ตอนที่ 101.1 พิทักษ์ภูเขา
ขณะที่คนทั้งกลุ่มกินอาหารเช้าเสร็จและเตรียมจะออกเดินทางกันต่อนั้น อาเหลียงที่จูงลาพลันบอกให้ทุกคนรอสักครู่ จากนั้นก็ตะโกนว่าออกมาเถอะ เทพเจ้าที่หนุ่มแห่งเขาฉีตุนที่หน้าตางดงามยิ่งกว่าสตรี สวมอาภรณ์ขาวชายแขนเสื้อกว้างพลิ้วไหวดุจเทพเซียนก็มุดออกมาจากพื้นหินเรียบอย่างรวดเร็ว มือของเขาประคองกล่องไม้ใบเล็กลักษณะยาวใบหนึ่ง ยืนค้อมเอวกล่าวกับชายฉกรรจ์สวมงอบด้วยรอยยิ้มประจบเต็มใบหน้า “ท่านเซียนใหญ่ ข้าน้อยเตรียมรถไว้เรียบร้อยแล้ว ระยะทางบนภูเขาที่เหลืออีกสองร้อยลี้ รับรองว่าพวกท่านจะผ่านไปได้อย่างราบรื่นไร้อุปสรรค ประดุจเดินอยู่บนทางเรียบ”
อาเหลียงเหมือนเป็นคนละคนจากชายคนเมื่อวานที่ใช้ดาบเดียวแทงศัตรู เขากล่าวด้วยสีหน้าเบิกบานเป็นอย่างยิ่ง “ลำบากเจ้าแล้ว ลำบากเจ้าแล้ว สิ่งของรบกวนเจ้าถือไว้ก่อน รอให้ใกล้ออกไปจากเขตของภูเขาฉีตุนเมื่อไหร่ เจ้าค่อยมอบมันให้แก่ข้าอีกครั้ง”
เทพเจ้าที่หนุ่มตกใจที่ได้รับความเมตตาอย่างไม่คาดฝัน “ท่านเซียนใหญ่เกรงใจกันขนาดนี้บั่นอายุข้าน้อยแล้ว”
อาเหลียงเดินขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าว หลังตบไหล่ของเทพเจ้าองค์นี้แล้วก็ส่งเชือกจูงลาขาวให้แก่เขา “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เกรงใจเจ้าแล้วนะ ยังมีม้าตัวนั้นอีก เจ้าพาพวกมันไปที่ชายแดนพร้อมกันเลย”
เทพเจ้าที่หนุ่มกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวและองอาจผึ่งผาย “สมควรอยู่แล้ว ได้เป็นคนนำขบวนม้าให้แก่ท่านเซียนใหญ่ถือเป็นเกียรติอย่างสูงต่อผู้น้อย”
อาเหลียงหันหน้าไปมองหลี่ไหว เมื่อครู่นี้ตอนที่กินข้าว เพื่อแย้งเนื้อวัวผัดเต้าเจี้ยวชิ้นหนึ่งกับเขา เจ้าลูกหมาน้อยทั้งร้องไห้งอแงทั้งโวยวายเอาเรื่อง ใช้ครบทุกวิธีการ ไม่เพียงแต่ขายทั้งแม่ขายทั้งพี่สาวของเขา หากอาเหลียงไม่ยอมปล่อยเนื้อชิ้นนั้น ไม่แน่ว่าเจ้าลูกหมาอาจถึงขั้นขายพ่อของเขาให้อาเหลียงด้วย แน่นอนว่าอาเหลียงไม่ได้ใจอ่อนมีเมตตา สุดท้ายหลี่ไหวที่โมโหหนักถึงขนาดกางเล็บแสยะเขี้ยวเตรียมจะต่อสู้ตัดสินให้รู้ดำรู้แดงกับอาเหลียง จนถึงตอนนี้หนึ่งเด็กหนึ่งผู้ใหญ่ยังตั้งท่าเป็นศัตรูพร้อมชักดาบปะทะกันได้ทุกเมื่อ
