ตอนที่ 101.2 พิทักษ์ภูเขา

อาเหลียงพยักหน้ารับ “ถือว่าเป็นรากฐานเก่าแก่ของเขา สกัดดึงเอาปราณวิญญาณฟ้าดิน ร้อยปีถึงจะสามารถหล่อเลี้ยงให้กลายเป็นสีเขียวขจีได้เช่นนี้ ผ่านไปอีกสี่ห้าร้อยปีถึงจะมีหวังว่าจะรวบรวมแก่นไม้เขียวออกมาทีละนิด แต่ว่าไม่เป็นไร เจ้าตัดต้นไผ่มาสองต้นก็แค่อายุขัยสองร้อยกว่าปีเท่านั้น ไม่ถึงขั้นทำให้ไอ้หมอนั่นหัวใจหลั่งเลือดได้หรอก อย่างมากก็แค่เสียดายไปพักหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร”

เฉินผิงอันถอนหายใจ ล้มเลิกความคิดที่จะย้อนกลับไปตัดต้นไผ่เขียวมาอีกต้น

อาเหลียงถาม “ทำไม? สองต้นน้อยไปหรือ? จะให้ช่วยเลือกต้นดีๆ มาให้เจ้าเพิ่มอีกสักหน่อยไหมล่ะ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ช่างเถอะ”

จูเหอถามอย่างแปลกใจ “ไปกลับรอบหนึ่งไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม แล้วก็ไม่ลำบากด้วย”

เฉินผิงอันมองตะกร้าไม้ไผ่ข้างเท้าตัวเองที่มีแผ่นไม้ไผ่และเส้นไม้ไผ่สานอัดแน่นอยู่ด้านใน แต่ก็ยังมีที่ว่างเหลืออยู่มาก แต่เด็กหนุ่มก็ยังส่ายหน้า “เร่งเดินทางสำคัญกว่า”

จูเหอกลับไม่เห็นเป็นสำคัญ กล่าวยิ้มๆ ว่า “บนเส้นทางของการฝึกวรยุทธ์สำคัญที่คำว่า ‘ขัดเกลา’ ไม่ประมือกับคนอื่น ไม่มีใครมาป้อนหมัด ก็ไม่อาจฝึกจนเกิดผลสำเร็จยิ่งใหญ่ได้ ดังนั้นเวลาว่า พวกเราก็ควรมาประลองกันเองเพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ คำพูดไม่น่าฟังเอามาพูดกันก่อน แม้จะบอกว่าเป็นการแลกเปลี่ยนความรู้ แต่นอกเหนือจากที่ข้ารับปากว่าจะไม่ทำให้เจ้ามีบาดแผลแล้ว การลงมือของข้าก็ไม่มีทางเลอะเลือนแน่นอน ดังนั้นเจ้าจงทำใจให้พร้อมว่าหน้าต้องบวมจมูกต้องปูดแน่ๆ”

สีหน้าเฉินผิงอันเต็มไปด้วยความตกตะลึงระคนยินดี ยิ้มกว้างกล่าวว่า “ท่านอาจู ท่านแค่ออกแรงให้เต็มที่ก็พอ”

ไม่ถึงเที่ยงวัน เต่าภูเขาก็เดินมาได้เกือบครึ่งทางแล้ว ทุกคนหยุดพักกันข้างแอ่งน้ำใต้น้ำตกสายหนึ่ง แบ่งงานกันอย่างชัดเจน หุงหาอาหารอย่างคุ้นเคยดี เฉินผิงอันนำเรื่องหีบหนังสือใบเล็กไปบอกกับแม่นางน้อย พอได้ยินเขาแอบบอกเหตุผลกับนาง แม่นางน้อยก็ยิ้มจนหุบปากไม่ลง สุดท้ายบนใบหน้าเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ ตบหีบหนังสือไม้ไผ่ใบเล็กที่ทุกวันนางไม่เคยปล่อยให้อยู่ห่างกาย พูดกับอาจารย์อาน้อยของนางว่า หีบหนังสือที่ดีที่สุดใต้หล้าอยู่ตรงนี้แล้ว อีกอย่างนางยังตั้งชื่อให้มันด้วยว่า ลวี่อี (ชุดเขียว)

