หันไปทางไหนเจอแต่น้ำ 

 

 

น้ำทะเลที่ท่วมท้นจนจมตัวเธอไปแทบจะมิดศีรษะ 

 

 

ข้อเสียที่ไม่น่าให้อภัยที่สุดของเฉินฝานซิง คือเธอว่ายน้ำไม่เป็น 

 

 

แต่ตอนนี้เธอกลับตกลงมากลางทะเล รสเค็มของทะเลล้นทะลักเข้าเต็มปอด 

 

 

ความหนาวเย็นที่เสียดแทงเข้าไปถึงกระดูกของน้ำทะเลในต้นฤดูใบไม้ผลิและความหวาดกลัวเพราะหายใจไม่ออกค่อยๆ เข้าโจมตี 

 

 

เวลานี้บนดาดฟ้าเรือสำราญคนจำนวนมากได้กรูกันออกมา 

 

 

งานสังสรรค์ของค่ำวันนี้มีแต่เหล่าบรรดาคุณหนู คุณชาย 

 

 

ถึงแม้ยี่สิบกว่าชีวิตจะไม่ใช่จำนวนมากมายแต่เมื่อรวมค่าตัวแต่ละคนเข้าไปแล้วมูลค่าของมันสามารถซื้อผืนฟ้าขนาดย่อมได้เลยทีเดียว 

 

 

นอกจากเหนือฟ้ายังมีฟ้าแล้วเหนือฟ้าก็ยังมีบริษัทในเครือสกุลป๋อ 

 

 

คลื่นพายุได้ก่อตัวขึ้นกลางทะเลในขณะนี้ ฝนเม็ดโตเริ่มโรยตัวลงมาแต่ไม่นานมันก็เทลงมาราวกับฟ้ารั่ว 

 

 

สองร่างที่ตกลงสู่ผืนน้ำยังคงดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอด! 

 

 

“ช่วยด้วย…” 

 

 

“ช่วยด้วย…” 

 

 

เสียงร้องของทั้งคู่แทบจะถูกกลืนหายไปท่ามกลางสายฝนที่ซัดกระหน่ำ 

 

 

ทันใดนั้นร่างสูงสง่าก็พุ่งตัวออกมาจากฝูงชน 

 

 

ทันทีที่สายตาเห็นสองร่างที่กำลังตะเกียกตะกายอย่างสุดชีวิตอยู่กลางทะเล ความตื่นตระหนกก็ได้ฉายชัดบนใบหน้าอันหล่อเหล่า 

 

 

เขาทะยานลงสู่ผืนทะเลอย่างไม่รีรอ แม้แต่เสื้อสูทที่สวมอยู่ก็แทบจะไม่ได้ถอด 

 

 

ฝนห่าใหญ่ตกกระทบผิวน้ำ ดวงตาพร่ามัว ชายหนุ่มออกแรงสุดกำลังจนในที่สุดเขาก็สามารถช่วยขึ้นมาได้หนึ่งชีวิต 

 

 

“เชียนโหรว เชียนโหรว ฟื้นสิ…” 

 

 

ชายหนุ่มหอบหายใจ ตะโกนเรียกหญิงสาวในอ้อมแขนที่หมดสติไป อย่างไม่สนใจสภาพของตัวเอง 

 

 

โดยที่ลืมนึกถึงใครอีกคนที่ยังไม่ได้ถูกช่วยขึ้นมาไปเสียสนิท… 

 

 

นาทีนั้นเสียงของหญิงสาวคนหนึ่งได้ดังขึ้นท่ามกลางบรรดาเหล่าผู้ลากมากดี… 

 

 

“ฝานซิงล่ะ เฉินเชียนโหรวเรียกเธอออกมาไม่ใช่เหรอ ตอนนี้เธออยู่ไหน?!” 

 

 

“ใช่! เฉินฝานซิง…เฉินฝานซิงก็ตกลงไปด้วย!” 

 

 

เสียงคนตะโกนขึ้นมาอย่างตื่นตระหนก ผู้คนบนดาดฟ้าต่างพากันใจหายวาบ! 