อาเหลียงยื่นนิ้วโป้งชี้ไปยังเทพเจ้าที่หนุ่มที่กำลังพูดประจบสอพลออยู่ด้านหลังตัวเอง ความหมายก็คือเจ้าเด็กน้อยเจ้าเห็นหรือยัง นายท่านอาเหลียงอย่างข้าใช้ชีวิตอยู่ในยุทธภพได้ดีแค่ไหน วันหน้าหัดให้ความเคารพกันซะบ้าง
หลี่ไหวกลอกตามองสูง หันหน้าไปถ่มน้ำลายลงบนพื้นอีกหนึ่งที
อาเหลียงกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ออกเดินทางๆ”
หลังจากขาดคำเขาเพียงชั่วขณะก็มีเต่าสามตัวที่กระดองกว้างราวโต๊ะกลมสามตัวทยอยกันเดินขึ้นมาบนยอดเขา กระดองของพวกมันต่างก็เป็นสีแดงสดเหมือนกองเพลิงกองใหญ่ หลังจากที่เทพเจ้าที่หนุ่มถือไม้เท้าสีเขียวมองไปยังพวกมัน เต่าทั้งสามก็หดคอลงพร้อมกัน หนึ่งสิ่งมักจะสยบหนึ่งสิ่งได้เสมอ ในนามราชันย์ยิ่งใหญ่แห่งขุนเขาฉีตุน ก่อนหน้านี้เป็นเพราะพันธนาการด้านตบะ ระยะเวลาหลายร้อยปีที่ผ่านมาเทพเจ้าที่หนุ่มจึงไม่สามารถจัดการงูสองตัวนั้นได้ แต่สัตว์อื่นๆ ที่ยังไม่มีอะไรเป็นโล้เป็นพาย เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาก็ไม่ต่างอะไรไปจากวัว แกะ ไก่หรือหมาที่พวกชาวบ้านเลี้ยงเอาไว้
กระดองของเต่าทุกตัวรองรับคนได้สามคน เทพเจ้าที่หนุ่มละเอียดอ่อนรอบคอบอย่างมาก ถึงได้ตอกรั้วไม้เล็กเตี้ยไว้รอบนอกของกระดองเต่า คุณภาพของไม้ก็แข็งแรงทนทานพอให้คนค้ำยันได้ หลีกเลี่ยงไม่ให้แขกผู้สูงศักดิ์ทั้งหลายกระเด้งกระดอนพลัดตกลงไป หลี่เป่าผิง หลี่ไหวและหลินโส่วอีทยอยกันปีนขึ้นไปบนหลังเต่า หลี่เป่าผิงตะโกนเรียกให้เฉินผิงอันขึ้นไปอยู่กันกระดองเต่าตัวที่นางเลือก อาเหลียงอยู่กับหลี่ไหวและหลินโส่วอี พ่อลูกจูเหอและจูลู่จึงมีพื้นที่ส่วนตัวเป็นของตัวเอง
หลี่ไหวลิงโลด พอเต่าภูเขาขยับตัว ร่างของเด็กชายก็แค่ส่ายเอนเล็กน้อย ไม่ได้กระเด้งกระดอนอย่างเห็นได้ชัด จะอย่างไรซะก็สบายกว่านั่งบนรถม้ารถลากเทียมวัวอยู่มาก แม้มองดูแล้วจะงุ่มง่ามอยู่บ้าง แต่ความเร็วในการลงเขาของเต่าภูเขากลับไม่ช้านัก
หลี่ไหวอารมณ์ดีอย่างมากจึงช่วยทุบเข่าให้อาเหลียงอย่างตั้งอกตั้งใจ “มารดาแท้ๆ ของข้า! นี่เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยนะที่ได้นั่งบนหลังเต่าตัวใหญ่ขนาดนี้ อาเหลียง ในที่สุดผีไร้คุณธรรมอย่างเจ้าก็ทำเรื่องดีๆ กับเขาบ้างแล้ว!”
อาเหลียงมองหลี่ไหวด้วยสายตาเวทนา “เจ้าโตขนาดนี้แล้ว ดูท่าประเพณีพื้นบ้านของเมืองเล็กจะเรียบง่ายมากเลยสินะ”
หลี่ไหวหันไปมองหลินโส่วอี “อาเหลียงกำลังด่าข้าอยู่หรือเปล่า?”
