ตอนที่ 2 ไอ้หน้าอ่อนนี่มาจากไหน

แม่สาวเข็มเงิน

ตอนที่ 2ไอ้หน้าอ่อนนี่มาจากไหน

เรื่องรับเลี้ยงเด็กสองคนนี้  อันที่จริงแล้วในตอนแรกคนในตระกูลเจียงทั้งหมดล้วนไม่สนใจ ไม่ว่าจะเป็นญาติใกล้ชิดหรือญาติห่าง ๆ ก็ล้วนไม่ยินยอมที่จะรับเลี้ยงเด็กสองคนนี้กันทั้งนั้น

ถึงอย่างไรแล้ว แม้ว่าสองพี่น้องคู่นี้จะดูน่าเกลียดน่าชังเพียงใด คนในบ้านต่างก็รู้ดีว่าหนึ่งในเด็กสองคนนั้นมีคนหนึ่งเคยหกล้มศีรษะกระแทกพื้นจนทำให้สมองมีปัญหาและกลายเป็นคนปัญญาอ่อนไปในที่สุด ดังนั้นถ้าหากรับเด็กสองคนนี้มาเลี้ยงไว้ก็ไม่รู้ว่าจะสร้างความยุ่งยากให้กับพวกเขามากเพียงใด

อีกอย่าง นี่ก็เป็นสองชีวิตซึ่งมีสองปาก ความสามารถในการกินก็ต้องมีมากเป็นธรรมดา เดิมทีที่บ้านก็ยากลำบากอยู่แล้ว ต่อให้บ้านพวกเขาจะมีข้าวเหลือ พวกเขาก็ไม่อยากนำข้าวที่เหลืออยู่ไปป้อนคนนอก

เมื่อเกี่ยงกันไปเกี่ยงกันมา เด็กสองคนนี้ก็ถูกผลักไปให้ท่านปู่เจียง น้องชายของปู่ของเด็กสองคนนี้จนได้ ทว่าถึงอย่างไรหากดูจากสายเลือด นี่ถือว่าเป็นครอบครัวที่ใกล้ชิดที่สุดแล้ว

ในเมื่อทุกคนไม่ยินยอมที่จะรับสองพี่น้องคู่นี้มาเลี้ยงดู เช่นนั้นก็ทำได้เพียงส่งเด็กสองคนนี้ไปให้ท่านปู่เจียงเลี้ยงดูแทน แต่ทว่าเมื่อท่านปู่เจียงได้ยินว่าตนเองต้องรับเด็กสองคนนี้มาเลี้ยง เขาก็หนีไปเร็วยิ่งกว่ากระต่ายกระต่ายกระโดดเสียอีก

ในเวลานั้นเจียงหยุนชานที่อายุเพียงหกขวบคุกเข่าท่ามกลางหิมะเพื่อขอร้องท่านปู่เจียงตลอดทั้งบ่าย แต่ท่านปู่เจียงก็ยังไม่เปลี่ยนใจ แม้จะเป็นเรื่องน่าสงสารที่เด็กสองคนนี้ต้องไร้พ่อไร้แม่ตั้งแต่อายุยังน้อย แต่ในบ้านของเขาเองก็ยังมีอีกหลายชีวิตและหลายปากที่ต้องกินข้าว ท่านปู่เจียงคิดว่าเขานั้นเลี้ยงคนอื่นอีกไม่ไหวจริง ๆ

อีกอย่าง ตอนที่เด็กสองคนนี้ยังไม่เกิด ปู่แท้ ๆ ของพวกเขาก็เสียไปก่อน เมื่อเกิดออกมาก็ดันเล่นงานแม่แท้ ๆ ของตัวเองจนตาย ผ่านไปไม่กี่ปีก็ทำให้พ่อของตัวเองตายอีก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คนในบ้านของเขาจะต้องตายไหม ? พวกเขายังจะเหลืออีกกี่ชีวิตกัน ? นี่จึงเป็นสาเหตุที่ท่านปู่เจียงไม่กล้ารับเด็กสองคนมาเลี้ยง

