มู่หรงไท่หัวเราะ “รัชทายาทสูงส่งเกินไป และมีเจี่ยงฮองเฮาคอยหนุนหลังอยู่ ไม่เหมาะสม ส่วนผู้ที่เหลือ ทั้งองค์ชายแปด องค์ชายเก้า สถานะของพระมารดาต่ำต้อยเกินไป มีอำนาจไม่เพียงพอ ฝ่าบาทย่อมไม่ให้ความสำคัญ ท่านอ๋องป้ายสีไปก็ไร้ประโยชน์ ส่วนองค์ชายสิบเอ็ด สิบสาม ก็เด็กเกินไป พอบอกว่าเด็กๆ ไม่รู้เรื่องก็รอดพ้นจากข้อกล่าวหา ผู้คนไม่มีทางคิดว่าเป็นการทำร้ายไทเฮาไปได้ จึงมีเพียง…”
พูดถึงตรงนี้ เขาก็หยุด จงใจให้เว่ยอ๋องคิดถึงคนผู้นั้นเอาเอง
ซึ่งเว่ยอ๋องกลับหัวแหลม เดาได้ฉับพลัน “เจ้าสาม? ฮาๆ! ไม่ผิดๆ! ข้าเกลียดชังเจ้าสามยิ่ง!”
นี่ดีมากจริงๆ ประการแรก ช่วยตนเบี่ยงเบนความสนใจ ประการที่สอง จู่โจมฉินอ๋องได้อย่างมีประสิทธิภาพ
มู่หรงไท่ปรึกษาหารือแบบปิดประตูกับเว่ยอ๋องต่อ พอเห็นว่าได้เรื่องพอสมควร ก็รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก
วันนี้นับว่า เขากับเว่ยอ๋องลงเรือลำเดียวกันแล้ว ต่อไปเขาจะกินรำข้าวหรือกินโจ๊ก ก็ต้องพึ่งเว่ยอ๋องแล้ว
สวรรค์ให้เขาเกิดใหม่ เพื่อให้เขามาจัดการพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินของฉินอ๋อง ใครใช้ให้หญิงสาวทอดทิ้งเพชรในตมอย่างเขาเล่า จะมาหาว่าเขาศิโรราบผู้อื่นไม่ได้หรอก
รอให้เว่ยอ๋องได้นั่งบัลลังก์มังกร เขาก็คือขุนนางผู้ช่วยอันดับหนึ่ง
ดังนั้น เขาต้องควบคุมเรื่องนี้ให้ดี จึงบอกให้เว่ยอ๋องฟังคำสั่งจากเขาทั้งหมด อย่าทำนอกเหนือจากที่เขาสั่ง พอคิดถึงตรงนี้ มู่หรงไท่ก็ยิ้มมุมปากอย่างผู้มีชัย
“ท่านอ๋องดูสบายใจขึ้นมาก วันนี้ข้ายังนำของชิ้นหนึ่งมาฝาก วางไว้ข้างนอกอยู่ครึ่งค่อนวันแล้ว ตอนนี้มิสู้นำมาให้ท่านเลยจะดีกว่า”
“ได้สิ” เว่ยอ๋องยิ้มรับ
พอมู่หรงไท่ปรบมือสองครั้ง เด็กรับใช้ในจวนโหวก็ประคอง “ของขวัญ” ชิ้นนั้นเข้ามา
เมื่อเปิดผ้าคลุมหน้าออก ชายหนุ่มรูปร่างหน้าตาสวยสง่ากว่าหญิงสาวก็คุกเข่าลงบนพรมแดงในห้องแล้วเงยหน้าขึ้น เว่ยอ๋องสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วทำตาวาว
ชายหนุ่มอายุราวสิบแปดสิบเก้า ผิวขาวเนียนใสดุจน้ำนม ดวงตาสวยดูเจ้าชู้คล้ายปกคลุมไปด้วยเมฆหมอก ยิ่งพินิจก็ยิ่งทำให้จิตใจไหวหวั่น จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากเรียวบางและนุ่มนิ่ม โดยเฉพาะคิ้วที่ดูเศร้าอยู่บ้าง แต่เป็นธรรมชาติ ดุจทิวทัศน์อันงดงาม ที่ทำให้คนชื่นชมโดยไม่กะพริบตาได้ครึ่งค่อนวัน
“เจ้าคือ…”
พอมู่หรงไท่เห็นเว่ยอ๋องมองจนลูกตาแทบจะถลนออกมา ก็หัวเราะในใจ เป็นไปตามคาด
จากที่ผู้คนลือกันว่าเว่ยอ๋องเป็นคนเจ้าชู้ เก็บสะสมสาวใช้และนางบำเรอสวยๆ ไว้ในจวนอ๋องมากมาย จนเกือบจะแซงหน้าสาวงามในวังหลังของหนิงซีฮ่องเต้ไปแล้วนั้น แต่เขากลับได้ข่าวซุบซิบเล็กๆ มาว่า นี่เป็นการพรางตาของเว่ยอ๋อง โดยความจริงแล้ว เว่ยอ๋องไม่แตะต้องผู้หญิง เขาเป็นชาวรักร่วมเพศ ที่สะสมสาวงามเพื่อปกปิดรสนิยมชอบผู้ชายของตนเอง
