บทที่ 2 ดวงกินสามี

บรรดาคนจากตระกูลเนี่ยได้ยินเช่นนี้ก็ส่งสายตาดูแคลน เพ้อเจ้อจริง ๆ

ตอนนี้คนเหล่านี้อยากจะรีบไปให้พ้นจากบ้านชาวนาที่มีแต่กลิ่นขี้หมูแล้ว พวกเขาดันร่างจางซิ่วเอ๋อที่แทบจะเดินเองไม่ได้ยัดเข้าไปในเกี้ยวเจ้าสาว

แม่เฒ่าจางเห็นเช่นนี้ก็กลอกตาหันไปบอกกับลูกสะใภ้สามของตนเอง “เจ้าอยู่นี่รับแขกไปนะ ข้าจะตามไปดูสักหน่อย”

วันนี้ตระกูลเนี่ยต้องมีอาหารพวกเนื้อพวกปลาแน่ ไปกินให้อิ่มแล้วกลับมาอย่างนี้ค่อยคุ้มทุนหน่อย

พูดแล้วก็จูงมือจางอวี่หมินเพื่อจะตามไปถึงตระกูลเนี่ย

ครั้งนี้ตระกูลเนี่ยมีหญิงชราหัวหน้าคนรับใช้ ซึ่งดูแคลนตระกูลจางเป็นที่สุดมาด้วย นางแค่นเสียงแล้วเอ่ยขึ้น “เจ้าอย่าตามไปจะดีกว่า ถ้าไปชงกับคุณชายบ้านข้าเข้า เจ้าไม่มีปัญญาชดใช้หรอกนะ”

พูดเสร็จโดยไม่รอให้แม่เฒ่าจางตอบอะไร หญิงชราหัวหน้าคนรับใช้ก็สั่งเด็กสองคนพาตัวแม่เฒ่าจางไปส่งที่ตระกูลจาง

“ตระกูลจางของเราเกี่ยวดองกับตระกูลเนี่ยนะ พวกเจ้าปฏิบัติกับพวกข้าแบบนี้ได้เยี่ยงไร? ไอ้พวกชอบดูถูกคน” แม่เฒ่าจางด่าไปทั้งทาง

แต่ตอนนี้นางด่าไปก็เปล่าประโยชน์ คนตระกูลเนี่ยอยากจะรีบพานังเด็กบ้านจนนี่กลับไปแก้ชงไว ๆ ไม่อยากจะมาทะเลาะให้ยืดเยื้อ

ตระกูลเนี่ยเป็นเจ้าของที่ดินรายใหญ่ในรัศมีรอบ ๆ เพียงแค่ป้ายบนประตูก็เป็นทองคำทั้งหมดแล้ว หน้าประตูก็มีสิงโตหินองอาจสองตัวยืนขนาบข้าง ช่างโอ่อ่ายิ่งนัก

แต่เกี้ยวเจ้าสาวไม่ได้เข้าทางประตูด้านหน้า กลับเข้าทางประตูข้างแทน

จางซิ่วเอ๋อกำลังหยิบหมั่นโถวที่เริ่มบูดเสียแล้วออกมากินจากแขนเสื้อ แม่เฒ่าจางบอกว่าไหน ๆ นางก็จะแต่งงานแล้ว กินมากก็เสียมาก จึงไม่ให้ข้าวนางกิน นี่เป็นหมั่นโถวที่นางเก็บไว้ก่อนหน้า

วันนี้ทางตระกูลเนี่ยก็ไม่มีแขกเหรื่ออะไร เพราะเรื่องแก้ชงไม่ใช่เรื่องควรบอกผู้อื่น อีกอย่างหนึ่งเถ้าแก่เนี่ยก็มีร่างกายทรุดโทรมลงไปมากเพราะคุณชายเนี่ยป่วย ตอนนี้จึงไม่มีแรงจะรับแขกจริง ๆ

“ฮูหยิน นางมาถึงหรือยัง” เถ้าแก่เนี่ยถามด้วยความร้อนใจ

คุณนายเนี่ยเป็นสตรีที่ดูแล้วอายุแค่สามสิบนิด ๆ เรียกได้ว่ายังสวยสง่าพราวเสน่ห์อยู่ นางยิ้มบางและเอ่ยตอบ “ถึงแล้วค่ะ”

สิ้นคำตอบก็มีชายแก่ตัวผอมแห้งเดินเข้ามาอย่างเร่งร้อน “คุณ…คุณชายสิ้นลมแล้วขอรับ”

เถ้าแก่เนี่ยได้ฟังก็โงนเงนหงายหลังล้มลงไป

ส่วนคุณนายเนี่ยได้ฟังดังนั้นก็มีรอยยิ้มที่ดูแทบไม่ออกผุดขึ้น

…..