ต่อมา เป็นคนในตระกูลที่เห็นอกเห็นใจถึงความน่าสงสารของเจียงหยุนชานและเจียงป่าวชิง เพราะถ้าหากยังไม่มีคนดูแลก็อาจจะไม่มีทายาทแล้วจริง ๆ  ดังนั้นพวกเขาจึงตกลงกันว่าถ้าหากท่านปู่เจียงรับเด็กสองคนนี้ไปเลี้ยงดู ก็จะแบ่งที่นาและบ้านที่เดิมทีเป็นของเจียงหยุนชานและเจียงป่าวชิงให้เขา

เมื่อท่านปู่เจียงได้ฟัง สายตาของเขาก็เป็นประกายทันที

ในตอนที่ครอบครัวเขาแยกบ้าน พ่อกับแม่ของเขารักพี่ชายเขามากจึงยกที่ดินชั้นดีสองสามหมู่ให้กับพี่ชายของเขา  ที่ดินชั้นดีสองสามหมู่นั้นเป็นพื้นที่ที่มีดินดำที่ดีที่สุด และอุดมสมบูรณ์เป็นอย่างยิ่ง เพียงแต่คนในครอบครัวของพี่ชายเขาล้วนมีร่างกายที่อ่อนแอจนเกินไป ซ้ำร้ายยังไม่เก่งในการทำไร่ไถนา ต่อให้เป็นที่ดินชั้นดี แต่ทุกปีก็เก็บเกี่ยวได้ไม่เท่าไหร่ คนอื่นจึงคิดว่าที่ดินผืนนั้นเป็นที่ดินที่ไม่ดีมาโดยตลอด

ทว่าคนอื่นไม่รู้ว่านั่นคือที่ดินชั้นดี แต่ท่านปู่เจียงรู้!

เมื่อมีที่นาพร้อมบ้านมาชักจูงอยู่บนหัว ท่านปู่เจียงก็ไม่พูดถึงชะตาชีวิตของเด็กสองคนนี้อีกต่อไป เขาพูดว่า “เห็นแก่หน้าของคนในตระกูลแล้วกัน” และให้เด็กทั้งสองย้ายออกมาจากบ้านเดิมโดยให้ไปอยู่ที่บ้านดินเผาที่ติดกับห้องเตาไฟอย่างไม่เต็มใจ สำหรับเขานี่ก็ถือว่ารับเลี้ยงแล้ว

แม้จะบอกว่ารับเลี้ยงดู แต่ที่จริงแล้วเป็นการให้ของเหลือเพื่อไม่ให้สองพี่น้องอดอยากตายก็เท่านั้น

เจียงป่าวชิงดึงสติกลับมาจากชะตาชีวิตของเจ้าของร่างเดิม และเห็นเจียงหยุนชาน พี่ชายฝาแฝดของร่างนี้กำลังปกป้องตนอย่างแน่นหนา เขายืนตรงหน้าเธอ และกำลังส่งเสียงคำรามอย่างโกรธเคือง “นี่เป็นน้องสาวของข้า…ไม่! ไม่ขาย! ข้าไม่ขายนางให้ใครเด็ดขาด ข้าจะพานางกลับ”

เฉจื่อเจิ้งรู้สึกโกรธเช่นเดียวกัน เขาอุตส่าห์นำเงินจำนวนห้าตำลึงให้กับเหรินหยาจื่ออย่างจริงใจเชียวนะ

เงินห้าตำลึง! นั่นเป็นเงินแต่งเมียที่เขาเก็บออมมานาน!

ดูหน้าตาของเจ้าเด็กนี่ก็รู้แล้วว่าเป็นญาติของเมียที่เขาเพิ่งทำการซื้อมา แต่แล้วอย่างไร ? ตอนที่เขาทำการแลกเปลี่ยนสินค้านั้น เขาก็ไม่เห็นว่าไอ้หน้าอ่อนนี่จะออกมาขัดขวางอะไรสักหน่อย

เฉจื่อเจิ้งตะคอกอย่างโมโห “ไอ้หน้าอ่อนเจ้ามาจากไหน ?! มาขัดข้าทำไม ?” จากนั้นเขาก็ชี้ไปที่เจียงป่าวชิง “ข้าใช้เงินห้าตำลึงซื้อเจ้าเด็กปัญญาอ่อนคนนี้มา เงินจำนวนห้าตำลึงถ้วน แต่ตอนนี้เจ้ากลับออกมาบอกว่านางเป็นน้องสาวของเจ้า ถ้าเจ้าไม่ขาย แล้วเจ้าไปอยู่ไหนมาตั้งแต่แรก ?! ขายแล้วกลับเปลี่ยนใจ มีที่ไหนเขาทำการค้ากันแบบนี้ ไสหัวไป ไปให้พ้น!”

