ตอนที่ 66-5 ญาติชั้นเยี่ยมมาถึง

ยอดหญิงอันดับหนึ่ง

ไป๋เสวี่ยฮุ่ยนึกสะอิดสะเอียนในใจ แต่ไม่แสดงสีหน้าออกมา พอเห็นว่าหวังน้าสี่ยังไม่เข้ามารับลูกชายของนางไปอุ้มต่อ ก็ขมวดคิ้วน้อยๆ ก่อนพูดจาละมุนละม่อม

 

 

“พี่สะใภ้ ท่านดูสิ อาชิงกำลังร้องไห้ น่าจะอยากหาแม่แล้ว น้องเกรงว่าจะเอาไม่อยู่ อาจทำให้เด็กสะอึกได้ อย่างไร ท่านมาอุ้มดีกว่า จะได้ใส่ผ้าอ้อมให้ลูกด้วย”

 

 

หวงน้าสี่เห็นน้ำเสียงและท่าทีที่นุ่มนวลเช่นนี้ ก็รู้ว่าตนหัดไม่ได้ จึงอิจฉาและรังเกียจอยู่บ้าง ด้วยรู้ว่าไป๋เสวี่ยฮุ่ยเลื่อนชั้นขึ้นมาจากอนุ ข่าวว่าเดิมทีนางเป็นญาติห่างๆ ของฮูหยินน้องเขย และได้เสียกับน้องเขยก่อนที่จะมาเป็นอนุ ที่แท้ฮูหยินน้องเขยหรือสวี่ฮูหยินก็รังเกียจนางจนตรอมใจตายเช่นนี้นี่เอง เห็นทีตำแหน่งไป๋ฮูหยินที่ได้มา น่าจะเป็นการประเคนให้น้องเขยถึงที่มากกว่า แล้วตอนนี้จะมาอ่อนน้อมถ่อมตนให้ผู้หญิงด้วยกันเองทำไม ทำให้ใครดู ที่นี่ไม่มีผู้ชายสักหน่อย

 

 

พอคิดถึงตรงนี้ หวงน้าสี่ก็พูดด้วยท่าทีกลางๆ “โอ๊ยโย๋ น้องสะใภ้ทำอย่างกับไม่เคยมีลูกมาก่อน แม้ยังไม่มีลูกชาย แต่ก็มีเฟยเอ๋อร์มาแล้วนี่ เคยเช็ดฉี่เช็ดอึ เลี้ยงเฟยเอ๋อร์จนกำลังจะออกเรือนอยู่รอมร่อ ทำไมถึงอุ้มเด็กน้อยอย่างอาชิงลูกพี่ไม่เป็นเสียล่ะ” 

 

 

เมื่อเชือดเสร็จ ค่อยยื่นมือทั้งสองข้างออกอย่างเกียจคร้าน รับลูกมาอุ้มต่อ

 

 

คำพูดนี้ทำให้ถงฮูหยินหันขวับ คิ้วขาวค้างนิ่ง จ้องไป๋เสวี่ยฮุ่ยไม่แรงแต่ก็ไม่เบา แววตาโดยรวมไม่พอใจ

 

 

ไป๋เสวี่ยฮุ่ยหน้าแดงไปถึงใบหู คำพูดของหวงน้าสี่ หนึ่ง ต้องการเย้ยหยันที่นางไม่มีลูกชาย สอง ต้องการถากถางที่ลูกสาวคนเดียวของนางกำลังจะแต่งไปเป็นอนุ

 

 

เรื่องอวิ๋นหว่านเฟยกำลังจะไปเป็นอนุในจวนโหว ถงฮูหยินกับหวงน้าสี่ได้ข่าวก่อนที่จะมาถึง เพียงแต่ยังไม่เคยได้ยินเรื่องอื้อฉาวในจวนโหวของอวิ๋นหว่านเฟยเท่านั้น ซึ่งอวิ๋นเสวียนฉั่งบอกให้บ่าวปิดเป็นความลับ เพื่อไม่ให้มารดากลุ้มใจ ถ้าให้คนทั้งสองรู้ เกรงว่าหวงน้าสี่จะยิ่งพูดคำพูดดีๆ ออกมากลบฝังน้องสะใภ้แน่

