ถงฮูหยินโยนเคียวตัดผักทิ้ง ไม่ทงไม่ทำมันละแปลงผัก บ้านเจ้าลูกชายคนรองนี่ เลี้ยงลูกชายประสาอะไรกัน ก็รู้ว่าเป็นขุนนางงานยุ่ง แต่เมียก็มีมิใช่รึ เมียที่เลื่อนขั้นขึ้นมาเป็นแม่เลี้ยงน่ะ หรือนางไม่ใส่ใจหลานข้าจริงๆ? เรื่องแม่เลี้ยงทำร้ายลูกเลี้ยง ถงฮูหยินเห็นมาเยอะแล้ว
บ้านไหนที่ลูกไม่มีแม่ผู้ให้กำเนิดหรือผู้สูงอายุคอยดูแลจัดการ วางใจไม่ได้จริงๆ จึงกำชับให้บ่าวกลับไปรายงานนายที่จวนสกุลอวิ๋นว่า อีกสองสามวัน ตนจะไปหาที่เมืองหลวง
บ่าวจีงรีบรับคำ “เย่! ขอรับ เช่นนั้นบ่าวจะรีบกลับไปบอกนายท่าน ให้เตรียมรถม้ามารับท่านย่า!”
พี่ใหญ่สกุลอวิ๋นและพี่สะใภ้มีลูกด้วยกันสี่คน ชายสามหญิงหนึ่ง พี่ใหญ่ไปด้วยไม่ได้ เพราะต้องเฝ้าบ้านบรรพบุรุษและที่ดินสิบกว่าไร่กับลูกชายคนโต แต่เขาก็วางใจ เมื่อแม่จะไปบ้านน้องชาย จึงเตรียมของล้ำค่าให้แม่เอาไปด้วย
เมื่อปีกลาย พี่สะใภ้เพิ่งคลอดลูกชายชื่ออาชิง ตอนนี้จึงยังไม่สองขวบดี ถงฮูหยินเลี้ยงเองกับมือแต่อ้อนแต่ออก เด็กน้อยจึงติดหนึบมาก ไปทำงานในไร่ยังต้องพาไปด้วย ถงฮูหยินจึงวางใจไม่ลง อยากจะพาเข้าเมืองไปด้วย
ส่วนพี่สะใภ้แซ่หวง ชื่อน้าสี่ โตมาจากท้องไร่ท้องนา ตั้งแต่รู้ว่าน้องเขยได้เป็นขุนนางในราชสำนัก กินตำแหน่งรองเจ้ากรมกลาโหมนั้น ก็ใฝ่ฝันที่จะไปเปิดหูเปิดตา เยี่ยมเยียนจวนรองเจ้ากรมที่เมืองหลวงมาโดยตลอด ครั้งนี้พอได้ยินว่าแม่สามีจะไป ก็จงใจลากลูกสาวคนโตกับลูกชายคนรองมาเล่าให้ฟังว่า ท่านย่ากำลังจะไปบ้านท่านอาในเมืองหลวงที่คึกคักและน่าสนุกมาก
พอเด็กทั้งสองรู้ว่าสามารถไปเมืองหลวงที่มีของดีๆ กินและมีที่ให้เที่ยวมากมาย ก็มาเกาะแกะท่านย่าไม่ยอมปล่อย ซึ่งถงฮูหยินที่เอ็นดูหลานอยู่เป็นทุนเดิม ไหนเลยจะปฏิเสธลง หวงน้าสี่จึงถือโอกาสบอกว่า เมื่อเด็กๆ ในบ้านไปกันหมด นางในฐานะแม่รู้สึกไม่ไว้วางใจ ขอไปด้วยคนดีกว่า ซึ่งนางยังสามารถดูแลท่านย่าได้อีกแรง ถงฮูหยินอ่านความคิดของลูกสะใภ้ออก จึงรับปาก
ดังนี้ สมาชิกครอบครัวสกุลอวิ๋นห้าคน ซึ่งประกอบด้วยเด็ก สตรีและคนชรา ก็เดินทางออกจากชนบทของไท่โจวอย่างห้าวหาญ…เร่งรีบไปยังบ้านบุตรชายคนรองในเมืองหลวง
อวิ๋นเสวียนฉั่งมารับมารดาที่หน้าบ้าน พอเห็นพี่สะใภ้พาหลานๆ มาด้วย ก็ผิดคาด แต่ก็ยังต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี ก่อนบอกให้บ่าวไปเตรียมที่นอนเพิ่มในเรือนปีกตะวันตกอย่างฉุกละหุก