หลินโส่วอีกำลังหลับตาทำสมาธิคล้ายกำลังรับสัมผัสอยู่กับลมภูเขาฤดูใบไม้ผลิที่โชยมาเป็นระลอก จึงทำเหมือนไม่ได้ยินคำถามของหลี่ไหว
หลี่ไหวมองอาเหลียงตาปริบๆ พยายามหาเบาะแสจากสายตาและสีหน้าของชายฉกรรจ์สวมงอบ
อาเหลียงทำหน้าจริงจัง “เป็นคำชม”
หลี่ไหวปรายตายมองดาบยาวฝักสีเขียวที่วางพาดอยู่บนขาอาเหลียง แล้วเหลือบมองไปยังน้ำเต้าใบเล็กสีเงินที่อยู่ตรงเอวเขา เอ่ยถามว่า “อาเหลียง ให้ข้ายืมดาบไม้ไผ่เล่นหน่อยได้ไหม?”
อาเหลียงส่ายหน้า “เจ้าไม่เหมาะใช้ดาบ”
หลี่ไหวขมวดคิ้ว “ถ้าอย่างนั้นข้าเหมาะกับอาวุธอะไร?”
อาเหลียงสีหน้าขึงขัง “เจ้าสามารถใช้เหตุผลพูดกับคนอื่นได้ ใช้เหตุผลพูดให้คนยอมสยบ ใช้คุณธรรมทำให้คนยอมศิโรราบ”
หลี่ไหวถอนหายใจ ไหล่ลู่คอตก “ไม่ได้หรอก”
อาเหลียงที่เดิมทีคิดจะหยอกล้อเด็กชายเล่นกลับแปลกใจขึ้นมาจริงๆ “ทำไมล่ะ?”
หลี่ไหวเงยหน้ามองไปทางอื่น ท่ามกลางต้นไม้เขียวขจีบางครั้งก็มีดอกไม้วสันตฤดูสีสันสดใสแซมให้เห็นผ่านตา เด็กชายพูดเสียงเบา “เสียงข้าเบาเกินไป แม่ข้าเคยบอกว่าเวลาทะเลาะกัน ใครที่เสียงดัง คนนั้นก็คือคนที่มีเหตุผล แต่เวลาอยู่ในบ้าน พ่อข้าไม่ชอบพูด นิ่งเป็นสากกะเบือ พี่สาวข้าก็นิสัยนุ่มนิ่มเกินไป เหมือนน้ำเต้าตันอย่างไรอย่างนั้น ดังนั้นเวลาที่บ้านเกิดเรื่อง ขอแค่แม่ข้าไม่อยู่ พ่อกับพี่สาวข้าก็ได้แต่เบิกตากว้าง มีแต่จะทำให้คนร้อนใจยิ่งขึ้นไปอีก อันที่จริงข้าเองก็ไม่ชอบทะเลาะกับคนอื่น แต่บางครั้งนั่งอยู่บนกำแพงมองท่านแม่ทะเลาะกับคนจนคอโก่งหน้าแดงก็จะกลัวมากว่าหากวันใดแม่ข้าแก่แล้ว ทะเลาะกับคนอื่นไม่ไหวแล้ว จะทำอย่างไร? เดิมทีบ้านของพวกเราก็ยากจนอยู่แล้ว ขนาดบ้านเป็นรูยังไม่มีเงินซ่อมแซม พ่อข้าไม่เอาไหน พี่สาวข้าพอโตไปแล้วก็ต้องแต่งงานไปอยู่ที่อื่น ถึงเวลานั้นถ้าไม่มีคนทะเลาะเก่งๆ อยู่สักคน บ้านเราจะไม่ถูกคนนอกรังแกตายหรอกหรือ?”
สีหน้าของหลินโส่วอีกระตุกเล็กน้อย
อาเหลียงรู้สึกสนุก “จุ๊ๆ อายุก็แค่นี้ คิดไกลขนาดนี้แล้วหรือ?”
