แผนซ้อนแผน

 

 

 

ในขณะที่เสี่ยวเชี่ยนกำลังกอดศาสตราจารย์หลิวร้องไห้อยู่ อวี๋หมิงหลางก็กำลังพูดเตือนสติหัวหน้าใหญ่ด้วยวิธีของตัวเอง

 

 

พอออกจากโรงพยาบาลเขาก็ขับรถพาหลิวลี่ไปส่งที่บ้าน

 

 

พอถึงหน้าที่พักหลิวลี่ก็นั่งนิ่งบนรถไม่ยอมลง มองพ่อที่ไม่ได้เจอกันนาน

 

 

“พ่อ จะให้ผมกลับไปแบบนี้เหรอ?” อันที่จริงสิ่งที่เขาอยากถามก็คือ อยู่กับผมต่ออีกหน่อยไม่ได้เหรอ?

 

 

“แกกลับไปก่อน เดี๋ยวพ่อกลับไปหาแม่”

 

 

หลิวลี่ขานรับ จากนั้นก็ลงรถยืนมองอวี๋หมิงหลางขับรถออกไปด้วยความรู้สึกผิดหวัง

 

 

อันที่จริงอวี๋หมิงหลางก็เข้าใจความรู้สึกหลิวลี่ในเวลานี้ เพราะพ่อของเขาก็เอาเวลาส่วนใหญ่ของชีวิตมอบให้คนของประเทศนี้เหมือนกัน

 

 

“หัวหน้าใหญ่ไม่อยู่เป็นเพื่อนลูกหน่อยเหรอครับ?” อวี๋หมิงหลางถาม

 

 

“พรุ่งนี้แล้วกัน ไปหาที่นั่งพักหน่อย” จิตใจของหัวหน้าใหญ่กำลังสับสน เขาเป็นห่วงศาสตราจารย์หลิวแต่ก็ไปที่นั่นไม่ได้ พอเจอหน้ากันก็ทะเลาะ

 

 

กับลูกชายก็ไม่ได้เจอกันนานแล้วเช่นกัน แต่ตอนนี้อารมณ์เขาไม่นิ่ง ไม่อยากเอาความหงุดหงิดไปลงกับลูก

 

 

ผู้ชายพอเกิดเรื่องก็อยากหาที่สงบๆนั่งพักก่อน หรือไม่ก็ดื่มเหล้ากับคนรู้ใจ และก็เห็นได้ชัดว่าอวี๋หมิงหลางเป็นตัวเลือกที่ดี

 

 

“ไปเถอะ เดี๋ยวผมเลี้ยงเหล้าเอง” อวี๋หมิงหลางขับรถผ่านหลิวลี่ที่ยังยืนอยู่ที่เดิม ปัญหาเรื่องหลิวลี่เขาเตรียมจะพูดกับหัวหน้าใหญ่ตอนที่ดื่มเหล้ากัน

 

 

อวี๋หมิงหลางมีวิธีที่น่าจะโอเคอยู่ในใจแล้ว

 

 

หลิวลี่เดินเข้าบ้านด้วยความรู้สึกเศร้าใจ

 

 

พ่อห่างเหินกับเขาเรื่อยๆ ถึงเขาจะเป็นลูกชาย แต่กลับรู้สึกว่าพี่หมิงหลางสนิทกับพ่อมากกว่าอีก

 

 

เขาจะต้องเข้าหน่วยรบพิเศษให้ได้ ทางที่ดีที่สุดต้องถูกเลือกเข้าหน่วยของพ่อ แบบนี้ก็จะได้เห็นเวลาพ่อทำงานเป็นอย่างไร บางทีพ่ออาจจะปฏิบัติกับเขาแบบเดียวกับที่ทำกับพี่หมิงหลาง

 

 

หลิวลี่นั่งลงบนโซฟาพลางครุ่นคิด ทันใดนั้นสายตาของเขาก็ไปหยุดอยู่ที่ของสิ่งหนึ่งบนโต๊ะ

 

 

บนโต๊ะรับแขกมีซองเอกสารสีน้ำตาลวางอยู่

 

 

ดูเหมือนจะเป็นเอกสารของศาสตราจารย์หลิว หลิวลี่หยิบขึ้นมาคิดจะเอาไปวางไว้ในห้องแม่ แต่เอกสารที่อยู่ในซองกลับร่วงออกมา

 

 

เขาก้มลงไปเก็บ แต่แล้วลายมือที่เขียนอย่างหนักแน่นบนนั้นกลับดึงดูดสายตาเขา

 

 

อาการและสาเหตุของโรคอารมณ์แปรปรวนมีอะไรบ้าง

 