กลางหมู่บ้านมีต้นเซี่ยงมู่(1)ที่กิ่งก้านใบแผ่ออกไปกว้างใหญ่ไพศาล ขณะนี้เป็นเวลาเที่ยง มีคนไม่น้อยที่กลับมาจากไปทำนาหรือไปขุดผักก็อดแวะพักที่นี่เสียไม่ได้

ตอนนี้มีหญิงชราหลายคนกำลังสนทนาเรื่องราวบางอย่างกันอย่างออกรส

“นี่ ข้าว่าคราวนี้ตระกูลจางคงสบายแล้วล่ะ”

“นั่นน่ะสิ ครั้งนี้นังหลานสาวคนโตตระกูลจางได้แต่งกับตระกูลที่ดี หลังจากนี้ตระกูลจางคงใช้ชีวิตเหมือนคนรวยไปได้ทั้งชาติ”

ยายแก่อายุห้าสิบต้น ๆ คนหนึ่งเดินไพล่มือไปรอบ ๆ ราวกับไก่ชนที่สู้ชนะ นางฟังสิ่งที่ทุกคนคุยกันด้วยความพึงพอใจ ซึ่งคน ๆ นี้ก็คือแม่เฒ่าจาง

หลานสาวนางได้แต่งเป็นภรรยาหลวงในเรือนเจ้าของที่ดินเชียวนะ แค่แบ่งเศษเล็กเศษน้อยมาก็ดีกว่าบรรดาคนจนพวกนี้อยู่มากโขแล้ว

แต่นี่ก็เป็นแค่คำพูดต่อหน้า ลับหลังทุกคนก็แอบบ่นในใจ ตระกูลจางนี่งกจริง ๆ จางซิ่วเอ๋อได้สามีดีขนาดนี้ ทำไมไม่จัดสำรับอาหารให้มันดี ๆ หน่อย แต่เพียงคนเหล่านี้ไม่กล้าพูดคำพูดพวกนี้ต่อหน้าแม่เฒ่าจาง

พวกเขาไม่หวังว่าจะได้ส่วนบุญบ้าง แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้าทำให้แม่เฒ่าจางโกรธแค้นขึ้นมา แล้วกลั่นแกล้งในภายหลังจะทำอย่างไร?

ไม่ว่าจางซิ่วเอ๋อจะแต่งงานแก้ชงหรือไม่ อย่างไรเสียนางก็ได้แต่งเข้าบ้านตระกูลเนี่ยเจ้าของที่ดินเชียวนะ

“เฮ้ พวกเจ้าดูนี่เร็ว นั่นมันเกี้ยวเจ้าสาวที่มารับหลานสาวคนโตของตระกูลจางเมื่อเช้านี้ไม่ใช่หรือ ทำไมถึงกลับมาแล้วล่ะ” คนผู้นึงใต้ต้นไม้อุทานขึ้นมาอย่างตกใจ

แม่เฒ่าจางชะงักเล็กน้อยพลางมองไปทางหน้าหมู่บ้าน

ขณะนั้นจางซิ่วเอ๋อที่นั่งอยู่ในเกี้ยวเจ้าสาวกำลังจับหน้าอกตนเองด้วยความเจ็บปวดทรมาน มือหนึ่งกำกรรไกรเปื้อนเลือดไว้

จางซิ่วเอ๋อกัดฟันสาปแช่งเสียงต่ำ “นี่มันเรื่องอะไรกัน ทำไมถึงข้ามมิติมาได้ล่ะ”

เธอมองชุดแดงบนตัว แล้วมองกรรไกรในมือ เห็นได้ชัดว่านี่คือเจ้าสาวที่ฆ่าตัวตาย อีกทั้งตอนนี้จางซิ่วเอ๋อก็รู้สึกว่าในหัวตัวเองเริ่มมีความทรงจำของเจ้าของร่างปรากฏขึ้นเลือนราง

ภาพพวกนั้นขาด ๆ หาย ๆ นึกขึ้นเมื่อใดก็รู้สึกปวดหัวแทบบ้า แต่พอรู้คร่าว ๆ ว่าจางซิ่วเอ๋อถูกย่าที่ลุ่มหลงในความฟุ้งเฟ้อขายให้กับลูกชายตระกูลเนี่ยเจ้าของที่ดินที่เป็นโรคปอดใกล้ตายเพื่อแก้ชง

แต่ใครจะรู้ว่าในทันทีที่เกี้ยวเจ้าสาวเพิ่งถึงตระกูลเนี่ย บุตรชายเถ้าแก่เนี่ยก็ตายเสียแล้ว

