ยื่นขอเป็นกรณีพิเศษ

 

 

 

หน่วยรบพิเศษไม่ใช่หน่วยที่จะอาศัยความสัมพันธ์ก็เข้าได้ สมาชิกทุกคนต่างยอดเยี่ยมที่สุด แต่ละคนหากเลือกออกมาเดี่ยวๆก็สามารถเอาตัวรอดได้ แต่ทุกคนต่างเป็นส่วนหนึ่งของกันและกัน ทำภารกิจจะต้องอาศัยความร่วมมือเพื่อให้ลุล่วงไปได้ด้วยดี หัวใจสำคัญก็คือการทำงานกันเป็นทีม

 

 

หากอยู่ๆก็ปรากฏคนที่ความสามารถไม่พอ ไม่รับผิดชอบต่อคนอื่น ดีไม่ดีอาจต้องเหนื่อยมากกว่าเดิม

 

 

“แล้วนายยังจะมาบอกให้เขาเข้าร่วมการทดสอบ” หัวหน้าใหญ่โมโห

 

 

“ผมแค่อยากให้เขาได้มาสัมผัสว่าทหารที่แท้จริงเป็นยังไง ตอนนี้ภาพของพวกเราในสายตาของเขาหยุดอยู่ที่พี่ชายของเขา จุดประสงค์ที่เขาอยากเป็นทหารไม่เหมือนคนอื่น ผมเลยอยากให้เขาได้มาลองสัมผัสดู เขาจะได้เข้าใจพ่อกับพี่ชายให้มากขึ้น เป็นการช่วยเรื่องทางเดินชีวิตของเขาหลังจากนี้ด้วย”

 

 

รูปแบบการคัดเลือกคนของพวกเขาก็คือการจำลองสถานการณ์สงครามขนาดเล็ก อาวุธขนาดเล็ก ให้สัมผัสกับสงครามจริงในยุคสมัยที่บ้านเมืองสงบสุข การให้หลิวลี่เข้าร่วมเป็นวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดที่อวี๋หมิงหลางคิดได้

 

 

“ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด การคัดเลือกของพวกเราอย่าว่าแต่เด็กที่ไม่ได้ผ่านการฝึกมาอย่างถูกต้องแบบเขาเลย ต่อให้เป็นทหารทั่วไปก็ยังรู้สึกว่ายากมาก เขาไปแล้วจะทำอะไรได้ อีกอย่างไม่เคยมีกรณีแบบนี้มาก่อนที่ให้คนที่ยังไม่ได้เป็นทหารเข้าร่วมการทดสอบของพวกเรา”

 

 

“แค่ให้เขาไปสัมผัส ผ่านไม่ผ่านยังไงก็ไม่ให้เขาเข้าอยู่ดี”

 

 

“นายคิดว่าหน่วยของเราเป็นสนามเด็กเล่นให้คนมาทดลองไงก็ได้เหรอ? ใครมาก็ได้เหรอ? ฉันขอย้ำอีกรอบนะว่าไม่เคยมีกรณีแบบนี้มาก่อน”

 

 

หัวหน้าใหญ่โมโหสุดขีด อวี๋หมิงหลางกลับนิ่ง ทันใดนั้นก็ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์

 

 

“แกยิ้มอะไร?”

 

 

“ผมยิ้ม…หัวหน้าโมโหตอนนี้ก็สายไปแล้ว เรื่องนี้เดี๋ยวก็จะมีตัวอย่างแล้วล่ะครับ” อวี๋หมิงหลางจัดการไปเรียบร้อยแล้ว

 

 

“หมายความว่าไง?” หัวหน้าใหญ่อยู่ๆก็รู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี

 

 

“ผมโทรบอกผู้นำไปแล้ว เรื่องนี้เขาให้เป็นกรณีพิเศษ ส่วนหนังสืออนุญาตอย่างเป็นทางการอีกไม่กี่วันก็ออกมา”

 

 

หัวหน้าใหญ่อึ้ง แล้วก็เปลี่ยนเป็นโมโหทันที

 

 

“ไอ้เด็กเลว แกกล้าข้ามหน้าข้ามตาเลยเรอะ”

 

 

“ผมรู้ว่าหัวหน้าไม่มีทางเห็นด้วย ดังนั้นเมื่อกี้ตอนที่ซื้อถั่วลิสงในร้านอาหาร ผมเลยฉวยโอกาสตอนที่หัวหน้าแย่งจ่ายไปแอบโทรหาผู้นำ ท่านชมผมด้วย แล้วบอกว่าเรื่องนี้ให้เป็นกรณีพิเศษ”

