าแต่ชายโสดอย่างเฉจื่อเจิ้งเลย ต่อให้เป็นคนในหมู่บ้านที่แต่งเมียแล้วหรือคนที่กำลังล้อมดูอยู่ในขณะนี้ ก็ล้วนมองนางอย่างไม่วางตากันทั้งนั้น
เฉจื่อเจิ้งที่เดิมทียังไม่ค่อยอยากที่จะเสียเงินจำนวนห้าตำลึงเพื่อซื้อหญิงสาวปัญญาอ่อนมาเป็นเมียสักเท่าไหร่นั้น เมื่อได้เห็นนาง เขาก็พร้อมยอมจ่ายเงินที่ซ่อนไว้ในอ้อมกอดมาเป็นเวลานานอย่างมีความสุขทันที เขาหน้าชื่นตาบานพาหญิงสาวปัญญาอ่อนผู้นี้กลับบ้านอย่างสุขใจ
ทว่าหลังจากที่ซื้อนางกลับไป เรื่องบังเอิญอย่างมากก็เกิดขึ้น อยู่ ๆ งานช่างไม้ก็มีมาให้เฉจื่อเจิ้งทำเพิ่มอีกงาน ถึงแม้ว่าเฉจื่อเจิ้งจะอยากเป็นเจ้าบ่าว และอยากตอบสนองความกระหายที่ตนเองไม่ได้ใกล้ชิดกับหญิงสาวมานานหลายสิบปีเพียงใด แต่เขาก็ต้านเจ้าของงานที่เป็นคนขายเนื้อผู้นั้นไม่ไหว เขาผู้นั้นโหดเหี้ยมมาก เฉจื่อเจิ้งทำได้เพียงมองหญิงสาวปัญญาอ่อนคนนั้นตาละห้อย
เขาใช้เชือกป่านมัดนางไว้ในกระท่อม จากนั้นก็ปิดบ้านไว้อย่างแน่นหนาและรีบไปที่บ้านเจ้าของงานเพื่อทำงานช่างไม้ให้เสร็จภายในเวลาสองวัน
ในหัวของเฉจื่อเจิ้งนั้น ตลอดเวลาที่ทำงานอยู่เขาคิดแต่จะหนีกลับบ้าน แทบไม่เป็นอันทำงานทำการ แต่สุดท้ายเขาก็ทำงานเสร็จจนได้
ที่บ้าน เขากำลังจะได้แสดงความรักใคร่มีความสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับหญิงสาวที่ตนเพิ่งซื้อมาใหม่ แต่ใครจะไปคิดว่าหญิงสาวจะสามารถสลัดเชือกออกไปได้ เขามาทันเห็นนางกำลังปีนจะออกจากบ้าน นางปีนออกไปได้ก็วิ่งหนีไปอย่างทุกข์ใจ วิ่งจนกระทั่งมาถึงริมแม่น้ำคราด แล้วนางก็กระโจนลงไปในแม่น้ำทันที
ในตอนนี้เป็นช่วงฤดูใบไม้ผลิอันหนาวเย็น น้ำแข็งในแม่น้ำยังละลายไม่หมดและกำลังจม ๆ ลอย ๆ อยู่ในขณะนี้ หญิงสาวผู้นั้นลงไปอยู่บนกองน้ำแข็งที่แตกตัว ร่างของนางจม ๆ ลอย ๆ ตามกองน้ำแข็ง ยิ่งลอยก็ยิ่งไกลออกไป
นี่ถือได้ว่าทำให้คนในหมู่บ้านหลีตกตะลึงอึ้งไปเลยก็ว่าได้ ท่ามกลางความอึ้งนี้ ชายเกียจคร้านคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาว่า “เมียปัญญาอ่อนของเฉจื่อเจิ้งกระโดดแม่น้ำลอยไปแล้ว!”
