บทที่ 3 ได้สติ

ในเพียงพริบตา เสียงยกยอปอปั้นเมื่อครู่ก็กลายเป็นเสียงถากถางดูถูก เห็นได้ชัดว่าความสัมพันธ์ของแม่เฒ่าจางและคนในหมู่บ้านไม่ค่อยดีนัก จึงไม่มีใครนึกสงสารตระกูลจางเพราะเรื่องของจางซิ่วเอ๋อ

จากนั้นจางซิ่วเอ๋อก็หมดสติ จำได้เพียงว่าตนเองถูกโยนไปโยนมาราวกับตุ๊กตา

พอเธอได้สติอีกครั้งและเงยหน้าขึ้นมา เธอก็เห็นหลังคาเก่าคร่ำคร่าที่เริ่มมีรอยร้าว กำแพงเบี้ยวง่อนแง่นที่จะล้มแหล่มิล้มแหล่ และผ้าห่มฝ้ายแข็งกระด้างดำคล้ำที่ส่งกลิ่นตุแปลก ๆ คลุมอยู่บนร่าง

ส่วนใต้ร่างนั้น ไม่ต้องถึงขนาดเอามือจับ จางซิ่วเอ๋อก็สัมผัสได้ว่ามันคือหญ้าแห้งชั้นนึง

รอบกายมีเสียงร้องหนวกหู เธอหันไปมองจึงพบว่าในห้องนี้มีจุดนึงถูกล้อมคอกไว้ แม่ไก่ 3 ตัวและเป็ด 2 ตัวกำลังกระพือปีกอยู่ในนั้น

ไม่นานนัก จางซิ่วเอ๋อก็รู้ได้จากความทรงจำจากเจ้าของร่างเดิมว่านี่คือห้องเล็กของตระกูลจาง

ปกติไม่มีใครอยู่ที่นี่ มันถูกใช้ทำเป็นเล้าไก่และห้องเก็บฟืน

จางซิ่วเอ๋อยิ้มเฝื่อน ดูท่าคนตระกูลจางตั้งใจจะไม่เอาตัวเองไว้ แผลของเธอเลือดหยุดไหลแล้ว คิดว่าไม่น่าจะตายง่าย ๆ แล้วล่ะ ถ้าเป็นแบบนี้…เธอก็ยิ่งทนอยู่แบบนี้ต่อไปไม่ได้

ขณะนั้นเพิ่งเป็นเวลาฟ้าสาง ทุกคนยังไม่ตื่น ไม่มีใครสนว่าจางซิ่วเอ๋อจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร

มันก็เป็นเวลาสะดวกให้จางซิ่วเอ๋อทำนี่ทำนั่น

เธอลุกขึ้นนั่งช้า ๆ และเปิดเสื้อผ้าตัวเองเพื่อพิจารณาบาดแผล

จางซิ่วเอ๋อเห็นแผลแล้วจึงโล่งใจไปหนึ่งเปลาะ เพราะแผลไม่ได้ลึกมากยังไม่ถึงหัวใจ โชคดีที่ตอนยัยนี่ลงมือ มือของนางสั่นเล็กน้อย

เธอหาเสื้อผ้าชั้นในตัวเองที่พอสะอาดแล้วฉีกออกมาพันแผลตัวเอง

เมื่อทำทุกอย่างเสร็จ จางซิ่วเอ๋อก็พอจะรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง ทว่าท้องกลับส่งเสียงร้องขึ้นมาอย่างไม่เอาไหน

หญิงสาวลองขยับตัวพลางยื่นมือไปยังเล้าไก่ที่ห่างกันนิดเดียวอย่างยากลำบาก เธอยื่นมือคลำไปตามซอกเล้าและหยิบไข่ออกมาหนึ่งฟอง

ไข่ยังดิบอยู่ แต่จางซิ่วเอ๋อไม่สนใจแล้ว เธอเสียเลือดมากแถมยังไม่ได้กินข้าว ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปคงต้องตายแน่

เพื่อให้ตัวเองมีชีวิตรอด จางซิ่วเอ๋อจึงเคาะไข่ให้เป็นรูเล็ก ๆ และดูดจนเกลี้ยง

เมื่อกินไข่หมดแล้วเธอก็ก้มมองมือผอมแห้งของตัวเอง ต่อให้จางซิ่วเอ๋อไม่ฆ่าตัวตาย นางก็ใกล้จะอดตายแล้วล่ะ