 

 

แสงสีขาวสว่างวาบขึ้นจากที่ไกลๆ ก่อนที่ฟ้าจะส่งเสียงคำรามดังกึกก่อง จนแทบจะฉีกท้องฟ้ายามค่ำคืนและผืนทะเลสีดำให้แหลกไปพร้อมๆ กัน 

 

 

ผู้คนพากันมองเกลียวคลื่นสีดำที่ก่อตัวขึ้นเป็นระลอก แต่ก็ไร้วี่แววของอีกคน 

 

 

จู่ๆ หญิงสาวที่เพิ่งบอกว่าเฉินฝานซิงกับเฉินเชียนโหรวตกน้ำไปด้วยกันนั้นก็ได้ตะโกนขึ้นทั้งน้ำตา! 

 

 

“ฝานซิงว่ายน้ำไม่เป็น!!!” 

 

 

ร่างชายที่กำลังโอบกอดเฉินเชียนโหรวอยู่นิ่งไปราวกับถูกสาป 

 

 

จริงสิ เขามั่นใจว่าเมื่อกี้เขาก็เห็นฝานซิง 

 

 

ชั่วพริบตาที่เสียงร้องผู้หญิงคนนั้นสิ้นสุดลง เสียง ตูมมม ของใครอีกคนกระโดดลงไปก็ดังขึ้น… 

 

 

ขณะที่เฉินฝานซิงถูกช่วยไว้ได้ เฉินเชียนโหรวก็ได้สำลักน้ำออกมาและได้สติขึ้นในเวลาเดียวกัน 

 

 

แยกไม่ออกว่าที่เห็นอยู่บนใบหน้าอันซีดเซียวนั้นคือหยาดฝนหรือหยดน้ำตา เธอร้องพลางมองชายคนที่อยู่ตรงหน้า 

 

 

“พี่เหิง…” 

 

 

เธอร้องออกมาแล้วคว้าคอเขามาโอบเอาไว้ ใบหน้าซีดขาวขนาดเท่าฝ่ามือซุกเข้าหาอ้อมกอดของชายที่ถึงแม้จะเปียกโชกไปทั้งตัวแต่ก็ยังคงความหล่อเหลาเอาไว้ 

 

 

ถึงแม้คิ้วของชายหนุ่มขมวดมุ่นเล็กน้อย จนไม่สามารถเดาความคิดเขาออกได้ แต่ต่อมาฝ่ามือก็ค่อยๆ วางลงบนเอวของหญิงสาวและกระชับแผ่วเบา 

 

 

“ไม่ต้องกลัวนะ ไม่มีอะไรแล้ว” 

 

 

น้ำเสียงอบอุ่นเจือกับความยินดีอย่างปิดไม่อยู่ในความโชคดีที่รอดมาได้ 

 

 

ผู้คนบนดาดฟ้าที่เห็นเหตุการณ์ส่งเสียงฮือฮาขึ้นมาอีกระลอก 

 

 

ทุกสายตาจับจ้องไปยังร่างที่ถูกช่วยขึ้นมาทีหลังอย่างพร้อมเพรียง 

 

 

การปั๊มหัวใจสลับกับผายปอดเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่านับสิบๆ ครั้งจนในที่สุดเธอก็สำลักน้ำทะเลออกมาสองอึก 

 

 

แผงขนตาเรียวยาวสั่นเทา เปลือกตาหนักอึ้งเปิดเล็กน้อย 

 

 

ทั้งๆ ที่รู้สึกเบลอๆ แต่กับภาพของทั้งสองคนที่กำลังกอดกันอยู่ข้างๆ เธอกลับมองเห็นได้อย่างชัดเจน 

 

 

เธอค่อยๆ แสยะยิ้มขึ้นมุมปาก หยาดฝนตกลงปะทะผิวหน้าขาวซีดของเธอไม่เว้นระยะ จนเธอค่อยๆ หมดสติลงไปอีกครั้ง 

 

 

– 

 

 

เฉินฝานซิงฝืนกลับมามีชีวิตอีกครั้งอย่างเสียไม่ได้ 

 

 

กว่าเธอจะฟื้นขึ้นก็ปาเข้าไปเที่ยงของวันที่สาม ในห้องผู้ป่วยไม่มีใครนอกจากเธอ 

 

 

แสงสีขาวสาดเข้ามาผ่านทางหน้าต่าง ถึงแม้เธอจะอ่อนเพลียแต่ดวงตาสุกใสกลับจับจ้องฝุ่นละอองที่ล่องลอยภายในห้องผู้ป่วยอย่างไม่แยแส ยากที่จะคาดเดาความคิด 