คุณนายเนี่ยบอกอย่างมั่นใจว่าเป็นเพราะจางซิ่วเอ๋อมีดวงกินสามี และแล้ว…จางซิ่วเอ๋อก็โดนพาตัวกลับมา

จางซิ่วเอ๋อที่โดนพาตัวกลับมาก็ซื่อนัก คิดไปว่าถ้าตัวเองกลับมาแบบนี้ต้องโดนท่านย่าตีตายแน่ ๆ จึงแอบหยิบกรรไกรขึ้นมาบนเกี้ยวเจ้าสาว

หลังจากนั้นเรื่องก็ง่ายขึ้น จางซิ่วเอ๋อเจ้าของร่างเก่าละทิ้งวิญญาณจบสิ้นทุกสิ่งอย่าง จางซิ่วเอ๋อเวอร์ชั่นซวยผู้ขึ้นลิฟท์อยู่แล้วดันเจออุบัติเหตุในลิฟท์ก่อนจะตื่นขึ้นมาอีกทีก็เลยต้องยอมรับร่างสุดบอบช้ำนี้

ขณะนั้นแม่เฒ่าจางรีบพุ่งไปที่หน้าเกี้ยวเจ้าสาว มองแม่สื่ออ้วนด้านข้างเกี้ยวด้วยสายตาพะเน้าพะนอ “น้องสาว นี่มันเรื่องอะไรกันจ๊ะ ทำไมถึงยกเกี้ยวเจ้าสาวว่างเปล่านี่กลับมาล่ะ”

แม่สื่ออ้วนหน้าอวบตอบกลับด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “ไม่ใช่เกี้ยวว่างเปล่า จางซิ่วเอ๋อของบ้านเจ้าเพิ่งไปถึง ก็เล่นเสียจนคุณชายเนี่ยตายเพราะดวงกินผัว คุณนายเนี่ยจึงให้ข้าส่งนางกลับ”

แม่เฒ่าจางมองเกี้ยวเจ้าสาวด้วยสายตาตกตะลึงและโมโห “เจ้าหมายความว่าจางซิ่วเอ๋ออยู่ด้านในงั้นเหรอ?”

แม่สื่ออ้วนเลิกม่านคลุมเกี้ยวเจ้าสาวขึ้นพลางเอ่ยกลับ “เจ้าดูให้เต็มตานะ ข้าพาตัวกลับมาให้เจ้าแล้ว หลังจากนี้ข้ากับเจ้าไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน”

“ไม่ได้นะ ๆ แต่งเข้าตระกูลเนี่ยไปแล้วจะส่งตัวกลับได้อย่างไร น้องสาว ข้าจ่ายให้เจ้า 50 เหรียญเชียวนะ เจ้าทำแบบนี้ได้อย่างไร” เสียงของแม่เฒ่าจางแหลมขึ้น

จากนั้นก็เป็นเสียงทะเลาะของทั้งสองคน

จางซิ่วเอ๋อสลบอยู่ในเกี้ยวเจ้าสาวไปแล้ว เธอรู้ว่ามันเป็นเพราะตัวเองเสียเลือดมากเกินไป

ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป เธอคงต้องตายแน่

ถึงแม้การข้ามมิติมาแบบงง ๆ จะทำให้เธอไม่ค่อยพอใจนัก แต่อย่างน้อยก็ยังมีชีวิตอยู่ เธอไม่กล้ารับประกันว่าถ้าตัวเองตายไปทั้งแบบนี้ จะมีโอกาสลืมตาครั้งต่อไปหรือเปล่า

ดังนั้นจางซิ่วเอ๋อจึงปริปากด้วยเสียงแหบแห้ง “เจ็บ….”

แต่ตอนนี้แม่เฒ่าจางไม่คิดจะมองจางซิ่วเอ๋อสักนิด นังตัวซวย นึกว่านางแต่งเข้าบ้านนั้นแล้วที่บ้านจะมีชีวิตที่ดีขึ้น ที่ไหนได้ดันถูกส่งตัวกลับมาซะงั้น

ทว่าแม่เฒ่าหลิวที่ชอบแส่เรื่องคนอื่นกลับมองเข้าไปในเกี้ยวเจ้าสาว และพลันเห็นว่าชุดแต่งงานสีแดงสดนั้นเปื้อนเลือด จึงร้องขึ้นมาอย่างตกใจ “เลือด!”

“จางซิ่วเอ๋อฆ่าตัวตาย!”

“ดูซิคราวนี้แม่เฒ่าจางจะผยองได้อย่างไรอีก ถุย!”

“ตายแล้ว!”