เธอนึกถึงความทรงจำเจ้าของร่าง สุดท้ายจึงตัดสินใจบดเปลือกไข่ให้แหลกแล้วโยนให้พวกเป็ดไก่ เมื่อมองเห็นเป็ดไก่กินเปลือกไข่จนหมดถึงได้โล่งอก และเอนหลังพิงกำแพงเรียบเรียงความทรงจำของเจ้าของร่าง

คนในบ้านเจ้าของร่างออกจะมีมากอยู่

ปู่ของนางชื่อจางเป่าไฉ ภรรยาของเขาก็คือแม่เฒ่าจาง

ทั้งสองมีลูกชาย 3 คนลูกสาว 2 คน

พ่อของจางซิ่วเอ๋อเป็นลูกคนที่สี่ เขามีพี่สาวคนโต พี่ชาย 2 คน แล้วก็น้องสาว 1 คน แต่เป็นลูกสาวที่แม่เฒ่าจางเพิ่งมามีตอนแก่ นางจึงมีอายุเท่ากับจางซิ่วเอ๋อ

พ่อของจางซิ่วเอ๋อชื่อจางต้าหู ส่วนแม่เป็นหญิงสาวแซ่โจว

ในความทรงจำของจางซิ่วเอ๋อนั้น พ่อของนางเป็นคนซื่อ ๆ กตัญญูจนถึงขั้นโง่เขลา ส่วนแม่ผู้อยู่ตระกูลโจว เป็นคนผอมแห้งแรงน้อย ผู้หญิงที่น่าสงสารคนนี้มีลูกสาว 3 คนรวด

ปีนี้จางซิ่วเอ๋ออายุ 15 ปี นับว่าเพิ่งจะบรรลุนิติภาวะ นางมีน้องสาวพ่อแม่เดียวกันอีก 2 คนคือจางชุนเถาและจางซานหยา

จางซิ่วเอ๋อใช้ชีวิตอยู่ภายใต้การกดขี่ของแม่เฒ่าจาง นางมีนิสัยอ่อนแอมาก อย่างเรื่องแต่งงานครั้งนี้ที่นางไปเป็นเจ้าสาวแบบแทบจะไม่ขัดขืนเลย แต่คิดแล้วก็นะ ต่อให้จางซิ่วเอ๋อขัดขืน นางก็ไม่มีปัญญาทำอะไร

เมื่อจางซิ่วเอ๋อพอจะเรียบเรียงความทรงจำได้แล้ว ประตูห้องเล็กก็ถูกผลักออกเบา ๆ

เด็กสาวอายุ 12 ถึง 13 ปีคนหนึ่งเดินเข้ามาอย่างลับ ๆ ล่อ ๆ ชุดสีเทานั่นดูก็รู้ว่าถูกแก้จากเสื้อผ้าผู้ชาย มันมีรอยปะอยู่เต็มไปหมด หน้าเล็ก ๆ ของนางก็ดูซูบตอบ ผมแห้งฟูเหมือนฟางข้าว มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่เป็นประกาย

จางซิ่วเอ๋อตกใจมาก เธอหลับตาลงทันที

พอยัยหนูนี่เดินเข้ามา นางก็ตรวจดูบาดแผลของจางซิ่วเอ๋อด้วยความระมัดระวัง เด็กสาวลงมือแกะผ้าที่จางซิ่วเอ๋อพันแผลไว้ ก่อนจะทาอะไรบางอย่างลงไป

จางซิ่วเอ๋อรู้สึกเจ็บแผลจึงลืมตาขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ จากนั้นก็มองเด็กสาวคนนี้ด้วยสายตาขุ่นเคือง

“พี่ใหญ่ไม่ต้องกลัว นี่เป็นยารักษาแผลที่พี่สวี่เอามาให้ มันดีกับบาดแผลนะเจ้าคะ” ยัยหนูรีบปลอบโยน

จางซิ่วเอ๋อจึงได้สติ นี่คือจางชุนเถาน้องรองของเธอ

“ชุนเถา….” เธอปริปากอย่างยากลำบาก

“พี่ไม่ต้องพูดอะไรแล้วเจ้าค่ะ ข้ารู้ว่าพี่ทรมานใจ แต่เราต้องมีชีวิตต่อไปนะเจ้าคะ เพราะถ้าพี่ตาย มันก็จะสมความปรารถนาของท่านย่าพอดี” จางชุนเถารีบเอ่ยขึ้น

เด็กสาวชะงักไปก่อนจะเอ่ยขึ้นอีก “เมื่อวานท่านย่ากลัวว่าข้าจะก่อเรื่องจึงขังข้าไว้ ไม่อย่างนั้นต่อให้ต้องตายข้าก็ไม่ยอมให้พี่แต่งงานหรอก”