เด็กชายกล่าวอย่างจนใจ “ช่วยไม่ได้นี่นา ท่านแม่ชอบพูดว่าบ้านข้ามีเพียงข้าเท่านั้นที่จะเป็นผู้นำได้ อาจารย์ฉีเคยสอนพวกเราว่า คนที่ไม่รู้จักคิดไตร่ตรองล่วงหน้าในระยะยาว ก็มักจะประสบกับความยากลำบากที่อยู่ใกล้ตัวเสมอ ดังนั้นพวกเราจำเป็นต้องกันไว้…อะไรแล้วนะ?”
อาเหลียงรีบพูดประโยคต่อให้ “ดีกว่าแก้”
หลี่ไหวส่ายหน้า “หลินโส่วอี อาจารย์ฉีเคยบอกว่าวิญญูชนต้องทำไมนะ?”
หลินโส่วอีลืมตา เอ่ยเนิบช้า “เก็บซ่อนอาวุธไว้กับตัว รอคอยโอกาสในการลงมือ”
หลี่ไหวชี้ไปที่อาเหลียง “อาเหลียงเจ้าน่ะเป็นแค่น้ำครึ่งถัง แต่ก็ยังกล้าแกว่งส่งเดช”
หลินโส่วอีเริ่มรู้สึกอยากไปนั่งกับเฉินผิงอันและหลี่เป่าผิงเสียแล้ว อย่างน้อยที่นั่นก็ไม่ต้องหนวกหู
อาเหลียงปลดน้ำเต้าบรรจุเหล้าออกจากเอวแล้วยกดื่ม ก่อนหัวเราะเอิ้กอ้าก “ข้าน่ะหรือ เมื่อวานพูดคุยกับเทพเจ้าที่เขาฉีตุนผู้นั้นเรียบร้อยแล้ว ตอนที่แยกกัน เพื่อชดเชยให้แก่ข้า เขากับสัตว์เดรัจฉานสองตัวนั้นต่างก็มอบของขวัญขออภัยให้ข้าคนละชิ้น ก่อนหน้านี้เจ้าเห็นกล่องไม้ใบยาวนั่นแล้วกระมัง คนในยุทธภพเรียกมันว่าหอสมบัติ เมื่อจับมันวางตั้งจะมีความคล้ายคลึงกับชั้นวางร้อยสมบัติอยู่หลายส่วน ด้านในบรรจุสมบัติล้ำค่าไว้มากมาย เดิมทีตกลงกันว่าจะยกให้พวกเจ้าคนละชิ้น แน่นอนว่าเจ้าหลี่ไหวก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น แต่ตอนนี้น่ะ ไม่มีแล้ว”
หลี่ไหวไม่สะทกสะท้าน เพียงพูดอย่างมีเหตุมีผลว่า “อาเหลียง ข้ารู้ว่าในท้องเจ้ามีเรือใหญ่อยู่หนึ่งร้อยลำ!” (เปรียบเปรยว่าเป็นคนใจกว้าง)
อาเหลียงตะลึง “พูดอะไรส่งเดชไปเรื่อย”
หลินโส่วอีพูดเหมือนไม่ใส่ใจว่า “ในท้องเสนาบดีสามารถบรรจุเรือได้” (เปรียบเปรยถึงความใจกว้างของคน คนเป็นผู้ใหญ่ย่อมใจกว้าง)
อาเหลียงตบศีรษะหลี่ไหวหนึ่งทีพลางหัวเราะเสียงดังกังวาน
เต่าภูเขาเดินอย่างผ่อนคลายอยู่บนเส้นทางภูเขาที่เงียบสงบ เป็นเหตุให้คนทั้งกลุ่มอารมณ์ผ่อนคลายตามไปด้วย เมื่อมาถึงจุดที่ทัศนียภาพงดงาม อาเหลียงก็จะให้เฉินผิงอันหยุดพักผ่อนชั่วครู่ ระหว่างนี้ตอนที่ผ่านป่าไผ่ต้นเล็กซึ่งต้นลำเขียวขตีดุจหยก เฉินผิงอันก็จะถือมีดผ่าฟืนที่เหลือครึ่งท่อนอันนั้นไปตัดต้นไผ่มาสองต้น แล้วตัดแบ่งเป็นกระบอกสั้นยาวไม่เท่ากันหลายกระบอกบรรจุไว้ในตะกร้าไม้ไผ่สะพายหลัง หลี่ไหวรู้สาเหตุ จึงดีใจกระโดดโลดเต้น ตะโกนโหวกเหวกว่าจะมีหีบหนังสือแล้ว