พอจัดการเสร็จ อวิ๋นเสวียนฉั่งก็พูดจากับมารดาไม่กี่คำ จากนั้นก็กำชับให้ไป๋เสวี่ยฮุ่ยดูแลทุกอย่างให้ดี อย่าผิดพลาดเป็นอันขาด ก่อนขอตัวไปทำงานที่กรมกลาโหมต่อ
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยในฐานะแม่ของลูก จึงต้องทำการต้อนรับญาติฝ่ายสามีที่มาเยี่ยมบ้านเป็นครั้งแรก ด้วยการพาถงฮูหยินกับพี่สะใภ้และครอบครัวไปยังเรือนตะวันตก จากนั้นก็เรียกบ่าวแต่ละคนให้เข้ามาแนะนำตัว สุดท้ายค่อยบอกให้สาวใช้นำเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ถั่วอัลมอนด์ และตังเม มาวางไว้บนโต๊ะ
หวงน้าสี่มีลูกที่โตคลานตามกันมาสองคน ลูกสาวชื่ออาจู้ อายุเก้าขวบ ผิวค่อนข้างคล้ำ หน้าตาไม่เลว นิสัยเจ้ากี้เจ้าการคล้ายท่านย่า แก่นแก้วและปากจัด
อีกคนชื่ออาเม่า เพิ่งจะเจ็ดขวบ ซนเหมือนลิงพอกัน หลุกหลิกและอยู่ไม่สุข พอเข้ามาในจวนก็กวาดตามองไปทั่ว วิ่งไปวนมาและร้องเสียงดัง หรือไม่ก็โต้เถียงกับพี่สาว
ถงฮูหยินอุ้มอาชิงไว้ในอ้อมอก เพราะพอเข้าบ้านมา อาชิงก็ร้องไห้จ้า อาจเป็นเพราะหนทางขรุขระ ทำให้ระหว่างทางดูดนมได้ไม่อิ่ม รวมทั้งมาอยู่ในที่ที่แปลกตา แต่ก็ถูกกล่อมจนสงบลงจนได้
ลำพังแค่เด็กไม่กี่คนส่งเสียงดังลั่นบ้าน ทำให้ไป๋เสวี่ยฮุ่ยหัวโตไม่ว่า แต่ถงฮูหยินกับพี่สะใภ้หวังน้าสี่นี่สิ ที่ทำให้นางอดดูหมิ่นไม่ได้
ถงฮูหยินเป็นหญิงสูงวัยตามบ้านนอกคอกนา ใส่เสื้อผ้าเนื้อหยาบ มือเท้าหยาบใหญ่ เนื้อตัวมีกลิ่นผักดองและหัวไชเท้า เนื่องจากอายุมาก หูไม่ค่อยได้ยิน จึงพูดเสียงดัง เสียงพูดคล้ายเสียงฆ้องกลอง ทุกครั้งที่ฟังนางพูด ไป๋เสวี่ยฮุ่ยเป็นต้องขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่กล้าชักช้ารีรอ รับปากไปอย่างนุ่มนวล
ถ้านับว่าถงฮูหยินเป็นคนเจ้าระเบียบอยู่บ้าง เช่นนั้น พี่สะใภ้หวังน้าสี่ก็เป็นคนหยาบคาย ไร้ซึ่งการอบรมบ่มนิสัยดีๆ นี่เอง
หวังน้าสี่หน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ เนื่องจากทำงานในท้องไร่ท้องนามานานหลายปี จึงเอวหนาร่างใหญ่ ผิวพรรณหยาบกร้าน ท่าทางเด๋อๆ ด๋าๆ เห็นว่าเมืองหลวงมีคุณหญิงคุณนายมากมาย กลัวว่าตนจะดูไม่ดี จึงใส่เสื้อผ้าตัวใหม่ แต่ก็ยังเป็นแบบเชยๆ ที่ตกรุ่นแล้ว พอยืนเทียบกับไป๋เสวี่ยฮุ่ย จึงต่างกันราวฟ้ากับเหว
พอสาวใช้ยกลูกกวาดและขนมเข้ามา พี่จู้กับน้องเม่าก็ตาลุกวาวทันที กระโดดเข้าหา แล้วกินกันอย่างมูมมาม คายเปลือกและเม็ดทิ้งเกลื่อนกลาด
ถงฮูหยินวางอาชิงไว้บนเตียง ให้เด็กคลานไปคลานมา แต่คลานไปได้ไม่เท่าไหร่ ก็ปัสสาวะ ทำให้ที่นอนและผ้าปูที่นอนชั้นดีราคาแพงเปียกแฉะ