สิ้นเสียงตะโกน คนเกือบทั้งหมดในหมู่บ้านหลีที่ในเวลานี้ไม่ได้ทำอะไรก็พากันวิ่งมาที่ริมแม่น้ำคราด และต่างคนก็ต่างพากันยืดคอมองละครฉากสำคัญตรงหน้า
มีบางคนที่คิดอยากจะลงไปช่วยนาง ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นการช่วยชีวิตคนอย่างหนึ่ง เพราะพวกเขาเลี่ยงไม่ได้ที่จะเจอนางที่นี่ทีที่นั่นทีอยู่แล้ว อีกอย่าง พวกเขาแต่ละคนต่างก็มีความโลภในตัวผู้หญิงของเฉจื่อเจิ้ง หากลงไปช่วยนางและสามารถลูบคลำเอาเปรียบหญิงสาวปัญญาอ่อนคนนั้นได้สักนิดสักหน่อยก็ถือว่าคุ้ม
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีใครลงไปช่วยนาง เพราะพวกเขานั้นรู้เกี่ยวกับแม่น้ำคราดดี เห็นมันดูสงบนิ่งเช่นนี้ แต่ความเป็นจริงน้ำในแม่น้ำไหลเชี่ยวมาก ทุก ๆ ปีจะมีคนจำนวนไม่น้อยที่มีทักษะการว่ายน้ำอยู่พอตัวแต่ก็ยังเสียชีวิตในนั้น ทว่านี่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร อีกอย่าง น้ำในแม่น้ำคราดก็ยังละลายไม่หมด ยังมีน้ำที่เกาะตัวเป็นน้ำแข็งเย็น ๆ ลอยอยู่ มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่ามันเย็นจนทะลุเข้าไปถึงในกระดูก
ต่อให้เป็นคนที่มีทักษะการว่ายน้ำดีแค่ไหน… ก็รับประกันไม่ได้ว่าจะไม่เป็นตะคริวที่ข้อเท้าและเสียชีวิตในนั้น
ไม่มีใครกล้าลงไปช่วยนาง เฉจื่อเจิ้งที่รีบเดินกะเผลกมาทางนี้ก็ไม่กล้าช่วยเช่นกัน
เฉจื่อเจิ้งมองหญิงสาวที่กำลังจม ๆ ลอย ๆ อยู่ในแม่น้ำ เขาส่งเสียงคำรามแสดงความไม่พอใจในลำคอและใบหน้าก็เผยความกังวล เป็นเพราะรีบมาที่นี่ เขาจึงหายใจหอบด้วยความเหน็ดเหนื่อย ดวงตาของเขาแดงก่ำขณะจ้องหญิงสาวในแม่น้ำอย่างโกรธจัด
เดิมทีเฉจื่อเจิ้งก็มักถูกชาวบ้านหัวเราะเยาะเพราะรูปร่างหน้าตาที่ผิดปกติ และเท้ากับขาที่เดินเหินไม่สะดวกอันต่างไปจากคนทั่วไปของเขาอยู่แล้ว มาตอนนี้หญิงสาวที่เขาเพิ่งซื้อมายังไม่ทันได้เข้าปาก ก็ดันกระโดดแม่น้ำหนีเขาไปอีก
งานนี้ชาวบ้านขี้อิจฉาพวกนั้นก็คงจะมีเรื่องขำขันดูกันไปยาว ๆ แน่แล้ว
ทันใดนั้นเอง ด้านข้างก็มีใครคนหนึ่งพูดเยาะเย้ยเฉจื่อเจิ้งด้วยเสียงอันดัง “น่าเศร้าแท้ ๆ แม้แต่ผู้หญิงปัญญาอ่อนคนหนึ่งก็ยังยอมกระโดดแม่น้ำคราด แต่ไม่ยอมนอนใต้ผ้าห่มผืนเดียวกับเจ้า!”
เฉจื่อเจิ้งหน้าแดงลามไปถึงหู เขาเกือบต่อยหน้าคนพวกนั้นแล้ว
ริมแม่น้ำเต็มไปด้วยคนที่มายืนดู ต่างคนต่างพากันชี้ชวนให้ดูเรื่องสนุก ๆ ด้วยความสนใจจนไม่มีใครสังเกตเลยว่าหญิงสาวปัญญาอ่อนที่อยู่ในแม่น้ำที่เต็มไปด้วยน้ำแข็งเย็นจัดคนนั้นไม่อยู่แล้ว
นางจมลงไปเป็นเวลานาน และในตอนที่ลอยขึ้นมาอีกครั้ง แกนกลางภายในของนางก็ได้เปลี่ยนเป็นคนอีกคน
นางเปลี่ยนเป็นเจียงป่าวชิง หญิงสาวจากยุคปัจจุบันที่เสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์
ทว่าเรื่องที่แปลกก็คือ… เดิมทีหญิงสาวปัญญาอ่อนผู้นี้ นางก็มีชื่อว่าเจียงป่าวชิงเช่นเดียวกัน
ชื่อของพวกนางทั้งสองเหมือนกัน!
