อวิ๋นหว่านชิ่นจึงก้าวเข้าไป ย่อตัวลง “ท่านย่าเดินทางลำบากแล้ว”
“ชิ่นเอ๋อร์โตขนาดนี้แล้วหรือ ตอนที่ย่าเห็นเจ้า เจ้ายังตัวเล็กเท่าเข่าย่าเอง”
อวิ๋นหว่านชิ่นเป็นหลานสาวเพียงคนเดียวที่ถงฮูหยินเคยเห็น ตอนนั้นเป็นช่วงตรุษจีน อวิ๋นเสวียนฉั่งอุ้มอวิ๋นหว่านชิ่นกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดด้วย
“ชิ่นเอ๋อร์ก็จำท่านย่าได้เจ้าค่ะ ก่อนท่านย่าจะมา ชิ่นเอ๋อร์ยังเคยคิดว่า ท่านย่าจะตัวกว้างขึ้น หรือตัวแคบลง ตอนนี้ดูไปแล้ว ก็ไม่อ้วนไม่ผอม ยังเหมือนเดิมเปี๊ยบ!” อวิ๋นหว่านชิ่นหยอดคำหวาน
ถงฮูหยินถูกเยินยอจนหัวเราะเสียงดังออกมา นี่มิใช่แฝงความนัยว่าตนนั้นยังไม่แก่ ยังสาวอยู่เลยหรอกหรือ จึงกอดหลานสาวไว้ในอ้อมอก หอมไปหนึ่งที แล้วจับมือไว้ ไม่ยอมปล่อย
“เทพธิดาตัวน้อยของย่า…”
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยดูหมิ่นในใจ ตอนกลับบ้านนอก อวิ๋นหว่านชิ่นอย่างมากก็แค่สามขวบ จะจำได้อย่างไรว่าถงฮูหยินรูปร่างผอมหรืออ้วน จะโกหกทั้งที ก็น่าจะเนียนหน่อย! แย่ที่คนแก่อยู่มาจนปูนนี้แล้ว ยังเชื่อว่าจริงอีก
พออวิ๋นหว่านชิ่นเห็นสีหน้าของไป๋เสวี่ยฮุ่ย ก็อดไม่ได้ที่จะเบะปากยิ้ม
จวนรองเจ้ากรมไม่มีผู้อาวุโสอาศัยอยู่ จุดแข็งของไป๋เสวี่ยฮุ่ยคือการปรนนิบัติบุรุษ นางจึงไม่เคยมีประสบการณ์ในการปรนนิบัติผู้สูงวัย โดยเฉพาะท่านย่าที่ค่อนข้างดื้อรั้นและรับมือยากเช่นนี้
เมื่อชาติที่แล้ว ช่วงที่ตนอยู่กับสิงฮูหยิน หรือฮูหยินท่านโหวอาวุโสนั้น ผู้สูงวัยมีนิสัยอย่างไร ตนชัดเจนดี ถึงคำหวานเป็นคำโกหก ก็ใช้เป็นกุญแจที่ไขประตูได้ทุกบาน
พอถงฮูหยินคุยกับหลานสาวคนโตได้สองสามประโยค ก็หันไปมองอวิ๋นจิ่นจ้งอีก ก่อนจับตัวเขาเข้ามาถามไถ่สารทุกข์สุกดิบอย่างละเอียดลออ ชนิดรักเท่าไหร่ก็ไม่รู้จบ
ท่านย่ามีหลานชายสามคน อาชิงยังเล็ก ส่วนน้องเม่าก็เป็นเด็กผู้ชายตามชนบทที่ชอบเที่ยวเล่นซุกซน แต่อวิ๋นจิ่นจ้งนั้นต่างออกไป เขาเป็นเด็กผู้ชายที่น่ารักไร้เดียงสา อ่อนโยน มีมารยาท และสง่างามแบบคุณชายน้อยในเมือง
วันนี้พอเห็นอวิ๋นจิ่นจ้ง ที่ผิวขาวเนียนนุ่มนิ่ม สะอาดสะอ้าน หน้าตาหล่อเหลา ก็รู้สึกว่าเขาเหมือนเด็กผู้ชายศิษย์รับใช้ข้างกายพระโพธิสัตว์กวนอิมอย่างไรอย่างนั้น เห็นชัดว่าถงฮูหยินรักเข้าเส้น จนน้ำตาไหลออกมา
“หลานที่น่ารักของย่า เจ้าเกือบทำให้ย่าหัวใจวายตายแล้วรู้ไหม ไปรักษาตัวอยู่ดีๆ ไหงตกเขาไปได้ล่ะ บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า” เหมือนนึกอะไรขึ้นได้ จึงหันมองอวิ๋นหว่านชิ่น พลางขมวดคิ้ว