 

 

สุดท้ายเธอก็ลุกออกจากเตียงและลากร่างกายที่อ่อนโรยไปเข้าห้องน้ำด้วยตัวเอง 

 

 

เมื่อคิดถึงความสวยงามของแสงตะวันที่อยู่ภายนอก เธอจึงอยากที่จะออกไปเดินเล่นเสียหน่อย 

 

 

ถึงแม้ร่างกายไม่เอื้ออำนวย แต่เธอก็ไม่ขอรออยู่ในห้องที่หนาวเหน็บเช่นนี้ 

 

 

ณ สวนสาธารณะหลังโรงพยาบาล 

 

 

บนร่างของเธอสวมเพียงชุดคนไข้บางๆ ถึงแม้ว่าแดดจะอุ่นกำลังดี แต่ก็ยังแอบหนาวอยู่เล็กน้อย 

 

 

เมื่อหาที่เงียบสงบเพื่อเป็นที่พักพิงได้แล้ว เธอทอดมองไปยังต้นจือจื่อฮวาที่ห่างไปไม่ไกล ขณะนี้บนต้นของมันปรากฏให้เห็นดอกตูมที่กำลังรอคอยการผลิบาน 

 

 

สองแขนยกขึ้นกอดร่างกายที่ถึงแม้ซูบลงอย่างเห็นได้ชัด แต่ก็ยังคงไม่ละทิ้งความทะนงตัว 

 

 

เธอมีหน้าตาที่สะสวย แต่ก็น่าเสียดายที่ความรู้สึกต่างๆ ไม่ได้ปรากฏให้เห็นบนใบหน้างามได้รูปนี้ มานานนับปีแล้ว 

 

 

แต่เสน่ห์ของเธอกลับไม่ถูกลดทอนลงไปแม้แต่น้อย เพียงแค่มองเธอยืนอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ใบหน้าขาวผ่อง เรือนผมดำขลับ ความโดดเดี่ยวที่ละทิ้งโลกทั้งใบไว้ข้างหลัง ผสมกันออกมาเป็นความน่าค้นหาที่ไม่เหมือนใคร 

 

 

เธอค่อยๆ สูดหายใจเข้าจนเต็มปอด อารมณ์ค่อยๆ ดีจากก่อนหน้านี้สักหน่อยแล้ว ทันใดนั้นเบื้องหน้าของเธอก็ปรากฏให้เห็นร่างของบุคคลที่มาใหม่ 

 

 

ไอน้ำสีขาวลอยอยู่เหนือกระบอกน้ำร้อนในมือของเฉินเชียนโหรว ผมลอนยาวประบ่า ดวงตาสุกสกาวฟันขาวเป็นประกาย แถมยังคลุมเสื้อสูทของผู้ชายทับไว้บนบ่า 

 

 

เฉินเชียนโหรวมองใบหน้าสวยที่กำลังตีสีหน้าเยือกเย็นของพี่สาว นิสัยเย่อหยิ่ง เรียวคิ้วดุดันทรงอำนาจ จนอดที่จะรู้สึกอิจฉาไม่ได้ 

 

 

ทว่าเมื่อได้เห็นร่างกายที่ซูบผอมลง เฉินเชียนโหรวก็กระหยิ่มยิ้มย่องอย่างลำพองใจ จากนั้นยกมือขึ้นกระชับเสื้อสูทที่อยู่บนบ่าราวกับเป็นการโอ้อวด 

 

 

เฉินฝานซิงจ้องมองเธอด้วยแววตาเฉียบเย็น “จะจองเวรกันไปถึงไหน!” 

 

 

เฉินเชียนโหรวเลิกคิ้วขึ้น ก้าวเขาหาเฉินฝานซิงอย่างเชื่องช้า ไล่มองใบหน้าซีดเซียวและร่างกายที่ผ่ายผอมของพี่สาวก่อนจะยิ้มออกมาอย่างน่ามอง 

 

 

เธอก้มตัวลงไปอยู่ต่อหน้าเฉินฝานซิงก่อนเอ่ยขึ้นเสียงต่ำ 

 

 

“ยังไม่ยอมแพ้อีกเหรอคะพี่ ตอนนี้แม้แต่ผู้ชายที่เธอรักสุดหัวใจ ก็ยังมาตกหลุมรักฉัน…”