——
ในยุคปัจจุบัน หลังจากที่เจียงป่าวชิงประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ร่างกายของเธอก็ลอยขึ้น ในหัวของเธอเหมือนวิ่งผ่านภาพยนตร์ที่ไม่มีเสียงไปอย่างรวดเร็ว มันเหมือนว่าเธอได้มองดู ได้รู้ได้เห็นเรื่องราวชีวิตของเจียงป่าวชิงหญิงสาวปัญญาอ่อนจบลงภายในเวลาอันสั้น
เจียงป่าวชิงหญิงสาวยุคปัจจุบันยังคงรู้สึกงุนงง เธอคิดว่าถ้าหากเธอตายไปแล้ว เธอก็ควรที่จะเห็นช่วงชีวิตของตัวเองไม่ใช่เหรอ ? แล้วทำไมสิ่งที่เธอเห็นถึงเป็นชีวิตของคนอื่นไปได้ล่ะ ?
แต่ใครจะไปรู้ว่าตอนที่เธอยังคิดคำตอบของคำถามนี้ไม่ได้ เธอก็รู้สึกว่าร่างกายของเธอตกลงไปอย่างรวดเร็ว ตกลงไป… มันตกลงไปในแม่น้ำที่มีน้ำแข็งเย็นยะเยือกจนแทบจะคร่าชีวิตคนได้
——
กลับมาที่ยุคสมัยเก่า
อยู่ ๆ ก็มาโผล่เอากลางแม่น้ำ เจียงป่าวชิงจากยุคปัจจุบันที่ในเวลานี้อยู่ในร่างของเจียงป่าวชิงหญิงปัญญาอ่อนก็ตอบสนองไม่ทันไปชั่วขณะ จึงทำให้น้ำในแม่น้ำที่เย็นยะเยือกไหลเข้าปากและเข้าไปในปอดของเธอ
มันทรมานมากจริง ๆ!
เจียงป่าวชิงส่ายศีรษะอย่างเจ็บปวด ความรู้สึกเจ็บนี้มันเหมือนมีมีดขูดอยู่ในปอดของเธออย่างไรอย่างนั้น
โชคดีที่เธอโตมาจากชนบท ทักษะการว่ายน้ำของเธอจึงเข้าขั้นคล่องอย่างไม่ต้องพูดถึง เมื่อสติของเธอกลับคืนมา เธอก็ขยับแขนขาทั้งสี่และออกแรงว่ายไปทางฝั่ง
เจียงป่าวชิงตัวสั่น เธอปีนขึ้นฝั่งอย่างยากลำบากจนเมื่อพ้นจากน้ำเธอจึงผ่อนแรงลง จากนั้นก็ขดตัวอยู่ตรงริมฝั่ง เธอหนาวมากจนทั้งตัวสั่นและทั้งไอทั้งสำลักน้ำอย่างไม่หยุด
ต่อมา ผู้คนในหมู่บ้านหลีที่กำลังดูเรื่องสนุก ๆ อยู่ ก็ได้เดินมาล้อมเจียงป่าวชิงไว้ ชาวบ้านไม่ได้เยาะเย้ยเฉจื่อเจิ้งแล้ว แต่กลับพากันพูดถึงเธอแทน
“ไอ้หยา! เด็กอย่างเจ้ามีอะไรให้คิดสั้นกัน เฉจื่อเจิ้งอุตส่าห์จ่ายเงินห้าตำลึงเพื่อซื้อเจ้ามาเชียวนะ”
“ห้าตำลึงถ้วน! เงินไม่ใช่น้อย ๆ เลย”
และมีบางคนที่สบถออกมาด้วยความอิจฉา สำหรับพวกเขาแล้ว เงินจำนวนห้าตำลึงนั้นถือได้ว่าเป็นราคาที่สูงเสียดฟ้า
แต่ใครบ้างที่จะรู้ว่านี่เป็นเงินที่เฉจื่อเจิ้งเก็บสะสมมาเกือบทั้งชีวิต เขาเห็นว่าตัวเองอายุเยอะแล้ว และถ้ายังไม่หาเมียสักคน ไม่แน่ต่อไป ‘อาวุธประจำกาย’ ของเขาก็อาจใช้งานไม่ได้ ซึ่งนั่นเท่ากับว่าเขาจะไม่มีทายาทสืบสกุล
เฉจื่อเจิ้งกระวนกระวายใจ เขากัดฟันและเดินออกไป นี่เป็นหญิงสาวที่เขาใช้เงินจำนวนห้าตำลึงซื้อมาเพื่อให้เป็นเมีย คนเกียจคร้านบางคนในหมู่บ้านที่ไม่ได้แต่งเมียต่างพากันมองเขาด้วยสายตาอิจฉา แต่ทว่าพวกเขาไม่มีเงินห้าตำลึง!