สืบเนื่องจาก แม้หนิงซีฮ่องเต้เอ็นดูเขาแค่ไหน ก็ไม่มีทางยอมให้ผู้ที่ชอบเพศเดียวกันอย่างเขาขึ้นเป็นฮ่องเต้แน่ เพราะจะทำให้ไม่มีลูกหลานสืบราชสันตติวงศ์
และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ก่อนหน้านี้มู่หรงไท่ไม่ค่อยได้คบหาสมาคมกับเว่ยอ๋อง เพราะตัวเขาเองชอบผู้หญิง ย่อมไม่รู้สึกดีอะไรกับผู้ชายที่ชอบผู้ชายด้วยกัน
แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป สำหรับเขานั้น เว่ยอ๋องเป็นหมากที่ดีมากๆ ตัวหนึ่งจริงๆ
ประการแรก สถานะของเว่ยอ๋องช่วยให้เขาต่อกรกับฉินอ๋องได้ ประการที่สอง ถ้าเว่ยอ๋องไม่แตะต้องผู้หญิงจริงๆ ก็เป็นไปได้สูงที่จะไร้ทายาทสืบราชสันตติวงศ์ พอขึ้นครองบัลลังก์ เขามู่หรงไท่ก็จะยิ่งมีโอกาส…เพราะในอดีต ฮ่องเต้ที่ไร้ทายาท สุดท้ายราชบัลลังก์จะถูกเปลี่ยนมือ และหนึ่งในนั้น ตกเป็นของขุนนางผู้มีผลงานสร้างชาติ
แต่ตอนนี้เขาต้องหยุดฝันหวานชั่วคราว เมื่อชายหนุ่มหัวแถวของลั่วหยางชุนที่เขาจ่ายไปสามพันตำลึงเงิน ได้เงยหน้าขึ้น จ้องมองชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาตรงหน้า ผู้สวมชุดผ้าไหมสีม่วงที่ดูสูงส่งและน่านับถือ ซึ่งก็คือองค์ชายห้าในปัจจุบัน หรือนายท่านในอนาคต ก่อนจีบปากจีบคอรายงาน
“บ่าวชื่อเยี่ยหนานเฟิง คุณชายรองมู่หรงเชิญให้บ่าวมาปรนนิบัติท่านอ๋อง”
สามพันตำลึงเงินไม่เสียเปล่าจริงๆ หัวแถวก็คือหัวแถว น้ำเสียงไม่สูงส่ง แต่ก็ไม่ต้อยต่ำจนเกินไป มีความละมุนจับใจผู้คนและไม่ดูถูกตนเอง โดยบอกว่ามู่หรงไท่เชิญมา มิใช่ซื้อมา
เว่ยอ๋องแม้เคยเห็นคนงามมาไม่น้อย แต่พอเห็นเยี่ยหนานเฟิง วิญญาณก็หลุดลอยไปแล้วครึ่งหนึ่ง รีบดึงเขาเข้ามา แล้วว่า
“ดีๆ ต่อไปก็ให้เจ้าปรนนิบัติอยู่ข้างกายนี่ล่ะ” แล้วจึงหันไปยิ้มให้มู่หรงไท่ “คุณชายรองสายตาแหลมคมจริงๆ! ข้าต้องขอบคุณล่วงหน้าแล้ว!”
มู่หรงไท่ส่งสายตาให้เยี่ยหนานเฟิง พร้อมรอยยิ้มแฝงความพอใจในอำนาจที่ได้มาส่วนหนึ่ง ก่อนออกจากประตูจวนอ๋อง
จวนรองเจ้ากรม
พออวิ๋นเสวียนฉั่งได้รับจดหมายจากมารดาว่าจะมาเมืองหลวง ก็รีบบอกให้บ่าวในบ้านเก็บกวาดเรือนปีกตะวันตกให้ถงฮูหยินพักอาศัย
เขาเคยเชิญมารดาให้มาตั้งหลายครั้งแล้ว แต่อย่างไรถงฮูหยินก็ไม่ยอมมา ก็เพราะไม่ยอมจากบ้านโกโรโกโสหลังนั้น จะใช้ชีวิตอยู่ในชนบทกับพี่ชายและพี่สะใภ้ท่าเดียว
ซึ่งเช่นนี้ทำให้เขาลำบากใจยิ่ง เนื่องจากคนในต้าเซวียนเชิดชูความกตัญญู กระทั่งฮ่องเต้ก็ยังไม่กล้าอกตัญญู นับประสาอะไรกับขุนนางธรรมดาๆ เมื่อลูกชายได้เป็นขุนนาง บุพการีก็ควรได้ซึมซับเกียรติยศชื่อเสียงด้วย การทิ้งมารดาผู้ครองตนเป็นม่ายและเลี้ยงดูตนจนเติบใหญ่ไว้ในชนบท เกรงว่าอาจถูกผู้คนครหานินทา หรือพูดให้ร้ายแรงหน่อยก็คือ อาจส่งผลกระทบต่อตำแหน่งการงานในภายภาคหน้า