กินข้าวเรียบร้อย อาเหลียงก็เรียกให้เฉินผิงอันไปยังริมน้ำของแอ่งลึกสีเขียวเข้ม ปริมาณน้ำของน้ำตกไม่มาก เป็นเหตุให้ไอเย็นไม่หนักหน่วงนัก คนทั้งสองเดินเคียงไหล่กันไปเบื้องหน้า อาเหลียงลังเลอยู่ชั่วครู่ก็ถามว่า “ตามคำบอกของเจ้าก่อนหน้านี้ ตอนนี้แถบภูเขาฝั่งตะวันตกของอำเภอหลงเฉวียนของเจ้าในตอนนี้มีภูเขาลั่วพั่ว ภูเขาเป่าลู่ ยอดเขาฉ่ายอวิ๋น ภูเขาเซียนฉ่าวและภูเขาเจินจู รวมแล้วภูเขาเล็กใหญ่ทั้งหมดห้าลูก?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยความสงสัย แต่ก็ตอบไปช้าๆ อย่างไม่ปิดบัง “ภูเขาลั่วพั่วที่เป็นหนึ่งในนั้นมีมูลค่ามากที่สุด ภูเขาเป่าลู่เองก็ไม่เลว ภูเขาสามลูกที่เหลือธรรมดามาก โดยเฉพาะภูเขาเจินจู ซึ่งก็คือเนินเล็กๆ ที่ไม่สะดุดตาแห่งนั้น”

ฝ่ามืออาเหลียงตบลงบนด้ามดาบเบาๆ ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็กล่าวว่า “ตอนนี้ความคุ้มค่าที่แท้จริงของภูเขาเหล่านี้อยู่ที่ปราณวิญญาณซึ่งพวกมันรวบรวมไว้มีเหนือกว่าฟ้าดินภายนอก ดังนั้นตลอดทางที่พวกเราเดินทางมานี้จึงไม่มีเพียงปีศาจจำแลงห้าตนที่เดินทางมาตามแม่น้ำเถี่ยฝู่ซึ่งพยายามจะเข้าไปในบ้านเกิดของพวกเจ้าเพื่อดูดซับเอาปราณวิญญาณไปเท่านั้น อันที่จริงยังมีภูตผีปีศาจที่เพิ่งเริ่มมีสติปัญญาอีกมากที่มุ่งหน้าห้อตะบึงไปทางนั้น แต่สุดท้ายแล้วมีใครที่โชคดีสามารถยึดครองพื้นที่มุมหนึ่งก็ต้องดูที่โชควาสนาของพวกมันแต่ละตนแล้วว่าจะมีโอกาสได้เดินไปบนมหามรรคาหรือไม่”

อาเหลียงดื่มเหล้าหนึ่งอึกแล้วพูดต่อว่า “แล้วก็ไม่ต้องนึกว่ามีภูตผีปีศาจเข้าไปในภูเขาจะเหมือนขโมยเข้าบ้าน ก็เหมือนภูเขาฉีตุนที่พลังอำนาจไม่ธรรมดาลูกนี้ เหตุใดเทพเจ้าที่ตนนั้นถึงปล่อยให้งูสองตัวค่อยๆ เติบโตอยู่ใต้เปลือกตาของตัวเอง? สาเหตุนั้นง่ายมาก หลังจากที่เขาถูกถอนร่างที่แท้จริงไป หากภูเขาฉีตุนคิดจะรั้งปราณวิญญาณเอาไว้ จึงจำเป็นต้องมีคนยืนขึ้นมา ช่วยเขาพิทักษ์ภูเขา สยบความชั่วร้ายและดูดซับลมปราณเอาไว้”

เฉินผิงอันถาม “อาเหลียง ความหมายของเจ้าคือต้องการให้ข้าเชิบเทพเจ้าที่ของเขาฉีตุนองค์นั้น หรือไม่ก็งูสองตัวให้ไปที่ภูเขาของข้า? เหมือนกับว่า…ช่วยข้าปกป้องบ้านเรือน?”