 

 

หัวหน้าใหญ่โมโหจนลุกขึ้นยืนแล้วไล่ตีอวี๋หมิงหลาง

 

 

พื้นที่มีอยู่แค่นั้น แต่อวี๋หมิงหลางกระโดดขึ้นกระโดดลง ไม่ปล่อยให้หัวหน้าใหญ่ตีได้ง่ายๆ

 

 

“ผู้นำทำไมถึงปล่อยให้แกก่อเรื่องได้? มันจะมากเกินไปแล้ว อย่าหลบนะ” หัวหน้าใหญ่ชี้อวี๋หมิงหลางด้วยความโกรธ

 

 

อวี๋หมิงหลางยิ้มกวน “ไม่หลบก็ถูกตีสิ วันมะรืนผมยังต้องไปคุมสอบอีกนะ น้าเขยอย่าทำให้ผมน่วมขึ้นมานะ เสียภาพลักษณ์หมด…

 

 

“ฉันจะเอาให้แกใช้ชีวิตไม่ได้เลย ไม่ได้ แกต้องโทรหาผู้นำ เรื่องนี้ห้ามอนุญาต”

 

 

หัวหน้าใหญ่ล้วงโทรศัพท์ออกมา อวี๋หมิงหลางก็ยังจะพูดแซว

 

 

“หัวหน้า เปลี่ยนโทรศัพท์ได้แล้วนะครับ พูดถึงเรื่องโทรศัพท์ผมก็เพิ่งนึกได้ ก่อนหน้านี้หัวหน้าคิดจะซื้อโทรศัพท์ให้น้าหลิว อยากจะคืนดีกับเขาใช่ไหมล่ะ? แต่ปรากฏว่าถูกเขาเขวี้ยงออกมา ผู้หญิงน่ะง้อแบบนั้นไม่ได้นะ ดูอย่างผมกับลูกเชี่ยนสิ รักกันจะตาย…เฮ้ย”

 

 

เขากระโดดหลบลูกถีบของหัวหน้าใหญ่ที่ลอยมาด้วยความน่ากลัว นี่ถ้าโดนเข้าได้ช้ำในแน่

 

 

“หุบปากไปเลย” เห็นหน้าแล้วก็โมโห

 

 

“ผมเตือนด้วยความหวังดีนะ หัวหน้าโทรไม่ติดหรอก ผู้นำไม่มีทางรับ เราสองคนตกลงกันไว้แล้ว อีกอย่างเขาออกเป็นหนังสือด่วน ตอนนี้คงไปถึงที่หน่วยแล้วมั้ง ทหารต้องทำตามคำสั่ง หัวหน้าคัดค้านก็ไม่มีประโยชน์…”

 

 

“ไอ้บ้านี่ แกไปล้างสมองเขายังไง?”

 

 

“ผมไม่ได้ล้างสมองนะ เขาเข้าใจ ผมก็เข้าใจ พวกเราทุกคนต่างเข้าใจ เรื่องนี้ต้องจัดการแบบนี้”

 

 

ก่อนที่อวี๋หมิงหลางจะโทรหาผู้นำเขาได้โทรหาเฉียวเจิ้นรองหัวหน้าคู่ใจก่อนแล้ว เฉียวเจิ้นเห็นด้วยกับวิธีของอวี๋หมิงหลาง แต่อวี๋หมิงหลางรู้สึกว่าเสียงของเฉียวเจิ้นตอนคุยโทรศัพท์ทำไมถึงฟังดูแปกลๆ…?

 

 

“เพราะเขาเป็นลูกชายฉัน?” หัวหน้าใหญ่ไม่มีอารมณ์จะพูดดีด้วย ชีวิตนี้เขาเกลียดที่สุดก็คือคนที่ใช้อำนาจโดยพลการ ทนเห็นอะไรแบบนี้ไม่ได้ ถ้ายอมเปิดไฟเขียวให้ลูกเขา แบบนั้นเขาคงได้หงุดหงิดไปทั้งปี

 

 

“ไม่ใช่ครับ เพราะเขาเป็นน้องชายของพวกเราทั้งหน่วย โลนวูล์ฟจากไปแล้ว น้องชายของเขาก็เหมือนน้องชายของทุกคน พวกเราไม่มีทางไม่แยแสน้องชายตัวเอง เขาเป็นลูกชายหัวหน้าก็จริง แต่เขาก็เป็นเหมือนญาติพี่น้องของพวกเราเหมือนกัน ผู้นำเข้าใจยิ่งกว่าหัวหน้าอีก”