“ได้ยินว่าชิ่นเอ๋อร์เป็นคนเสนอให้ไปบ้านสวนรักษาตัวหรือ เฮ้อ…อย่าหาว่าย่ามาถึงก็ตำหนิเจ้าเลย รักษาตัวอยู่แต่ในบ้านไม่ได้หรือ ทำไมต้องออกไปเที่ยวเล่นด้วย เจ้าเป็นผู้หญิงยิงเรือ อายุก็ไม่เท่าไหร่ ออกนอกบ้านไปโดยเฉพาะป่าลึกแบบนั้น ถ้าเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นมา เจ้าจะรับมืออย่างไร ถ้าไม่ใช่เพราะ…โชคดีที่บรรพบุรุษเรา
ทำบุญไว้มาก ถึงได้ไม่เป็นไร ถ้าเกิดเป็นไรขึ้นมา เจ้าจะทำอย่างไร”
บรรยากาศในห้องพลันตึงเครียดขึ้น
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยลอบหัวเราะ เฮอะ ปากหวาน รู้จักเอาอกเอาใจคนแก่แล้วไง ในใจท่านย่า อย่างไรหลานชายก็มาก่อน หรือว่า กำลังจะถูกด่าแล้ว คิกคิก
“ท่านย่า” พออวิ๋นจิ่นจ้งเห็นท่านย่ามีท่าทีว่าจะตำหนิพี่สาวต่อ ก็เกร็งกล้ามแขน ให้เห็นว่าตนนั้นแข็งแรง
“ท่านดูสิ ร่างกายหลานแข็งแรงดี ที่ท่านถามว่าจะรับมืออย่างไร นับว่าถามถูกทางแล้ว ท่านพี่รับมือได้สบายมาก! รีบติดต่อไปยังที่ว่าการอำเภอหลิงอวิ๋น เจ้าหน้าที่จึงขึ้นเขา กระจายกำลังกันค้นหา ประหยัดเวลาไปมาก ถ้าไม่ใช่ท่านพี่ หลานคงไม่ใช่แค่ผิวถลอกนิดหน่อยแล้ว แต่ท่านพี่กลับต้องตกลงไปเพราะช่วยหลาน ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมถึงต้องไปบ้านสวน นี่ก็ไม่ใช่เพราะท่านพี่ดึงดันจะไป แต่ท่านหมอบอกว่า ในจวนมีคนป่วย หลานยังเด็ก ร่างกายอ่อนแอ ถ้าอยู่รวมกัน อาจติดเชื้อได้ ไปรักษาตัวในสถานที่อีกแห่งจะดีกว่า ซึ่งถ้าอยู่ในจวน เกรงว่าตอนนี้อาจยังไม่หายป่วยด้วยซ้ำ!”
อวิ๋นจิ่นจ้งพูดน้ำไหลไฟดับ คล่องแคล่วรื่นหู จนถงฮูหยินตะลึงงัน
นางก็ได้ยินมาก่อนเช่นกันว่า อวิ๋นหว่านชิ่นเป็นคนดึงหลานขึ้นมา แต่ตนเองกลับตกลงไปแทน ผ่านไปสองสามวันถึงได้หาตัวเจอ ตอนนี้พอได้ยินหลานรักพูด ความคิดที่จะตำหนิอวิ๋นหว่านชิ่นก็มลายหายสิ้น แววตากลับเปลี่ยนเป็นชื่นชมและยกย่อง พลางยิ้มให้
พูดก็พูด เชื้อเพลิงก็คือไป๋เสวี่ยฮุ่ย ถ้าไม่ใช่เพราะนางป่วยเป็นโรคติดต่อ หลานทั้งสองไหนเลยต้องออกจากบ้านไป
ถงฮูหยินเม้มปาก ขมวดคิ้วขาว ก่อนพูดทำนองบ่นไป๋เสวี่ยฮุ่ย “เมื่อสะใภ้รองป่วยเป็นโรคที่ติดต่อกันได้ ก็น่าจะพักรักษาตัวอยู่แต่ในห้อง ถ้าคิดถึงผู้อื่น ก็ควรบอกก่อนว่า ไม่ต้องให้เด็กๆ มาเยี่ยม แล้วทำไมถึงเรียกจิ่นจ้งไปพบที่ห้องล่ะ”
พออนุฟางเห็นท่านย่าเริ่มอบรมไป๋เสวี่ยฮุ่ย ก็รู้สึกสะใจ เหมือนได้ระบายอารมณ์ไม่ดีในหลายวันนี้ออกมา จึงนั่งเงียบคอยดูฉากต่อไป
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยกะพริบตาปริบๆ ด้วยคาดไม่ถึงว่า เชื้อเพลิงจะย้ายมาอยู่ที่ตนเองได้ จึงรู้สึกไม่เป็นธรรม รีบอธิบายเสียงออดอ้อน