อาเหลียงย่อตัวลงนั่งยอง หยิบหินก้อนหนึ่งขึ้นมาอย่างไม่ใส่ใจแล้วโยนลงไปในสระ ส่ายหัวยิ้ม “เจ้าพูดถูกแค่ครึ่งเดียว แต่งตั้งเทพภูเขาและเทพแม่น้ำเป็นเรื่องสำคัญในเรื่องสำคัญของราชสำนักต้าหลีในช่วงนี้ เกี่ยวพันกับโชคชะตาของราชวงศ์ พวกเขาไม่มีทางปล่อยให้คนนอกยื่นมือเข้ามาก้าวก่าย ดังนั้นภูเขาเหล่านั้นในบ้านเกิดของพวกเจ้าจะมีกี่ลูกที่ได้ครอบครองเทพภูเขาซึ่งทางราชสำนักให้การยอมรับ ย่อมต้องเป็นคนตายบางคนที่จักรพรรดิต้าหลีเป็นผู้แต่งตั้ง หรือจะพูดให้ถูกก็คือ ต่อให้เทพเจ้าที่ภูเขาฉีตุนที่ฉลาดเฉลียวไปอยู่ที่ภูเขาของเจ้า แต่ในเมื่อไม่ถูกต้องตามทำนองคลองธรรม จะนับเป็นอะไรได้”

“อีกอย่างต่อให้ภูเขาลั่วพั่วหรือภูเขาเป่าลู่ของเจ้าโชคดีมาก ได้รับเทพภูเขาที่ทางราชสำนักแต่งตั้งให้ไปตั้งถิ่นฐาน สร้างศาลเทพภูเขา ตั้งรูปปั้นดินเผาร่างทอง มีคุณสมบัติที่จะเสวยสุขกับควันธูป แต่เทพเจ้าที่ของพื้นที่แถบนี้ยังไม่ได้รับการตรวจสอบอย่างเข้มงวดจากฝ่ายโหราศาสตร์ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่สามารถเป็นเทพภูเขาได้ มีเพียงอยู่ต่อในภูเขาฉีตุน ไม่แน่ว่าอาจจะพอมีหวังอยู่บ้าง เพราะอย่างไรซะหลายร้อยปีมานี้ เขาไม่มีคุณความชอบแต่ก็ทำงานหนัก ยิ่งไม่เคยสร้างเรื่องก่อราวอะไร ไม่แน่วว่าองค์จักรพรรดิต้าหลีอาจจะให้โอกาสเขา เลื่อนขั้นให้กับภูเขาฉีตุน ขณะเดียวกันก็เลื่อนยศให้เขาเป็นเทพภูเขาไปพร้อมกันอย่างสมเหตุสมผล ดังนั้นต่อให้เจ้าขอร้องให้เขาไป เขาก็ไม่มีทางรับปาก สำหรับพวกวิญญาณที่อยู่ตามแม่น้ำภูเขาเหล่านี้แล้ว เรื่องควันธูปและตำแหน่งเทพนั้นสำคัญพอๆ กับชีวิตของคนธรรมดา หรืออาจจะสำคัญยิ่งกว่านั้น เพราะว่าเส้นทางสายนี้ ขอแค่เดินออกไปก้าวเดียวก็ไม่มีทางให้หวนย้อนกลับอีกแล้ว”

เฉินผิงอันนั่งยองอยู่ข้างกายอาเหลียง ถามหยั่งเชิงว่า “จะให้ข้าไปเกลี้ยกล่อมงูสองตัวนั้นมาเป็นพวก?”

อาเหลียงโยนก้อนหิน กล่าวยิ้มๆ ว่า “เรื่องนี้ค่อนข้างจะเลือกได้ยาก แม้ว่าสัตว์เดรัจฉานทั้งสองตัวจะมีชาติกำเนิดไม่แย่ แต่หลายปีมานี้กลับก่อกรรมทำเข็ญมาไม่น้อย ชื่อเสียงจึงไม่ดีนัก..”

เฉินผิงอันถาม “หากข้าอนุญาตให้พวกมันไปที่ภูเขาลั่วพั่วหรือภูเขาเป่าลู่ พวกมันจะรับปากหรือไม่ว่าจะไม่กินคน?”

อาเหลียงตะลึง ลูบคลำปลายคางพลางพูดว่า “กินคน? ภายใต้สถานการณ์ทั่วไปแล้ว มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้นขนาดนั้น รีบฝึกตนยังแทบไม่ทันเลยด้วยซ้ำ แต่จะอย่างไรแล้วงูก็ถือเป็นพันธ์เดียวกับมังกร เป็นสัตว์เลือดเย็น บางครั้งกินอิ่มแล้วเปลี่ยนรสชาติมากินคนบ้าง ก็ไม่แน่เสมอไป ยกตัวอย่างเช่นพวกคนที่ขึ้นเขาไปตัดฟืน หาของป่าซึ่งหากโชคไม่ดี เจอกับพวกมันที่ออกจากรูมาหาอาหาร ก็บอกได้ยากเหมือนกัน”

เฉินผิงอันถามอีก “ถ้าอย่างนั้นพูดตกลงกับพวกมันตั้งแต่แรกเลยได้ไหมว่า ไปฝึกตนอยู่บนภูเขาของข้าได้ แต่ห้ามกินคน อาเหลียง ทำแบบนี้ได้ไหม?”