 

 

หัวหน้าใหญ่อึ้งไปกับคำพูดของอวี๋หมิงหลาง อวี๋หมิงหลางเดินเข้าไปพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง

 

 

“เรื่องจริงที่เขาเป็นลูกชายหัวหน้า แต่เขาก็เป็นน้องชายเพียงคนเดียวของวีรบุรุษของพวกเราด้วย พวกเราจะปล่อยให้วีรบุรุษของเราไปอย่างมีเรื่องค้างคาใจได้ยังไง พวกเราฝึกกันมาอย่างร่วมเป็นร่วมตาย ทุกคนต่างเป็นพี่น้อง โลนวูล์ฟไม่ใช่แค่ลูกชายของหัวหน้า เขาเป็นพี่น้องของพวกเรา วีรบุรุษของพวกเรามีน้องชายอยู่แค่คนเดียว ตอนนี้เด็กคนนี้เหมือนกำลังหลงทางในการใช้ชีวิต แล้วพวกเราในฐานะที่เป็นพี่จะไม่สนใจเขาเหรอครับ?”

 

 

“แต่ว่า…” หัวหน้าใหญ่หวั่นไหวกับคำพูดของอวี๋หมิงหลาง เขานึกไม่ถึงว่าอวี๋หมิงหลางจะทำไปเพราะเหตุผลนี้

 

 

“ไม่มีแต่ครับ ผมทำเรื่องนี้ไม่ได้เพราะเห็นแก่หน้าของหัวหน้า และที่ผู้นำอนุญาตก็ไม่ใช่เพราะหัวหน้า เรื่องในวันนี้ถ้าหลิวลี่ไม่ใช่ลูกชายของหัวหน้า โลนวูล์ฟไม่ใช่ลูกชายของหัวหน้า เป็นน้องชายของคนอื่นในทีม หัวหน้าจะไม่อนุญาตเหรอครับ?”

 

 

นั่นสิ จะไม่อนุญาตได้ยังไง

 

 

หัวหน้าใหญ่หวั่นไหวต่อคำพูดของอวี๋หมิงหลาง เรื่องนี้หากเป็นน้องชายของคนอื่นๆในทีม เขาต้องอนุญาตแน่นอน และก็คงเป็นเหมือนผู้นำที่ชื่นชมอวี๋หมิงหลาง

 

 

“ทหารทุกหน่วยต่างให้ความสำคัญกับญาติของทหาร ต่อให้ไม่ใช่วีรบุรุษ เป็นญาติของทหารทั่วไป พวกเราก็ยังต้องให้ข้าวกับน้ำมัน การดูแลครอบครัวของวีรบุรุษเป็นธรรมเนียมอันมีเกียรติ แล้วทำไมพอมาถึงหัวหน้ากลับกลายเป็นการใช้ทางลัดล่ะครับ?”

 

 

อวี๋หมิงหลางพูดเรื่องจริง

 

 

หัวหน้าใหญ่นิ่งเงียบไปนานถึงเอ่ยปากพูด

 

 

“เรื่องลูกฉันจะไปคุยกับแม่ของเขา พวกเราต้องคำนึงถึงเรื่องที่จะไม่ทำให้ทางหน่วยลำบาก อันที่จริงถ้าไม่ใช่เพราะแม่เขาไม่ยอมเข้าใจ ฉันไม่อยากให้เบื้องบนหางานให้หลิวลี่เลยด้วยซ้ำ”

 

 

นโยบายของเบื้องบนที่มีต่อวีรบุรุษที่ต้องสละชีพเพื่อชาติดีมาก ถ้าโลนวูล์ฟมีลูก ทางการทหารจะอุปการะจนกว่าเด็กจะอายุ18 รวมถึงการส่งเสียเล่าเรียน แต่โลนวูล์ฟไม่มีลูก ทางการจึงหางานให้น้องชายเขา เรื่องแค่นี้ยังเทียบไม่ได้เลยจริงๆ เพราะโลนวูล์ฟใช้ชีวิตแลกมา ชีวิตวันข้างหน้าของหลิวลี่ทางการต้องดูแลเป็นอย่างดี

 

 

แต่ต่อให้เป็นแบบนี้หัวหน้าใหญ่ก็ยังไม่สบายใจ ไม่อยากให้ทางหน่วยต้องลำบาก เรื่องนี้ทำให้เขาต้องทะเลาะกับศาสตราจารย์หลิว ความขัดแย้งของสองสามีภรรยาจึงมีมาตลอด