เฉจื่อเจิ้งผลักกลุ่มคนที่อยู่ด้านหน้าไปให้พ้นทาง จากนั้นก็แทรกตัวไปตรงหน้าเจียงป่าวชิงและก่นด่านางด้วยความโกรธแค้น “หญิงโง่! ข้าอุตส่าห์ใช้เงินก้อนโตซื้อเจ้ามา ถ้าเจ้าตายไปข้าก็เสียเงินเปล่า!” พูดจบเขาก็ทำท่าจะเข้าไปดึงผมของเจียงป่าวชิง
เจียงป่าวชิงดูเหมือนจะรับรู้ได้ ในขณะที่ร่างของนางกำลังสั่นเล็กน้อย นางก็เงยหน้าขึ้นมาอย่างรวดเร็ว สายตาของนางแหลมคมเสมือนมีดที่กำลังทิ่มแทงเฉจื่อเจิ้ง
มือของเฉจื่อเจิ้งที่ยื่นออกไปเพื่อจะดึงผมของเจียงป่าวชิงหยุดนิ่งกลางอากาศทันที เขามองใบหน้าขาวซีดที่อยู่ภายใต้ผมเปียกชื้นนั้นด้วยความตกตะลึง
เจียงป่าวชิงหรี่ตามองเฉจื่อเจิ้งเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ ‘เธอ’ ได้เห็นเรื่องราวตลอดระยะเวลาสิบสามปีของเจ้าของร่างเดิมจากมุมมองของคนดูมาแล้ว และตอนที่รู้ว่าตนเองจับพลัดจับผลูได้มาอยู่ในร่างของเจียงป่าวชิงหญิงสาวปัญญาอ่อนคนนั้น ‘เธอ’ จึงรู้สถานะของชายวัยสี่สิบปีที่มีดวงตาเอียงและจมูกเบี้ยวคนนี้เป็นธรรมดา
เจียงป่าวชิงอดไม่ได้ที่จะด่าเฉจื่อเจิ้งในใจ ‘ไอ้คนโรคจิต แกมันสัตว์เดรัจฉาน อายุตั้งสี่สิบแล้วยังจะมีหน้ามาลงมือกับเด็กสาวที่เพิ่งจะอายุสิบสามปีอีกนะ แกมันขยะชัด ๆ!’
ถ้านี่เป็นยุคปัจจุบัน เจียงป่าวชิงที่เป็นเจ้าของร่างคนนี้ก็เพิ่งจะขึ้นมัธยมต้นเท่านั้นเอง ยังเด็กอยู่เลย จะให้มีสามีเป็นคนอายุสี่สิบได้อย่างไร ?
สีหน้าของเจียงป่าวชิงเคร่งขรึมขึ้นเมื่อนึกถึงน้องสาวคนเล็กของเธอที่ถูกผู้คนหัวเราะเยาะว่าเป็นคนปัญญาอ่อนเหมือนกับเด็กสาวคนนี้
น้องสาวคนเล็กของเธอถูกคนอื่นใช้เป็นเครื่องมือในการข่มขู่เธอ เธออดทนอดกลั้นเพื่อน้องสาวคนเล็กของตัวเองมาโดยตลอด และทักษะการฝังเข็มที่ยอดเยี่ยมของเธอก็ทำให้คนในครอบครัวนั้นได้รับสิ่งที่ไม่ได้เป็นของพวกเขามาตั้งแต่แรกตั้งมากมาย
แต่ต่อให้เป็นแบบนั้น น้องสาวคนเล็กของเธอที่ยังอายุไม่ครบสิบสี่ปีก็ป่วยจากไปเสียก่อน และหญิงสาวคนนี้ก็น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับน้องสาวคนเล็กของเธอ…
สายตาที่เจียงป่าวชิงใช้มองเฉจื่อเจิ้งเย็นยะเยือกขึ้นเรื่อย ๆ
ทันใดนั้นเอง เฉจื่อเจิ้งก็พบว่าหลังจากที่หญิงสาวผู้นี้ตกน้ำไป นางดูเหมือนจะแตกต่างไปจากเมื่อก่อนสักเล็กน้อย
แต่ทว่าสถานการณ์ตรงหน้าที่มีทั้งการเยาะเย้ยและการถากถางของชาวบ้านด้านข้างนั้น ทำให้เฉจื่อเจิ้งไม่ทันได้คิดอะไรมากมายนัก เมื่อสักครู่เขาถูกสายตาของเจียงป่าวชิงคุกคาม จากความอับอายจึงได้แปรเปลี่ยนกลายเป็นความโกรธ เขาเอื้อมมือออกไปหมายจะดึงผมของเจียงป่าวชิงอีกครั้ง
“หยุด!”