ชายฉกรรจ์สวมงอบถามกลับ “เจ้าไม่กลัวว่าพวกมันจะให้สัญญาแต่ปาก พอเข้าไปในภูเขาแล้วเจอคนเมื่อไหร่ อ้าปากก็หายไปหนึ่งชีวิตหรือ? จะอย่างไรซะช่วงนี้เจ้าก็ไม่อยู่บนภูเขาอยู่แล้ว”

เฉินผิงอันกล่าวเนิบช้าด้วยสีหน้าแช่มชื่น “อาเหลียงไหนเจ้าบอกว่าที่เมืองหงจู๋มีจุดพักม้าอย่างไรล่ะ จุดพักม้าสามารถส่งจดหมายได้ ข้าสามารถเขียนจดหมายฉบับหนึ่งไปให้ช่างหร่วน ให้เขาสามารถเช่าภูเขาสามลูกซึ่งรวมไปถึงภูเขาเป่าลู่เพิ่มขึ้นได้อีกห้าสิบปี หากช่างหร่วนคิดว่าน้อยเกินไป ข้าก็เพิ่มให้ได้อีกห้าสิบปี จากนั้นก็ให้ช่างหร่วนช่วยข้าจับตาดูสัตว์เดรัจฉานสองตัวนั้น ขอแค่พวกมันกล้าทำร้ายคน ก็ต่อยให้ตายในหมัดเดียวไปเลย จะได้ไม่ต้องอยู่ทำร้ายผู้คนที่เขาฉีตุนแห่งนี้ แน่นอนว่านี่คือสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดแล้ว”

“เมื่อถึงเวลานั้นข้าจะให้งูดำซึ่งมีหวังว่าจะกลายเป็นโม่เจียวไปอยู่ที่เขาลั่วพั่ว ช่วยข้าสะสมทรัพย์สมบัติต่อเนื่องทุกปี อาเหลียงเจ้าเคยบอกว่า หากงูตัวหนึ่งกลายเป็นมังกรลงแม่น้ำได้สำเร็จ ถ้าอย่างนั้นจุดตั้งต้นที่มันเดินลงแม่น้ำก็จะต้องได้รับโชควาสนาครั้งใหญ่ไปด้วยโดยอัตโนมัติ ถูกไหม? ข้ายังถึงขั้นหน้าหนากว่านี้ ขอร้องให้ช่างหร่วนรับปากข้าว่าจะให้มันอาศัยอยู่ในภูเขาเป่าลู่ เจ้าลองคิดดูสิ หากแม้แต่งูขาวก็สามารถกลายเป็นมังกรลงแม่น้ำได้ด้วย ข้าก็ไม่เท่ากับว่าได้กำไรก้อนใหญ่หรอกหรือ แล้วข้าก็กำลังกลุ้มอยู่พอดีเลยว่าซื้อภูเขามาแล้ว แต่ก็ยังไม่วางใจสักที หากมีงูดำและงูขาวเข้าไปอยู่ในภูเขาก็คงรู้สึกว่าภูเขาพวกนี้ไม่ได้ซื้อมาเสียเปล่า เหมือนทุกวันมีเงินเหรียญทองแดงกำใหญ่ไหลเข้าถุงเงินข้าดังกรุ๊งกริ๊งๆ …”

อาเหลียงมองเด็กหนุ่มที่พูดจ้อไม่หยุดด้วยสีหน้าอึ้งค้าง รู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ถามด้วยอารมณ์อันซับซ้อน “เฉินผิงอัน เจ้าชอบหาเงินขนาดนี้เชียวหรือ?”

เฉินผิงอันทำหน้าตะลึงถามกลับ “ใต้หล้านี้มีคนที่ไม่ชอบเงินด้วยหรือ?”

อาเหลียงประคองงอบ ไม่อยากพูดอะไร จะได้ไม่ต้องเปลืองน้ำลายเหมือนสีซอให้ความฟัง

ชายฉกรรจ์ผู้นี้ถอนหายใจก่อนเอ่ยยิ้มๆ ว่า “เดิมทีนึกว่าเจ้าจะต้องปฏิเสธด้วยถ้อยคำที่เต็มไปด้วยเหตุผลเสียอีก”

เฉินผิงอันฟังแล้วก็มึนงง “ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะ?”