“ท่านแม่ จะโทษลูกก็ไม่ได้ จิ่นจ้งเป็นคนไปหาลูกที่ห้องเอง”
เสียงออดอ้อนสั่นเครือเช่นนี้ อาจทำให้บุรุษเห็นใจ แต่สำหรับคนแก่ กลับให้ผลตรงข้าม
ถงฮูหยินเป็นคนตรงไปตรงมา ค่อนข้างปากจัด พอเห็นฮูหยินรองแสร้งทำตัวน่าสงสาร ก็รู้สึกขัดหูขัดตา จึงเอ็ดซ้ำ
“จิ่นจ้งสิบขวบ เจ้าล่ะกี่ขวบ เขาไม่รู้เรื่อง เจ้าก็พลอยไม่รู้เรื่องด้วยหรือ เขาไม่รู้อาการป่วยของเจ้า ถึงไปเยี่ยมเจ้าด้วยความกตัญญู แต่เจ้าในฐานะแม่ ทำไมไม่บอกเขาไปล่ะ ว่าไม่ต้องมา”
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยรู้แล้วว่า ตอนนี้ยิ่งพูดมากก็ยิ่งผิดมาก จึงกล้ำกลืนฝืนทน ไม่พูดจาอีก ก้มศีรษะลง คุ้นชินกับ
การเอาผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับที่หางตา แสดงให้เห็นว่าตนคือผู้บริสุทธิ์
หวงน้าสี่กำลังแทะเมล็ดทานตะวันอย่างเมามัน พอเห็นท่าทางนาง ก็ยิ้มแล้วว่า
“น้องสะใภ้ ถ้าท่านแม่อบรมพี่ พี่ต้องดีใจแทบไม่ทันแล้ว การที่ท่านแม่อบรมลูกหลาน ถือเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ถ้าท่านแม่ว่าผิด ลูกหลานก็ต้องผิด น้องสะใภ้จะร้องไห้ไปทำไม ท่านแม่พูดผิดหรือ อย่าทำเป็นอ่อนแอไปเลย มาๆ มาแทะเมล็ดทานตะวันกัน”
พอถงฮูหยินได้ยินคำพูดของสะใภ้ใหญ่ ก็ยิ่งไม่ชอบใจสะใภ้รอง แต่ก็คร้านที่จะสนใจ กลับดึงอวิ๋นจิ่นจ้งและอวิ๋นหว่านชิ่นเข้าไปพูดคุยต่ออย่างสนิทสนม
แม่สามีมาวันแรก ก็อบรมตนไปหนึ่งรอบ ต่อหน้าบ่าว อนุ และเด็กๆ กระทั่งหวงน้าสี่ สะใภ้ชาวบ้านที่หยาบคายก็กำลังยิ้มเยาะตน คืนนั้นทั้งคืน ไป๋เสวี่ยฮุ่ยจึงนอนคิดฟุ้งซ่านจนรู้สึกไม่ค่อยสบาย
โดยไม่คิดว่า นี่เป็นเพียงวันแรกเท่านั้น
การเดินดูทั่วจวนของย่าถง ทำให้กฎระเบียบในจวนเปลี่ยนแปลงไปบ้าง
ทุกเช้า ก่อนอรุณรุ่ง ไป๋เสวี่ยฮุ่ยต้องพาคนในบ้านไปเรือนตะวันตก คารวะผู้อาวุโส ช่วงพลบค่ำ ก็ต้องเข้าไปคารวะอีกรอบ และทุกวันนางก็ต้องเรียกบ่าวรับใช้ของเรือนตะวันตกมาถามดูว่า อาหารการกิน และการนอนหลับพักผ่อนของย่าถงเป็นอย่างไรบ้าง
ไป๋เสวี่ยฮุ่ยไม่เคยดูแลคนเฒ่าคนแก่ โดยเฉพาะถงฮูหยินที่มาจากชนบทและไม่คุ้นชินกับชีวิตประจำวันในจวนรองเจ้ากรม เช่น อาหารถ้าไม่ใส่พริกก็ไม่ถูกปาก หมาล่าใส่น้อยไป เตียงแข็งๆ ยังนอนสบายกว่า
เหล่านี้ไป๋เสวี่ยฮุ่ยโต้แย้งไม่ได้ ได้แต่อำนวยความสะดวกให้ ไม่เปลี่ยนให้ใหม่ ก็เพิ่มเข้าไป หลายวันต่อมา นางจึงปวดเอวปวดหลัง เมื่อยล้าไปหมด จิตใจที่คิดไปปรนนิบัติสามีจึงหายไปครึ่งหนึ่ง
ถ้าดูแลเฉพาะคนแก่ยังพอไหว แต่นี่มีครอบครัวพี่ใหญ่ ผู้ใหญ่หนึ่งเด็กสาม ให้ต้องดูแลอีก ไป๋เสวี่ยฮุ่ยจึงปวดเศียรเวียนเกล้ายิ่ง