 

 

ไป๋เสวี่ยฮุ่ยไม่อยากลดตัวลงไปเสวนากับหวงน้าสี่ จึงคร้านที่จะตอบโต้ แต่พอเห็นพี่จู้กับน้องเม่าทิ้งเปลือกเมล็ดทานตะวัน เปลือกถั่ว และคายเม็ดบ๊วย กลาดเกลื่อนเต็มพื้นห้อง ก็เรียกสาวใช้ให้เข้ามาตามความเคยชิน

 

 

“สกปรกจะตายชัก ไปเอาไม้กวาดมากวาดๆ หน่อยเร้ว”

 

 

หวงน้าสี่จ้องมองน้องสะใภ้ไม่วางตา พอได้ยินประโยคนี้ ก็ยิ้มเย็นชา “เรามันคนบ้านนอก อะไรก็ไม่รู้เรื่องหรอก รู้อยู่แต่ว่า ถ้ามีแขกมาบ้าน ต่อให้แขกทำสกปรกแค่ไหน เราในฐานะเจ้าบ้าน ก็ไม่มีทางกวาดทำความสะอาดต่อหน้าแขกแน่ เพราะการกวาดขยะ ถือเป็นการกวาดไล่แขก”

 

 

ไป๋เสวี่ยฮุ่ยอึ้ง เริ่มไม่สบอารมณ์ “พี่สะใภ้ พื้นสกปรก ทำความสะอาดนิดหน่อย มันผิดตรงไหน น้องกลัวแต่ว่าท่านย่าจะหกล้ม”

 

 

“เอ๊ะ แต่เมื่อครู่น้องสะใภ้ไม่ได้พูดแบบนี้นี่ พูดว่า สกปรกจะตายชัก นะ”

 

 

ไป๋เสวี่ยฮุ่ยนับว่าเข้าใจแล้ว หวงน้าสี่ตั้งแง่กับตน เพราะไม่ชอบขี้หน้าตน ช่างปะไร ขี้คร้านจะจุกจิกกับ

 

 

หญิงชาวบ้าน นางแสดงความริษยาให้เห็นจนหมดเปลือก เป็นผู้หญิงของบ้านสกุลอวิ๋นเหมือนกัน แต่นางแต่งกับพี่ใหญ่ที่เป็นชาวไร่ชาวนา ส่วนตนแต่งกับรองเจ้ากรมกลาโหม

 

 

พอคิดได้เช่นนี้ ไป๋เสวี่ยฮุ่ยก็เชิดหน้าใส่อย่างดูหมิ่น ดึงผ้าเช็ดหน้าออกมา ไม่พูดด้วยอีก

 

 

เมื่อหวงน้าสี่เห็นไป๋เสวี่ยฮุ่ยทำหน้าเย็นชาใส่ตน ก็เบ้ปากกลับ

 

 

เชอะ ยังมีหน้ามาทำเชิด ข่าวว่าเจ้าก็เป็นอีบ้านนอกเหมือนกันนี่ แค่หนีความยากลำบากมาเข้ากรุง แล้วอยู่ในกรุงมาสิบกว่าปี กับปีนขึ้นเตียงคนอื่นเขาก่อน ก็ถือว่าเก่งแล้วรึ นังจิ้งจอก!

 

 

ถงฮูหยินมิได้ใส่ใจการปะทะคารมของสะใภ้ทั้งสอง เปลี่ยนผ้าอ้อมให้หลานเสร็จ ก็นั่งลง แล้วเหลือบตามองไป๋เสวี่ยฮุ่ย พอเห็นนางหน้าเขียว ก็นึกถึงเรื่องอวิ๋นจิ่นจ้ง ภาพลักษณ์ที่ไม่ดีของนางฝังใจ ทำให้สงสัยในใจ

 

 