อยู่ ๆ ก็มีเสียงคำรามที่ค่อนข้างร้อนรนดังขึ้น ชายหนุ่มที่ใส่เสื้อคลุมยาวที่ถูกซักจนขาวและเย็บด้วยรอยปะมากมายพยายามอย่างสุดกำลังเพื่อแทรกตัวออกมาจากกลุ่มคน
รูปหน้าของชายหนุ่มผู้นี้ดูดีมาก แต่ในขณะนี้ใบหน้าของเขาทั้งกังวลและตื่นเต้นจนแทบจะบิดเบี้ยวไม่เป็นรูปทรง จากนั้นเขาก็แทบจะกระโจนเข้าหาเจียงป่าวชิงที่อยู่บนพื้น
เขาปลดกระดุมเสื้อตัวเองด้วยมืออันสั่นเทา และเกือบจะกระชากเสื้อตัวนอกของตัวเองที่เป็นเสื้อคลุมยาวเย็บด้วยรอยปะมากมายตัวนั้นออกมาให้รู้แล้วรู้รอด จากนั้นเขาก็นำไปคลุมให้เจียงป่าวชิง เสียงของเขาสั่นอย่างมาก “ป่าวชิง จะ… เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไหม ?”
เจียงป่าวชิงรู้สึกหนาวเหน็บ เธอเงยหน้าขึ้นมาอย่างสั่น ๆ จากนั้นก็มองชายหนุ่ม อยู่ ๆ น้ำตาของเธอก็ไหลลงมาโดยไม่ได้ตั้งใจ
“พี่…” เธอพูดพึมพำ
เจียงหยุนชานหลั่งน้ำตาออกมาเช่นเดียวกัน ความรู้สึกเหมือนเขาเป็นคนที่เพิ่งรอดชีวิตมาได้อย่างไรอย่างนั้น เขาลูบศีรษะของเจียงป่าวชิงด้วยมือที่สั่นเทา
ความรู้สึกโศกเศร้าระคนโล่งใจนี้ไม่ได้เป็นของเจียงป่าวชิงจากยุคปัจจุบัน ‘เธอ’ มาคิด ๆ ดูแล้วนี่คงน่าจะเป็นความรู้สึกของเจ้าของร่างเดิมที่หลงเหลือไว้เสียมากกว่า
เจียงป่าวชิงรู้ว่าชายหนุ่มรูปงามตรงหน้าที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าโศกและความทุกข์คือเจียงหยุนชานพี่ชายฝาแฝดของตัวเอง
ถึงแม้ว่าเจ้าของร่างเดิมจะเป็นผู้หญิงปัญญาอ่อน แต่ความทรงจำของนางปกติดี
เจียงป่าวชิงรู้ได้จากความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมว่าญาติที่แท้จริงที่เหลืออยู่ในตอนนี้คือเจียงหยุนชาน พี่ชายฝาแฝดที่อยู่ตรงหน้าเธอในขณะนี้
เจียงป่าวชิงกับเจียงหยุนชานที่เป็นพี่ชาย ทั้งคู่เป็นพี่น้องฝาแฝดกัน แม่ของพวกเขาเสียชีวิตจากการเสียเลือดมากในขณะที่คลอดพวกเขาออกมา ผ่านไปไม่กี่ปี พ่อของพวกเขาก็ป่วยเสียชีวิตไป เหลือไว้เพียงสองพี่น้องที่โดดเดี่ยวคู่นี้
ต่อมาหลังจากที่คนในตระกูลได้ทำการปรึกษากันแล้ว จึงตัดสินใจให้ท่านเจียง ปู่คนที่สองของสองพี่น้องรับเลี้ยงทั้งสองไว้แทน