ภายใต้ใบหน้าที่แดงก่ำลามไปถึงใบหู และจมูกที่เริ่มบิดเบี้ยวของเฉจื่อเจิ้ง ทำให้เขานั้นดูน่ากลัวยิ่งกว่าเดิม

ไอ้หน้าอ่อนนี่มาจากไหนกัน ? อยู่ ๆ ก็มาบอกว่า ‘ไม่ขาย’ ง่าย ๆ แล้วยังจะพาตัวเมียที่เขาซื้อมาด้วยเงินก้อนโตไปจากเขาอีกด้วย

ฝันกลางวันแสก ๆ เถอะ!

เจียงหยุนชานหน้าซีด ริมฝีปากของเขาสั่นเล็กน้อยราวกับว่าเขานึกอะไรได้ สีหน้าของเขาถึงได้ดูเจ็บปวดแบบนั้น

แม้เจียงป่าวชิงจะสวมเสื้อคลุมยาวของพี่ชายอยู่ แต่นางก็ไม่อาจทนความเปียกชื้นบนตัวไหว ยิ่งปะทะเข้ากับสายลมฤดูใบไม้ผลิเย็น ๆ เธอก็หนาวจนสั่นสะท้านไปทั้งตัว

แต่ถึงจะเป็นแบบนี้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะอย่างเย็นชาในใจ หึ ๆ… ให้ตายอย่างไรพี่ชายของเธอก็ไม่ขายเธอแน่นอน  คนที่ขายเธอคือท่านปู่เจียง ปู่คนที่สองของเธอต่างหาก

เจียงหยุนชานนั่งยอง ๆ และกอดศีรษะเล็ก ๆ ด้วยความเจ็บปวดใจ เขานั้นเรียนเก่งมาก แม้ว่าจะอายุน้อยแต่นิสัยของเขากลับชอบอ่านหนังสือจนทำให้เขามีความคิดที่โบราณคร่ำครึไปสักนิด

เขาคิดอยู่เสมอว่าถ้าไม่ใช่เพราะท่านปู่เจียงปู่คนที่สองให้ที่ซุกหัวนอนและให้ข้าวให้น้ำพวกเขา พวกเขาสองพี่น้องก็คงจะตายไปตั้งแต่ฤดูหนาวของปีนั้นแล้ว

แต่เรื่องครั้งนี้กลับโจมตีเขาอย่างจัง

ครอบครัวของปู่คนที่สองถือโอกาสในขณะที่เขาไปเรียนหนังสือในตัวอำเภอ ทำการขายน้องสาวแท้ ๆ ของเขาให้กับคนขาพิการวัยสี่สิบปีเพื่อเงินเพียงห้าตำลึง

ถ้าไม่ใช่เพราะเขากลับมาเอาของที่ลืมไว้กลางคันและไม่เห็นน้องสาวอยู่ในบ้าน ประจวบกับที่อาซิ่ง น้องสาวข้างบ้านเป็นคนแอบมาบอกเขาว่าป่าวชิงถูกขายไปแล้ว หากรอเขากลับมาครั้งหน้า จะเสียใจก็กลัวว่าจะสายเกินไป

เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ในดวงตาของเจียงหยุนชานก็ฉายแววความเจ็บปวดและความมุ่งมั่นออกมา เขาขยับกายลุกขึ้นยืน ถึงแม้ว่าเขาจะผอมบางไปหน่อย แต่ก็ยังคงเอาตัวเองมาบังตรงหน้าเจียงป่าวชิงอย่างมั่นคง

น้ำเสียงของเจียงหยุนชานค่อนข้างทุ้มต่ำ เขากำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนเสียง น้ำเสียงของเขาจึงมีความแหบเล็กน้อย “ข้าจะไม่ขายน้องสาวของข้าให้ท่านเด็ดขาด! ส่วนเงินห้าตำลึงนั่น ข้าจะหาวิธีนำมาคืนให้กับท่านเอง…” พูดจบเขาก็โน้มตัวแสดงความเคารพเฉจื่อเจิ้ง

