บทที่ 1 ออกเรือน
ช่วงปลายเดือนสี่เข้าปลายเดือนห้าเป็นช่วงผลัดเปลี่ยนจากวสันตฤดูสู่คิมหันต์ ขณะนั้นสรรพสิ่งกลับมามีชีวิตชีวา ต้นหญ้าแลป่าดงพงไพรก็เริ่มเขียวขจี
หมู่บ้านชิงสือเป็นหมู่บ้านที่มีภูเขาอยู่ด้านหลัง คนในหมู่บ้านมีไม่มาก ชีวิตความเป็นอยู่หรือก็ค่อนข้างขัดสน โชคดีที่มีภูเขาพอประทานอาหารให้พอมีพอกิน ไม่ถึงขั้นอดตาย
หลังจากที่ฝนตกลงมา กลิ่นดินก็ลอยอวลอยู่ในอากาศ ให้ความรู้สึกสดชื่นแจ่มใส
วันนี้คนในหมู่บ้านไม่ได้ปลูกพืชหรือขึ้นเขาไปขุดหาผัก เรื่องนี้ช่างหาดูยากนัก คนทั้งหมดกลับไปที่บ้านหลังหนึ่งตรงกลางหมู่บ้านแทน
บ้านนั้นคือบ้านตระกูลจาง ซึ่งวันนี้ จางซิ่วเอ๋อ บุตรีคนโตแห่งตระกูลจางกำลังออกเรือน
คนในละแวกเดียวกันต่างแต่งกายดีอย่างหาดูได้ยาก ถึงจะเป็นเช่นนั้นก็ยังมีคนจำนวนไม่น้อยที่มีรอยปะบนเสื้อ คนเหล่านี้ส่วนใหญ่แล้วล้วนเป็นคนมีครอบครัว
มากินข้าวทั้งทีอย่างน้อย ๆ ก็ต้องให้เหรียญทองแดง 10 กว่าเหรียญเป็นค่าจัดงาน จำนวนนั่นซื้อเนื้อหมูมาได้ตั้งชั่งหนึ่งเชียวนะ ถ้าไม่กินให้พอจะคุ้มค่างานได้อย่างไร
ในขณะเดียวกัน จางซิ่วเอ๋อที่นั่งเฉาอยู่ในห้องมืดสลัวก็มีนัยน์ตาแดงเล็กน้อย
เพดานห้องเริ่มมีสีคล้ำเผยซึ่งร่องรอยถูกแมลงขบกัด บนกำแพงหรือก็เต็มไปด้วยตะไคร่ ส่วนใต้เท้าก็มีน้ำเจิ่งนองอยู่เต็มพื้น เป็นน้ำขังค้างจากหลังคาที่รั่วซึมเพราะฝนตกเมื่อคืน
ชุดวิวาห์สีแดงสดของจางซิ่วเอ๋อช่างไม่เข้ากับห้องนี้เอาเสียเลย
ถึงจะบอกว่าเป็นงานวิวาห์ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่น่ายินดีเลยจริง ๆ ต่อให้อีกฝ่ายเป็นบุตรชายเจ้าของที่ดินผู้มั่งคั่งที่ฐานะทางบ้านจะดีขนาดไหน ก็ไม่ไหวตรงที่ตัวเขากำลังจะตายแล้วนี่แหละ
ว่ากันว่าคุณชายป่วยเป็นโรคหอบ ไม่มียารักษา เถ้าแก่เนี่ยผู้เห็นบุตรของตนหายใจออกมากกว่าหายใจเข้าแล้วก็รู้สึกปวดใจ จึงไปหาซินแสหมายจะแก้ชงให้บุตรชาย และจางซิ่วเอ๋อก็เป็นคนเดียวที่แผนผังพลังลมปราณเข้ากันกับเขาในรัศมีรอบ ๆ
ด้วยเหตุที่บุตรชายเจ้าของที่ดินมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน งานแต่งงานครั้งนี้จึงจัดแบบค่อนข้างเร่งรีบ
แม่เฒ่าจางผู้เป็นย่าของจางซิ่วเอ๋อรับเงินค่างานมาโดยไม่สนใจว่าตอนนี้บิดามารดาของจางซิ่วเอ๋อไม่อยู่บ้าน ซึ่งการแต่งงานต้องได้รับความยินยอมจากบิดามารดาเสียก่อน ในฐานะที่นางเป็นท่านแม่ของบิดาจางซิ่วเอ๋อ นางย่อมมีสิทธิ์ในการตัดสินใจในเรื่องนี้
แม่สื่ออ้วนกำลังประทินโฉมให้กับจางซิ่วเอ๋อ ซึ่งใบหน้าซูบตอบของนางไม่มีความน่ามองเลยสักนิด