 

นี่คือวิทยานิพนธ์ที่เสี่ยวเชี่ยนเอามาให้ศาสตราจารย์หลิวดู

 

 

ตอนแรกสิ่งที่สะดุดตาเขาคือลายมือที่สวยงามนี้ พออ่านผ่านๆดูก็พบว่าเป็นของเฉินเสี่ยวเชี่ยนเขาจึงลองอ่านดู

 

 

วิทยานิพนธ์ของเสี่ยวเชี่ยนเขียนได้มีความเป็นมืออาชีพมาก แต่เข้าใจได้ไม่ยาก ไม่ใช่เอาปัญหาง่ายๆไปเขียนให้ซับซ้อน แต่เป็นการเสนอความคิดใหม่เพื่อดึงดูดคน อ่านแล้วสนุก หลิวลี่เหมือนถูกสะกด

 

 

เสี่ยวเชี่ยนเริ่มเขียนจากการแสดงออกของโรคอารมณ์แปรปรวน ร่ายยาวออกมาได้หลายพันอักษร หลิวลี่นั่งอ่านทีละบรรทัด ทันใดนั้นสายตาของเขาก็เปลี่ยนไป

 

 

หรือบางทีเขาเอาแบบนี้ก็ได้นะ…

 

 

หัวหน้าใหญ่กับอวี๋หมิงหลางต่างสวมชุดทหาร ไม่สะดวกไปดื่มเหล้าข้างนอก อวี๋หมิงหลางจึงซื้อเหล้าของเอ้อกัวโถวสองขวด ซื้อกับแกล้มสองอย่าง แล้วไปเปิดห้องพักของเรือนรับรองทหาร จากนั้นทั้งสองคนก็เริ่มดื่มเหล้า

 

 

หัวหน้าใหญ่ไม่มีทางเอาเรื่องชีวิตส่วนตัวพูดให้คนที่เด็กกว่าฟัง ตอนนี้เขาอึดอัดใจมาก อยากดื่มเหล้าเพื่อผ่อนคลาย

 

 

อวี๋หมิงหลางเห็นขอบตาของเขาดำคล้ำก็รู้ได้ว่าเขาคงรีบมามาก จึงยังไม่รีบเข้าประเด็น ชวนหัวหน้าใหญ่คุยเรื่องในหน่วยไปเรื่อยเปื่อย ถามหัวหน้าใหญ่ไปประชุมมาแล้วมีไอเดียอะไรบ้าง

 

 

คุยสักพักหัวหน้าใหญ่ก็วกเข้าเรื่องการทดสอบวันมะรืน

 

 

“หมิงหลาง ทหารสองคนนั่นที่นายมาดูนายว่าเป็นไงบ้าง?”

 

 

“ตอนนี้ยังโอเคอยู่ครับ แต่ต้องดูการทดสอบในวันมะรืนอีกที”

 

 

การทดสอบก็คือการจำลองสงครามจริงขนาดเล็กเพื่อทดสอบความสามารถทหารที่เข้าร่วมในเรื่องพื้นฐานรวมถึงการแก้ปัญหา คนที่ทำได้ยอดเยี่ยมที่สุดจะได้เข้าหน่วยย่อยโลนวูล์ฟ

 

 

“ภารกิจที่เบื้องบนสั่งมาก็คือให้หน่วยของเราฝึกทหารรบพิเศษออกมาอีกสองกลุ่มแยกออกมาโดดๆ ถึงตอนนั้นหน้าที่ของนายอาจจะหนักขึ้นนะ”

 

 

หัวหน้าใหญ่พูดมาถึงตรงนี้อวี๋หมิงหลางก็เข้าใจ ว่านี่คือการพัฒนาบุคลากรเก่งๆเพิ่ม

 

 

ถึงแม้ช่วงสองปีมานี้เบื้องบนจะฝึกฝนทหารเก่งๆมาตลอด แต่สำหรับหน่วยรบที่เก่งๆแบบนี้บุคลากรยังมีไม่พอ ต้องคัดคนเก่งจากในบรรดาคนเก่งอีกทีแล้วพาไปฝึกต่อ

 

 

พอฟังแบบนี้อวี๋หมิงหลางก็คงจะได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้ากลาง หัวหน้ากลางหนึ่งคนดูแลหน่วยย่อยสามหน่วย

 

 

“หัวหน้าครับ ผมมีความคิดหนึ่งอยากจะเสนอครับ”

 

 

“อะไรเหรอ?”

 

 

“เกี่ยวกับการคัดเลือกในครั้งนี้ ผมอยากให้หลิวลี่เข้าร่วมด้วยครับ”

 

 

“…ใครนะ?”