ทว่าเมื่อถงฮูหยินไม่ยอมมาอยู่ในที่ที่ไม่คุ้นเคย และเขาส่งคนไปจับตัวมารดามาดื้อๆ ไม่ได้ จึงได้แต่ส่งคนไปถามไถ่สารทุกข์สุกดิบบ่อยๆ เพื่อให้คนในราชสำนักรู้ว่า เขามิได้อกตัญญู แต่เป็นเพราะมารดาไม่ยอมมาเองจริงๆ
แต่ในที่สุดถงฮูหยินก็ยอมมาเมืองหลวงแล้ว โดยบอกว่าพอได้ยินข่าวเรื่องบ้านสวนโย่วเสียน ก็อยากจะมาเยี่ยมหลานสุดที่รักอวิ๋นจิ่นจ้งเสียหน่อย
แล้วเหตุไฉนอวิ๋นเสวียนฉั่งจะไม่อ้าแขนต้อนรับเล่า
ไม่เกินสองวัน เรือนของถงฮูหยินก็ถูกจัดการเรียบร้อย ปลอดโปร่ง กว้างขวาง สว่างไสว เหมาะสำหรับผู้สูงอายุยิ่ง อีกทั้งยังเลือกบ่าวที่คล่องแคล่วและปากหวานให้สามคน เป็นสาวใช้สองคนกับมอมอหนึ่งคน ให้ถงฮูหยินเรียกใช้ได้ตามความต้องการ
ตอนอวิ๋นหว่านชิ่นฝากคำพูดไปกับบ่าวนั้น ได้จงใจปล่อยข่าวออกมานิดหน่อยว่า ก่อนหน้านี้คุณชายติดเชื้อจากฮูหยิน จึงไปพักฟื้นร่างกายที่บ้านสวน แต่ใครจะคิดเล่าว่าขณะเที่ยวเล่นบนภูเขา คุณชายไม่ทันระวัง ตกลงไปในหน้าผา และถูกคุณหนูใหญ่ช่วยขึ้นมา เดชะบุญที่คนดีฟ้าคุ้มครอง บรรพชนสกุลอวิ๋นปกป้อง สุดท้ายสองพี่น้องจึงก็ไม่เป็นอะไร
ตอนฟังข่าวนั้น ถงฮูหยินกำลังเก็บผักในแปลงด้วยตัวเองอยู่ พอได้ยินว่าหลานป่วยและคิดจะไปพักฟื้นที่บ้านสวน ก็ร้อนใจแล้ว พอได้ยินอีกว่าไปเที่ยวเล่นจนตกหน้าผา ก็คว่ำชะลอมผัก แล้วลุกขึ้นยืน
ถงฮูหยินก็เหมือนคนเฒ่าคนแก่ในชนบทส่วนใหญ่ ที่รักเด็กผู้ชายมากกว่าเด็กผู้หญิงมากๆ อวิ๋นจิ่นจ้งเป็นหลานชายคนโตของลูกชายคนที่สองซึ่งอายุย่างสี่สิบแล้ว แต่ก็มีหน่อเนื้อเชื้อไขแค่คนเดียว ทำไมถึงไม่ทะนุถนอมให้ดี พอได้ยิน จึงร้อนใจยิ่ง จับแขนบ่าวผู้นั้นไว้ พลางว่า
“จิ่นจ้งตอนนี้เป็นอย่างไรแล้ว หายป่วยหรือยัง ตกหน้าผาบาดเจ็บหรือเปล่า ขอสวรรค์คุ้มครอง เพิ่งอายุได้ไม่กี่ขวบ ก็ต้องมาแบกรับความผิดร้ายแรงเสียแล้ว!”
บ่าวทำตามที่เมี่ยวเอ๋อร์กำชับไว้ ค่อยๆ ตอบอย่างใจเย็น “เรียนท่านย่า คุณชายไม่เป็นอะไรมาก เพียงแต่บางครั้งเหงื่อออกกลางดึกเพราะฝันร้ายอยู่บ้าง แต่ท่านย่าวางใจ น่าจะเป็นเพราะตกใจ บำรุงร่างกายสักระยะ ก็น่าจะไม่มีปัญหา…”
ถงฮูหยินถลึงตามอง แบบนี้ยังเรียกว่าไม่มีปัญหาอีก! เด็กๆ ที่ผ่านเหตุการณ์รุนแรงมา ถ้าบอกว่ามีอาการซึมเศร้า ก็จะยิ่งซึมเศร้าลงไปอีก ในหมู่บ้าน ลูกชายของชาวบ้านหลายคน ตอนอายุสามขวบเดินออกจากประตูบ้าน แล้วถูกสุนัขตัวโตสีดำกัด พอกลับถึงบ้านก็ตัวร้อน แล้วหมดลมหายใจในเวลาต่อมา
ซึ่งถงฮูหยินลืมไปว่า หลานของนางกำลังจะสิบขวบแล้ว แต่ต่อให้โตแค่ไหน ก็ยังเป็นเด็กในสายตาของนางอยู่วันยังค่ำ!