ขณะที่เปลี่ยนชุดอยู่นั้นก็บังเอิญเผยแขนข้างนึงให้เห็น มันเต็มไปด้วยรอยช้ำ ดูแล้วท่าทางปกตินางคงจะโดนทุบตีบ่อยไม่น้อย
จากนั้นหญิงสาวหน้าตาสะอาดสะอ้านได้เดินเข้ามา
พอเห็นชุดแต่งงานทอไหมทองบนตัวจางซิ่วเอ๋อแล้ว นางก็มีสายตาละโมบขึ้นมา คน ๆ นี้ไม่ใช่ใครที่ไหนแต่เป็นจางอวี่หมิน อาสาวของจางซิ่วเอ๋อ
งานแต่งงานช่างเร่งรัดเสียจนแม่สื่อต้องรับผิดชอบหลายหน้าที่ ซึ่งเวลานี้นางกำลังยุ่งตัวเป็นเกลียว พอเห็นว่าประทินโฉมเจ้าสาวได้ที่แล้ว นางก็ออกไปดูว่าคณะรับตัวเจ้าสาวมาหรือยัง
เวลานี้จึงเป็นโอกาสของจางอวี่หมิน นางมองปิ่นปักผมบนศีรษะของจางซิ่วเอ๋อด้วยความอิจฉาและโวยวายขึ้นมาอย่างวางท่า “นี่เจ้า จงดึงปิ่นอันนั้นลงมาสิ”
จางซิ่วเอ๋อเหลือบมองจางอวี่หมินพร้อมกับเนื้อตัวสั่นเทา และเอ่ยเสียงแผ่ว “ปิ่นนี้เป็นสมบัติของตระกูลเนี่ย ข้าให้…ให้ท่านอาหญิงไม่ได้”
นิสัยของจางซิ่วเอ๋อนั้นนับว่าอ่อนแอยิ่ง มารดาของนางมีบุตรีติดกัน 3 คน แม่เฒ่าจางจึงไม่ชอบมารดาของนางและไม่ชอบนางยิ่งกว่า ส่วนจางอวี่หมินผู้เป็นอาหญิงนั้นเป็นบุตรีที่แม่เฒ่าจางมีตอนชรา นางจึงเป็นลูกรักสุดหวงแหน ทำให้จางซิ่วเอ๋อถูกจางอวี่หมินรังแกอยู่บ่อย ๆ
จางอวี่หมินขมวดคิ้ว ใบหน้าที่ถือว่าสะอาดสะอ้านเริ่มบิดเบี้ยว
นางเดินไปหยิกจางซิ่วเอ๋ออยู่หลายทีพร้อมกับด่าอย่างโกรธเกรี้ยว “เจ้ายังไม่ทันได้แต่งเข้า ก็ริอ่านวางท่าเป็นคุณนายแล้วหรือ?”
จางซิ่วเอ๋อกัดฟันอดกลั้น ไม่กล้าต่อต้านและไม่กล้าร้องแสดงความเจ็บปวด
ขณะนั้นเองจางอวี่หมินก็กำลังดึงปิ่นทองคำแท้อันนึงลงจากศีรษะของจางซิ่วเอ๋ออย่างสะใจ ก่อนนำมาปักบนศีรษะตนเอง เนื่องจากในบ้านไม่มีคันฉ่อง นางจึงอาศัยส่องเงากับน้ำในกะละมังล้างหน้าด้วยความพึงพอใจยิ่ง
จากนั้นก็กลอกตาไปมา นึกเสียดายในใจด้วยเรื่องที่ว่าไม่สามารถแกะเสื้อผ้าของอีกฝ่ายออกมาได้
คิดเช่นนี้แล้วนางก็เคืองจางซิ่วเอ๋อมากกว่าเดิม ก็แค่นังชั้นต่ำคนหนึ่ง มีสิทธิ์อะไรมาสวมใส่เสื้อผ้าที่ดีขนาดนี้
“เกี้ยวเจ้าสาวมาแล้ว” แม่สื่อเบียดร่างท้วมเข้ามา พอเห็นจางซิ่วเอ๋อนั่งทื่อราวกับท่อนไม้ก็นึกดูหมิ่นในใจ ต่อให้ครั้งนี้คุณชายเนี่ยหายป่วยขึ้นมาจริง ๆ แม่นางคนนี้ก็คงไม่ใช่คุณนายน้อยแห่งตระกูลเนี่ยที่แท้จริงหรอก
แม่สื่อมองปราดเดียวก็เห็นปิ่กปักผมบนศีรษะของจางอวี่หมิน นางแค่นเสียงและดึงลงมาทันที
สิ่งนี้เป็นสมบัติของตระกูลเนี่ยนะ ที่ตอนนี้ให้จางซิ่วเอ๋อใส่ก็เพื่อหน้าตาตระกูลเท่านั้น ถึงเวลาต้องเอาคืนกลับไปอยู่แล้ว
แม้จะบอกว่าเป็นการแต่งงาน แท้ที่จริงก็ไม่ต่างอะไรกับซื้อจางซิ่วเอ๋อมา 10 ตำลึง จะให้ปฏิบัติเหมือนคุณนายน้อยจริง ๆ ได้อย่างไร?