อาเหลียงวักน้ำขึ้นล้างหน้าแล้วหันกลับมาส่งยิ้มให้ “ยกตัวอย่างเช่นเจ้าอาจพูดว่าต้องฆ่าสัตว์เดรัจฉานสองตัวนั่นทันที แม้ข้าเฉินผิงอันจะจน แต่คนตระกูลเฉินของข้าเป็นคนตรงไปตรงมา จะยินยอมให้พวกมันเข้ามาในประตูบ้านตัวเองได้อย่างไร อะไรเทือกๆ นั้น เดิมทีข้าเตรียมใจพร้อมจะฟังคำสั่งสอนจากเจ้าแล้ว”

สีหน้าของเฉินผิงอันสงบลง เก็บหินก้อนหนึ่งขึ้นมาแล้วโยนลงแอ่งน้ำเบาๆ เงียบไปครู่หนึ่งก็พลันหันหน้าไปตบไหล่อาเหลียง “อาเหลียง เจ้ายังอายุน้อยเกินไป”

ชายฉกรรจ์สวมงอบเลิกคิ้วขึ้น “โอ๊ะ ดูท่าจะอารมณ์ดีไม่น้อย ถึงขนาดพูดเล่นซะด้วย”

เฉินผิงอันเองก็เลิกคิ้วเลียนแบบชายฉกรรจ์ และนั่นทำให้คนมองรู้สึกว่าเขากวนโอ๊ยอย่างมาก

อาเหลียงหัวเราะฮ่าๆ ลุกขึ้นยืน

เฉินผิงอันลุกตาม แล้วพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงถามอย่างเป็นกังวล “อาเหลียง ประเด็นคืองูสองตัวนั้นจะยอมย้ายรังจริงๆ หรือ?”

อาเหลียงเพียงหัวเราะเฮอๆ โดยไม่พูดอะไร

เฉินผิงอันเห็นว่าชายฉกรรจ์สวมงอบใช้ฝ่ามือดันด้ามดาบเอาไว้

อาเหลียงตบด้ามดาบ พูดล้อเล่น “ดังนั้นเจ้าเองก็ต้องรีบเรียนวรยุทธ์ฝึกวิชาหมัดให้ดี จากนั้นก็ค่อยเรียนกระบี่ เพราะเวลาใดที่เจ้าอยากใช้เหตุผล แต่คนอื่นไม่เอาด้วย ก็ต้องใช้เจ้านี่”

เฉินผิงอันไม่ยอมรับแล้วก็ไม่ปฏิเสธ

คนทั้งสองเดินกลับไปที่เดิมด้วยกัน อาเหลียงถามอย่างใคร่รู้ “ก่อนหน้านี้ทำไมถึงไม่ตัดต้นไผ่มาให้มากหน่อยล่ะ? ของดีแบบนี้ ผ่านหมู่บ้านนี้ไปก็ไม่มีร้านนี้แล้ว วันหน้ามีเงินก็ซื้อไม่ได้”

เฉินผิงอันตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก “เมื่อก่อนเคยมีคนบอกว่า เป็นคนต้องรู้จักพึงพอใจในสิ่งที่มี เมื่อพอดีแล้วก็ควรต้องหยุด”

อาเหลียงไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “ประโยคเฮงซวยแบบนี้ เจ้าจำใส่สมองไว้จริงๆ หรือ?”

เฉินผิงอันใช้สองมือกุมท้ายทอย ส่ายศีรษะไปมาคล้ายไหวเอนไปตามลมเย็น หายากที่เขาจะมีเวลาว่างให้ทำท่าทางเกียจคร้านเช่นนี้ เด็กหนุ่มเอ่ยเสียงเบาว่า “เพราะตั้งแต่เล็กจนโต ข้าไม่เคยได้ยินหลักการยิ่งใหญ่อะไรมาก่อน พอได้ยินมาสองสามประโยคก็ยากที่จะลืมเลือน”

จูเหอที่อยู่ห่างออกไปพลันตะโกนขึ้นมา “เฉินผิงอัน พวกเราหาที่ว่างๆ มาประลองฝีมือกันไหม?”

เด็กหนุ่มจึงชักเท้าวิ่งห้อไปทันที “ดีเลย!”

 ——