ตอนเห็นเมียของฉั่งเอ๋อร์ที่หน้าประตูจวนเป็นครั้งแรกนั้น นางแต่งตัวดึงดูดสายตามาก หาความเรียบง่ายไม่มี ก็รู้แล้วว่า เมียของลูกชายคนรองเป็นคนฟุ้งเฟ้อ ตอนนี้แค่อุ้มอาชิงเดี๋ยวเดียว เลอะฉี่เด็กหน่อยเดียว ก็หน้าดำแล้ว ไหนเลยจะทนความยากลำบากได้

 

 

แบบนี้เห็นที จะหวังให้นางเลี้ยงดูจิ่นจ้งให้ดีไม่ได้แล้วจริงๆ

 

 

พอคิดถึงตรงนี้ ท่านย่าก็ถาม “นี่ ทำไมพวกจิ่นจ้งยังไม่มากันอีก”

 

 

ไป๋เสวี่ยฮุ่ยเหมือนโล่งใจ ได้โอกาสไปจากที่เหม็นๆ เสียที ในห้องมีแต่กลิ่นโคลนสาบควายแบบบ้านนอก จึงลุกขึ้นยืน “ลูกขอตัวไปดูหน่อยนะเจ้าคะ”

 

 

แต่พอเดินไปถึงธรณีประตู นอกเรือนก็มีเสียงฝีเท้าดังมา

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นกับอวิ๋นจิ่นจ้ง ยังมีอวิ๋นหว่านเฟย อวิ๋นหว่านถง และอนุฟางกำลังเดินเข้ามาพร้อมกัน

 

 

ทุกคนเข้ามาทักทายท่านย่า แล้วค่อยทักทายพูดคุยกับหวงน้าสี่ สาวใช้ยกเก้าอี้ผ้าแพรมาหลายตัว ลูกหลานบ้านสกุลอวิ๋นน้อยใหญ่นั่งล้อมวงท่านย่า

 

 

ด้วยต้องการเอาใจและตีสนิทแม่สามี ไป๋เสวี่ยฮุ่ยจึงส่งสายตาให้ลูกสาว แล้วยิ้ม

 

 

“ท่านแม่ นี่คือเฟยเอ๋อร์ ท่านน่าจะยังไม่เคยเห็นนางมาก่อน”

 

 

อวิ๋นหว่านเฟยรีบก้าวเข้าหา สองมือประสานไว้ที่เอวข้างหนึ่ง ย่อตัวถอนสายบัว พลางพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน “ท่านย่า”

 

 

ถงฮูหยินเห็นนางสวมเสื้อผ้าลักษณะเดียวกันกับสะใภ้ไป๋ รู้สึกเตะตาเกินไป จึงไม่ค่อยชอบ แต่หน้าตาก็จิ้มลิ้มดี อย่างไรก็เป็นหลานสาวตน จึงยิ้มให้แล้วจับมือไว้

 

 

“อ้อ คุณหนูที่กำลังจะแต่งเข้าจวนโหวใช่ไหม ดูดีมีสกุลแบบนั้นจริงๆ!” หวงน้าสี่พูดพลางยิ้มอยู่อีกด้าน

 

 

ไป๋เสวี่ยฮุ่ยหน้าซีด ตีหน้าขรึม นี่กำลังแอบเย้ยหยันลูกสาวตนที่กำลังจะไปเป็นอนุนี่!

 

 

พอถงฮูหยินได้ยิน รอยยิ้มน้อยๆ บนใบหน้าสูงวัยก็ชะงักค้าง ถอนหายใจออกมา คุณหนูจริงๆ ไหนเลยจะแต่งไปเป็นอนุได้

 

 

คนแก่หัวโบราณล้วนคิดว่าอนุมีชาติกำเนิดที่ต้อยต่ำ หรือไม่ก็ที่บ้านยากจน ไม่มีทางเลือก ส่วนบ้านที่มี

 

 

อันจะกินขึ้นมาหน่อย ลูกสาวย่อมแต่งไปเป็นฮูหยิน ถ้าตนกลับไท่โจวไป จะมีหน้าไปบอกใครได้เล่าว่า ตนมีหลานแต่งไปเป็นอนุ! ตนก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ลูกชายคิดอะไรอยู่

 

 