 

 

หัวหน้าใหญ่คิดว่าตัวเองหูแว่ว

 

 

“หลิวลี่ครับ”

 

 

หัวหน้าใหญ่กระแทกขวดเหล้าเอ้อกัวโถวลงบนโต๊ะ แล้วถลึงตามอง

 

 

“อวี๋หมิงหลางนายคิดจะทำอะไร นี่คือการทดสอบไม่ใช่เกมเด็กๆนะ อย่าว่าแต่หลิวลี่จะไม่ใช่ทหารเลย ต่อให้เขาเป็นทหารที่เข้าหน่วยแล้ว อย่างน้อยก็ต้องผ่านการฝึกมาหนึ่งปีเต็มถึงจะมีคุณสมบัติเข้าร่วมการทดสอบได้ นายคงไม่ได้จงใจจะให้เขาใช้เส้นสายเพราะเป็นลูกชายฉันหรอกนะ? ฉันจะลงโทษนาย แล้วจะไปฟ้องพ่อนายด้วย”

 

 

“…น้าเขย ผมอายุตั้งเท่าไรแล้วยังจะทำเหมือนรายงานผู้ปกครองอีกเหรอ? อีกอย่างนะ พ่อผมเป็นทหารอากาศ หัวหน้าเป็นทหารบกแล้วจะไปฟ้องเขาเนี่ยนะ? เขาจะจัดการผมได้?”

 

 

อวี๋หมิงหลางเปลี่ยนคำเรียก

 

 

หัวหน้าใหญ่อยากจะอัดเขา

 

 

“ฉันจะไปถามเหล่าอวี๋ว่าสอนลูกยังไง เห็นชอบโม้นักว่าที่บ้านเข้มงวดมาก แล้วทำไมถึงได้สอนลูกให้ใช้เส้นสาย? ลูกมันก็ได้พ่อมานั่นแหละ”

 

 

“น้าเขยพูดแบบนี้ก็ไม่ถูกนะ ผมเป็นทหารมาตั้งกี่ปีแล้ว หากจะว่ากันจริงๆ น้าได้สั่งสอนผมมากกว่าพ่ออีก ถ้าน้าอยากจะถามหาต้นตอล่ะก็คงต้องดูตัวเองนั่นแหละไม่ใช่ใครอื่น”

 

 

หัวหน้าใหญ่รู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกเด็กปั่นหัวจึงตบโต๊ะด้วยความโมโห อวี๋หมิงหลางรีบปกป้องกล่องถั่วลิสงเอาไว้ อย่ามาสิ้นเปลืองอาหารนะ ถูกตบจนกระเด้งเลย

 

 

“ฉันเคยสอนนายให้เป็นคนใช้ทางลัดตั้งแต่เมื่อไร? จะบอกให้นะ หน่วยเรานับตั้งแต่วันที่ก่อตั้งขึ้นมา ประตูเปิดรับแค่คนที่มีความสามารถเท่านั้น ขาดคุณสมบัติแค่ข้อเดียวก็ไม่ได้ เขาเป็นลูกชายฉันแล้วไงล่ะ? ความสามารถไม่พอก็ไม่ได้อยู่ดี ถ้ายอมให้เรื่องนี้เกิดขึ้นแล้วทหารคนอื่นๆที่เขาลำบากมาแทบตายจะมองยังไง? โลกภายนอกมีมุมมืดมากมาย แต่ความมืดเหล่านั้นปกคลุมมาไม่ถึงหน่วยเรา อีกอย่างหน่วยเราจะเหมือนสังคมข้างนอกได้ยังไง?”

 

 

อวี๋หมิงหลางพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง “ใช่ครับใช่ น้าเขยพูดถูก น้าหนวดยาว พูดอะไรก็ถูกหมด เป่าหนวดให้ผมดูหน่อย”

 

 

พูดจบก็อุ้มกล่องถั่วลิสงหนี ไม่หนีได้โดนอัดแน่

 

 

“ฉันพูดเรื่องจริงจังกับนาย ยังจะมาทำทะเล้น” หัวหน้าใหญ่โมโหจนจะเป็นบ้า

 

 

“ผมก็พูดเรื่องจริงจังนะ ที่น้าพูดก็เหมือนกับที่ผมคิดนั่นแหละ เพียงแต่น้าเข้าใจผิดในสิ่งที่ผมจะทำ ผมไม่ได้จะให้หลิวลี่เข้าหน่วยเรา กฎของหน่วยเราผมเป็นคนตั้ง ผมจะกล้าตบหน้าตัวเองอย่างนั้นเหรอครับ?”