พูดมาถึงตรงนี้ จางชุนเถาก็เอ่ยเสียงเบา “ท่านย่าบอกว่า ถ้าพี่ตาย จะไม่ให้พี่แม้กระทั่งหลุมศพ ทั้งจะได้ประหยัดข้าวด้วย”

“เพราะฉะนั้นพวกเราต้องมีชีวิตอยู่ต่อไป มีชีวิตอยู่ต่ออีกยาว ๆ นะเจ้าคะ” ใบหน้าอ่อนเยาว์ของจางชุนเถาเปี่ยมด้วยความมุ่งมั่น

จางซิ่วเอ๋อนึกเศร้าใจขึ้นมา จึงร้องไห้อย่างอดไม่ได้

อาจเป็นเพราะมาถึงต่างมิติแล้วได้รับความห่วงใยเป็นครั้งแรก อาจเป็นเพราะความทรงจำจากเจ้าของร่าง ทำให้จางซิ่วเอ๋อซาบซึ้งในน้ำใจของยัยหนูตรงหน้ามาก

เสียงของเธอแหบแห้ง “น้องรอง เจ้าสบายใจได้ ข้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไป”

จางชุนเถายิ้ม หยิบซาลาเปาออกจากอกเสื้อตนเองแล้วยื่นให้จางซิ่วเอ๋อ “นี่ข้าแอบซ่อนไว้ตั้งแต่เมื่อวานเจ้าค่ะ”

จางซิ่วเอ๋อรู้ว่าแม่เฒ่าจางจะคอยนับไว้อย่างชัดเจนว่าเด็กในบ้านกินซาลาเปาไปกี่ลูก การที่จางชุนเถาเก็บซาลาเปาไว้ก็หมายความว่าตัวนางเองย่อมต้องกินไม่อิ่ม

ซาลาเปานี้มีผักเยอะแป้งน้อย แถมยังเป็นแป้งหยาบมีรำข้าวปนมาไม่น้อย กินแล้วบาดคอสุด ๆ แต่เพื่อให้ตัวเองมีชีวิตอยู่ต่อไปเธอก็ต้องกิน จึงกัดลงไป

เธอนึกพึมพำในใจ น้องรอง จากนี้ไปเจ้าก็คือน้องรองของข้าจริง ๆ จากนี้ไปข้าจะทำให้เจ้าได้มีชีวิตที่ดี

ในขณะที่คุยกันอยู่ ประตูก็ถูกผลักออกอย่างแรงอีกครั้ง

จางซิ่วเอ๋อรีบกลืนซาลาเปาในปากลงคอ

แม่เฒ่าจางมองทั้งสองคนแล้วจู่ ๆ ก็พูดขึ้น “พยุงพี่สาวเจ้าไปที่ห้อง”

จางซิ่วเอ๋อผงะ แม่เฒ่าจางเปลี่ยนนิสัยแล้วหรือ?

ภายในบ้านตระกูลจางก็ไม่ได้ดีไปกว่าห้องเล็กเท่าใดนัก มีแต่โคลนเต็มพื้นจนแทบไม่มีที่ให้ย่ำเท้า เตียงที่ตั้งอยู่ในห้องหรือก็ขาเอียงกะเท่เร่และสร้างจากไม้เก่า ๆ

นี่คือเตียงของจางซิ่วเอ๋อและน้องสาวทั้งสองของนาง ผ้าห่มบนเตียงแข็งโป๊ก ทั้งยังสีคล้ำแบบซักไม่ออก เห็นปราดเดียวก็ทราบว่ามันถูกใช้มาหลายปี

พอเข้ามาในห้องและเห็นแม่สื่ออ้วนที่ส่งตัวเองกลับ จางซิ่วเอ๋อก็พอจะรู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น

“ข้าว่าเจ้านี่โชคดีจริง ๆ เจ้าคงไม่รู้สินะว่าเมื่อวานเกือบไปแล้วจริง ๆ ที่พอเจ้ามาถึงตระกูลเนี่ยปุ๊บคุณชายเนี่ยก็สิ้นลม แต่ใครจะรู้ว่าเมื่อคืนคุณชายเนี่ยกลับฟื้นขึ้นมา คุณนายเนี่ยจึงบอกว่าโชคดีที่มีเจ้า ตอนนี้เลยให้ข้ามารับเจ้าไปเข้าพิธีแต่งงานต่อ” แม่สื่ออ้วนบอกด้วยสีหน้ายินดีปรีดา

พอจางซิ่วเอ๋อฟังจบ นางก็รู้สึกหัวโตขึ้นเป็นสองเท่า