เฉจื่อเจิ้งเบะปาก พลางมองเจียงหยุนชานด้วยสายตาดูถูก

ไม่เพียงแต่เสื้อคลุมตัวนอกของเจียงหยุนชานจะเต็มไปด้วยรอยปะ แม้แต่เสื้อด้านในก็ยังมีรอยปะตรงนั้นทีตรงนี้ที อีกทั้งสีตรงบริเวณแขนเสื้อก็ไม่เหมือนกัน เห็นได้ชัดว่านำเสื้อผ้าเก่า ๆ มาเย็บกับเศษผ้าแล้วนำมาสวมใส่

เฉจื่อเจิ้งเบะปากแล้วเบะปากอีก จากนั้นเขาก็ถ่มน้ำลายใส่เท้าของเจียงหยุนชาน “ถุย! ปัญญาชนไส้แห้งที่อ่านหนังสือจนโง่เขลาอย่างเจ้า นอกจากจะสิ้นเปลืองอาหารแล้วก็ทำได้แค่แทะกระสอบหนังสือเท่านั้นแหละ ยังมีหน้าคิดอยากจะนำเงินห้าตำลึงมาคืนข้า ชาติหน้าล่ะสิไม่ว่า!”

ใบหน้าของเจียงหยุนชานทั้งแดงทั้งซีด ปีนี้เขาเพิ่งจะอายุสิบสาม เมื่อชายหนุ่มที่แทบจะเรียกได้ว่าเด็กชายได้พบเจอกับความอัปยศอดสูเช่นนี้ ร่างกายของเขาก็สั่นเล็กน้อย เขาพูดไม่ออกไปชั่วขณะ

เขาตระหนักอย่างเจ็บปวดว่าคำพูดของอีกฝ่ายที่ทำให้เขารู้สึกอับอายนั้น เกรงว่าจะเป็นเรื่องจริง

เจียงป่าวชิงเม้มปาก ในเมื่อ ‘เธอ’ มาเกิดใหม่ในร่างของเจ้าของร่างเดิม และมีชีวิตต่อแทนนาง ถ้าเป็นแบบนั้น พี่ชายฝาแฝดของเจ้าของร่างเดิมก็ควรจะเป็นพี่ชายของ ‘เธอ’ ด้วยเช่นกัน

เจียงป่าวชิงยังคงสั่นไหวท่ามกลางสายลมในฤดูใบไม้ผลิ จากนั้นเธอก็เรียกเจียงหยุนชาน “พี่…”

เจียงป่าวชิงเคยเป็นคนปัญญาอ่อน ถึงแม้ว่านางจะไม่ได้น้ำลายฟูมปากและปากเบี้ยว แต่ดวงตาของนางกลับไร้ชีวิตชีวามาก ทั้งยังพูดได้ไม่กี่คำอีกด้วย… จะมีก็แต่คำว่า ‘พี่ชาย’ เท่านั้นที่นางมักพูดติดปากอยู่เสมอ

เจียงหยุนชานกำลังจะขานรับ แต่กลับได้ยินน้องสาวของเขาพูดคำพูดยาว ๆ ออกมาโดยไม่หยุดพักเสียก่อน

“พี่ไม่ต้องกลัวผู้ชายคนนี้หรอก เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหายนะกำลังจะมาเยือนเขาน่ะ!” เจียงป่าวชิงใช้เสื้อคลุมของเจียงหยุนชานห่อตัวเองไว้อย่างแน่นหนา ในดวงตามีราศีอย่างเห็นได้ชัด ถึงแม้ว่าเสียงของนางจะสั่นเล็กน้อยด้วยความหนาว แต่มันกลับแตกต่างจากปกติและฟังดูชัดเจนเป็นพิเศษ

เจียงหยุนชานคล้ายถูกฟ้าผ่า เขาจ้องริมฝีปากของเจียงป่าวชิงอย่างไม่กะพริบตาราวกับไม่เชื่อว่าคำพูดนี้จะหลุดออกมาจากปากของเจียงป่าวชิง ผ่านไปสักพัก เขาก็แสดงสีหน้าที่เหมือนจะร้องไห้และหัวเราะออกมาในเวลาเดียวกัน น้ำเสียงของเขาสั่นจนทำให้พูดไม่เป็นคำ และเขาก็รู้สึกดีใจอย่างไม่น่าเชื่อ

“ป่าวชิง เจ้า… นี่เจ้าหายแล้วหรือ ?”