หวังน้าสี่เข้าเมืองเป็นครั้งแรก จึงตื่นตาตื่นใจจนเหนื่อยล้า ไหนเลยจะมีแรงมาสนใจเด็กๆ ตนเองหาที่นั่งเหมาะๆ แล้วหยิบเมล็ดทานตะวันไปหนึ่งกำมือ นั่งแทะอย่างสบายอารมณ์
ภาพตรงหน้า สุดๆ จริงๆ เล่นเอาไป๋เสวี่ยฮุ่ยไม่สบอารมณ์อยู่บ้าง เดิมทีคิดว่าก็แค่ดูแลแม่เฒ่าจากบ้านนอกคนเดียว ไม่คิดว่า ต้องดูแลคนบ้านนอกครอบครัวหนึ่งไปอีกหลายวัน แต่ไม่มีทางเลือก การดูแลญาติผู้ใหญ่ถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของลูกสะใภ้ ผลักภาระให้ใครไม่ได้ ท่านพี่ก็กำชับแล้วว่า ถงฮูหยินนานๆ มาที คนรอบข้างจับตาดูอยู่มากมาย! ต้องดูแลให้ดี อย่าทำอะไรผิดพลาด ที่ทำให้คนนอกเอาไปนินทาได้
ขณะไป๋เสวี่ยฮุ่ยกำลังคิด สาวใช้ก็นำที่นอนกันน้ำเข้ามาเปลี่ยนให้อาชิง
ถงฮูหยินบ่นสาวใช้ที่ทำอะไรชักช้า ด้วยเกรงว่าเด็กจะหนาวที่ไม่ได้ใส่กางเกง จึงอุ้มอาชิงไว้ พลางกวาดตามองไปรอบๆ พอเห็นพี่สะใภ้นั่งแทะเมล็ดทานตะวัน และเด็กสองคนก็เอาแต่วิ่งเล่น มีเพียงไป๋เสวี่ยฮุ่ยที่สองมือยังว่างอยู่ จึงยกอาชิงให้อุ้ม แล้วแย่งที่นอนกันน้ำจากมือสาวใช้ มาปูเอง
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยยังไม่ทันตั้งตัว ในอกก็มีเด็กเพิ่มมาคนหนึ่ง กลิ่นปัสสาวะโชยเตะจมูก เท้าที่เปียกปัสสาวะของ
เด็ก เลอะโดนเสื้อผ้านาง จะทำท่ารังเกียจก็ไม่ได้
วันนี้นางอุตส่าห์แต่งตัวให้ดูสง่างามเป็นพิเศษ มาต้อนรับแม่สามีจากต่างเมือง เพื่อให้โดดเด่นสมกับเป็นนายหญิงของจวนรองเจ้ากรม เพื่อไม่ให้แม่สามีดูแคลนที่ตนเคยเป็นอนุมาก่อน
ชุดนี้เป็นเสื้อผ้าราคาแพงที่นางเลือกจากร้านขายเสื้อผ้าที่ดีที่สุดในเมืองหลวง เป็นชุดกระโปรงจีบรอบตัวสีหยกลายดอกไม้โปรยปราย สวมทับด้วยเสื้อกั๊กผ้าไหมห้าสีฝังพลอยไพลินเม็ดเล็กๆ แต่ตอนนี้เลอะไปด้วยปัสสาวะเด็ก เนื้อผ้าถูกทำลาย ใส่ซ้ำสองไม่ได้อีก ย่อมหงุดหงิดใจยิ่ง ในใจก่นด่า อีแก่บ้านนอก
พอหวังน้าสี่เห็นไป๋เสวี่ยฮุ่ย ที่ไม่ว่ารูปร่างหน้าตา ลักษณะท่าทาง หรือการแต่งหน้าแต่งตัว ล้วนเหนือกว่าตนเอง เดิมทีก็รู้สึกอิจฉาอยู่ ด้วยในหมู่สะใภ้ด้วยกันเอง จะมากหรือน้อยก็ล้วนถูกนำมาเปรียบเทียบ ตอนนี้พอเห็นไป๋เสวี่ยฮุ่ยหน้ายุ่ง ก็รู้ทันทีว่านางรังเกียจลูกชายตน จึงเขวี้ยงเมล็ดทานตะวันลง แล้วว่า
“น้องสะใภ้ ฉี่อาชิงเป็นฉี่เด็ก ถ้าเลอะเสื้อผ้าถือว่าโชคดี เพื่อนบ้านพี่ ยังมาหาพี่เป็นประจำ เพื่อขอฉี่อาชิงไปทำยา!”
คลื่นไส้สิ้นดี พวกบ้านนอกชั้นต่ำ