เต่าภูเขาสามตัวนั้นนอนหมอบอยู่ห่างออกไป ตอนที่มองเด็กหนุ่มรองเท้าแตะฟันต้นไผ่ ลูกตาสีเหลืองที่ใหญ่เท่ากำปั้นของพวกมันเต็มไปด้วยความนับถือ
อาเหลียงนั่งดื่มเหล้าอยู่ด้านข้าง มองเด็กหนุ่มมือเท้าคล่องแคล่วที่ง่วนอยู่กับงานในมือ กล่าวอย่างอารมณ์ดีว่า “สายตาไม่เลว น่าเสียดายก็แต่โชคดี…ยังไม่มี”
ก่อนจะออกเดินทาง แม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงบอกกับจูเหอว่านางต้องการนั่งไปกับจูลู่เพียงลำพัง จูเหอย่อมไม่ปฏิเสธอยู่แล้ว เพียงแต่กำชับบุตรสาวว่าต้องดูแลคุณหนูให้ดี จูลู่พยักหน้าลับ จูเหอจึงไปนั่งบนกระดองเต่ากับเฉินผิงอัน เด็กหนุ่มเอากระบอกไม้ไผ่สีเขียวขจีราวจะหยดเป็นน้ำออกมาผ่าแล้วปาดให้เป็นเส้นเป็นแผ่น ตอนนี้ยังขาดเชือกป่าน ดังนั้นกว่าหีบหนังสือไม้ไผ่จะเป็นรูปเป็นร่างอย่างแท้จริง อย่างเร็วสุดก็ต้องหลังจากไปถึงเมืองหงจู๋
จูเหอหยิบแผ่นไม้ไผ่ขึ้นมาหนึ่งแผ่น ค้นพบว่าเมื่อมาอยู่ในมือน้ำหนักของมันเบามาก แต่กลับทนทานเป็นพิเศษ นึกถึงไม้เท้าไม้ไผ่สีเขียวที่อยู่ในมือของเทพเจ้าที่หนุ่มก็พลันกระจ่างแจ้ง ป่าไผ่ขนาดใหญ่ไม่ถึงสองจั้งที่ผ่านมาเมื่อครู่นี้ต้องไม่ใช่ไม้ไผ่ธรรมดาแน่นอน ไม่แน่ว่าอาจเป็นหนึ่งในแถบตาน้ำพุอันเป็นที่รวบรวมปราณวิญญาณของเขาฉีตุนก็เป็นได้
จูเหอชื่นชอบคุณหนูของตัวเองจากใจจริงจึงอดพูดเตือนไม่ได้ว่า “ไม้ไผ่พวกนี้น่าจะมีที่มาไม่ธรรมดา หากเป็นมีดผ่าฟืนทั่วไปคงหักบิ่นหรือไม่ก็ใบมีดดีดงอไปแล้ว ดังนั้นรอจนหีบหนังสือสองใบนี้ทำเสร็จ ไม่แน่ว่าคุณหนูของข้าคงน้อยใจ เพราะถึงเวลานั้นกลับจะกลายเป็นว่าหีบหนังสือของนางธรรมดาที่สุด”
เฉินผิงอันตะลึงงัน หันหลังกลับไปมองเต่าภูเขาตัวหลังที่มีพวกอาเหลียงสามคนนั่งอยู่แล้วถามหยั่งเชิงว่า “ป่าไผ่ผืนนั้นเกี่ยวข้องกับเทพเจ้าที่ภูเขาฉีตุนหรือเปล่า?”
——
← ตอนก่อน