จางอวี่หมินผู้ทำตัวเอาแต่ใจที่บ้านจนเคยชินเป็นปกติก็โวยวายเสียงแข็ง “เอาคืนมานะ!”
“แม่นางอวี่หมิน ข้าว่าเจ้าทำตัวดี ๆ หน่อยจะดีกว่า ถ้าเจ้าทำลายบรรยากาศมงคลของวันนี้ล่ะก็ คนตระกูลเนี่ยไม่ได้ใจดีกับเจ้าหรอกนะ” แม่สื่อร่างท้วมแค่นเสียง
ขณะนั้นก็มีคนที่แต่งตัวเหมือนยายรับใช้ 3-4 คนเข้ามาในห้อง ซึ่งพวกนางล้วนเป็นคนจากตระกูลเนี่ย
แม่สื่อพยุงจางซิ่วเอ๋อออกจากประตู ในสวนมีเกี้ยวเจ้าสาวไม้แดงเกี้ยวหนึ่งจอดอยู่
แม่เฒ่าจางกำลังยืนอยู่ข้างเกี้ยวเจ้าสาวพร้อมลูบคลำเกี้ยวด้วยยิ้ม บนใบหน้าของเต็มไปด้วยแป้ง นางไม่มีเงินซื้อแป้งแต่งหน้าหรอก เลยหวังจะใช้แป้งที่แม่สื่อพกมา แต่แม่สื่อก็ไม่ใช่คนซื่อ ๆ จะยอมให้นางใช้ได้อย่างไร
ดังนั้นนางจึงกัดฟันซื้อแป้งนวดป้ายไปบนหน้า และประดับศีรษะด้วยดอกไม้กระดาษสีแดงดอกใหญ่
นางส่งเสียงในลำคอเป็นทำนองเพลงไปพลาง ลูบเกี้ยวเจ้าสาวไปพลาง ขณะเดียวกันก็หยุดผู้คนที่เดินทางมาร่วมงานแต่งงานไว้เพื่อขอค่าจัดงาน
ผู้คนต่างพากันไม่พอใจ มีอย่างที่ไหนมาขอค่าจัดงานเอง
เมื่อทุกคนเข้ามาถึงด้านในสวนและเห็นของที่วางบนโต๊ะเก่า ๆ 3-4 ตัว พวกเขาก็ยิ่งหมองใจขึ้น
คนเหล่านั้นต่างคิดว่าในเมื่อวันนี้จางซิ่วเอ๋อแต่งงานกับเจ้าของที่ดิน อย่างน้อย ๆ บ้านนี้ก็น่าจะจัดอาหารดี ๆ สักหน่อย แต่นี่บนโต๊ะกลับมีอาหารเพียง 5 จาน บนจานมีรอยบิ่นเล็กน้อย ซึ่งมีเพียงผักกาดต้ม ผัดมันฝรั่ง ต้มปวยเล้ง จานหนึ่งเป็นหมั่นโถวดำ ๆ และจานสุดท้ายนั้นไม่ใช่อาหารมังสวิรัติ แต่เป็นกุยช่ายผัดไข่ที่กุยช่ายเยอะไข่น้อย
พอเห็นอาหารบนโต๊ะ ทุกคนก็ยิ่งโกรธ แต่เพื่อไม่เป็นการขายหน้า พวกเขาจึงยอมลงทุนเลือดกับค่างาน
ทว่ามีคนที่ไม่ยอมและส่งเสียงโวยวายขึ้นมา “นี่ป้าจาง ป้าหลอกเงินพวกข้ารึ คืนเงินมาให้พวกข้าซะ”
แม่เฒ่าจางเท้าเอว อ้าปากที่ทามาแดงแจ๋และโวยเสียงดัง “พวกเจ้าให้มันเพลา ๆ หน่อย เดี๋ยวซิ่วเอ๋อก็ได้เป็นเจ้าสาวของเจ้าของที่แล้ว ไอ้เหรียญทองแดงไม่กี่เหรียญนั่นที่พวกเจ้าให้มาตอนนี้มันเรื่องใหญ่ที่ไหนเล่า เดี๋ยวข้าให้ซิ่วเอ๋อของข้าไปบอกกับเจ้าของที่ว่าลดค่าเช่าให้ทุกคนหน่อยก็ได้แล้วนี่”
← ตอนก่อน