สีหน้าถงฮูหยินซีดลงไปบ้าง แต่ก็ยังพยายามพูดอย่างอ่อนโยน “ปกติอยู่บ้านทำอะไรจ๊ะ”

 

 

พออวิ๋นหว่านเฟยได้โอกาสพูด ก็รีบเชิดหน้ายืดอก แล้วตอบอย่างนอบน้อม

 

 

“ก็เหมือนคุณหนูทั่วไปเจ้าค่ะ หนังสือตำราต่างๆ อย่าง กฎระเบียบข้อห้ามสตรี สี่หนังสือห้าคัมภีร์ กวีนิพนธ์และปกิณกคดีขงจื่อ หลานไม่เพียงแต่อ่าน ยังท่องจำได้ด้วย”

 

 

ถงฮูหยิน “…..”       

 

 

ผู้เฒ่าผู้แก่ในชนบทไหนเลยจะเคยได้ยินชื่อหนังสือที่น่าปวดหัวเช่นนี้ แม้รู้ว่าเป็นหนังสือที่เหล่าคุณหนูอ่านกัน แต่แค่ชื่อก็ทำให้ตาลายแล้ว จึงไม่มีอะไรจะพูดกับอวิ๋นหว่านเฟยอีก ฝืนยิ้มให้ พลางคลายมือออก

 

 

อวิ๋นหว่านเฟยรู้สึกเสียหน้า ใบหน้าจึงบัดเดี๋ยวแดงบัดเดี๋ยวขาว ขณะถอยกลับไปนั่งที่เดิม

 

 

อวิ๋นหว่านถงจึงเยื้องกรายเข้าไป แล้วย่อตัวลงต่ำ จนเกือบจะนั่งยองๆ ก่อนพูดอย่างนุ่มนวล

 

 

“คารวะท่านย่า”

 

 

เป็นเพียงลูกอนุ แต่เข้าตาคนแก่มากกว่า ถงฮูหยินจึงมองถงเอ๋อร์อีกครั้ง นางสวยสู้เฟยเอ๋อร์ไม่ได้ก็จริง แต่ก็แต่งเนื้อแต่งตัวได้เรียบง่ายดี ไม่ฉูดฉาดมาก ทว่ายังเด็กอยู่แท้ๆ แต่กลับเดินบิดเอวบิดบั้นท้าย จนดูตลกพิกล เห็นชัดว่าภายนอกดูอ่อนน้อมเชื่อฟัง แต่ภายในกระสับกระส่าย ไม่พอใจในสิ่งที่เป็นอยู่ อนุเลี้ยงดูก็เช่นนี้ล่ะ…ถงฮูหยินไม่พูดสักคำ ส่งเสียงอ้อ ออกมาคำเดียว

 

 

อวิ๋นหว่านชิ่นมิได้เข้าไปแย่งออดอ้อนท่านย่า เพียงยิ้มพลางผลักอวิ๋นจิ่นจ้งที่อยู่ข้างๆ ให้เข้าสู่อ้อมอกท่านย่า “ยังไม่เข้าไปคุยกับท่านย่าอีก”

 

 

ครั้งนี้ถงฮูหยินมาก็เพื่อกอดหลานชายคนโต พอเห็นหลานสาวคนโตพิถีพิถัน เอาใจเขามาใส่ใจเรา รู้กาลเทศะเช่นนี้ ก็ดึงแขนอวิ๋นจิ่นจ้งเข้ามา บีบซ้ายนวดขวา คุยกับหลานสุดที่รักอย่างชื่นมื่นอยู่ครึ่งค่อนวัน ค่อยหันมามองอวิ๋นหว่านชิ่น เห็นนางใส่ชุดกระโปรงป้ายสีชมพู ท่าทางสบายๆ ไม่แย่งกับน้องๆ แต่งหน้าแต่งตัวไม่อ่อนไม่เข้มจนเกินไป ถูกใจคนแก่ยิ่ง จึงยิ้มแล้วว่า

 

 

“เจ้าคือชิ่นเอ๋อร์หรือ มามา มานั่งข้างๆ ย่านี่”