บทที่ 2 ร้านค้า

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

เรื่องที่เหนือความคาดหมายอย่างการเกิดใหม่นั้น อวี้ถังนึกว่าจะทำให้ตนเองนอนไม่หลับ ใครจะคิดว่าทันทีที่หัวถึงหมอน ได้ดมกลิ่นส้มโอมืออันคุ้นเคยที่ลอยอบอวล แม้กระทั่งฝันก็ยังไม่มีให้เห็น พอหลับลงก็ข้ามไปอีกวันหนึ่งทันที 

 

 

ทว่านางไม่ได้รู้สึกตัวตื่นเอง 

 

 

แต่ถูกซวงเถาปลุกให้ตื่น “คุณหนูใหญ่ นายหญิงใหญ่มาแล้วเจ้าค่ะ!” 

 

 

ทุกครั้งตอนที่อวี้ถังตื่นนอนมักจะสะสึมสะลือง่วงงุนอยู่บ้าง 

 

 

นางนั่งเอนพิงหัวเตียง พยายามปรือตากลมโตที่วาววับชุ่มฉ่ำ ผ่านไปครึ่งวันกว่าจะเรียกสติกลับมาได้ นางอ้าปากหาวทีหนึ่ง “ป้าสะใภ้ใหญ่? ป้าสะใภ้ใหญ่มาตั้งแต่เมื่อไร?” 

 

 

ระหว่างที่พูด อวี้ถังก็นึกออกในทันใด สัมปชัญญะพลันตื่นขึ้นอย่างสมบูรณ์ 

 

 

ชาติก่อน วันที่สองหลังจากถนนฉางซิ่งไฟไหม้ ฟัายังไม่ทันจะสว่าง ป้าสะใภ้ของนางก็เดินทางมาถึง บอกว่าอากาศร้อนอบอ้าว นอนไม่ค่อยหลับ แต่ละวันผ่านไปอย่างทรมาน จึงได้หยิบเข็มกับด้ายมาทำงานด้วย ความจริงก็แค่หาข้ออ้างรั้งตัวนางกับมารดาให้อยู่แต่ในเรือนทั้งวัน กระทั่งตกเย็น ลุงใหญ่กับลูกชายของเขาจัดการธุระที่ร้านค้าเสร็จ ส่งจดหมายถึงบิดาที่อยู่ไกลออกไปถึงเมืองซูโจวแล้ว ป้าสะใภ้ถึงได้เดินทางกลับ 

 

 

ต่อให้เป็นเช่นนี้ แต่ตอนที่ป้าสะใภ้กลับไปก็ยังกำชับบ่าวรับใช้ในเรือนไว้เป็นพิเศษว่า ไม่อนุญาตให้หลุดปากบอกข่าวเรื่องที่ร้านให้นางกับมารดารู้แม้แต่นิดเดียว แล้วทิ้งป้าหวังซึ่งเป็นบ่าวรับใช้ข้างกายของป้าสะใภ้เอาไว้ที่เรือน บอกให้นางทำขนมตังเมเกล็ดหิมะ 

 

 

มารดาของนางชื่นใจหนักหนาเมื่อเห็นว่านางสนใจงานครัว จึงย้ายเก้าอี้ไปนั่งในห้องครัวเป็นเพื่อนนาง แค่ขนมตังเมเกล็ดหิมะ ก็ควบคุมให้พวกนางสองแม่ลูกอยู่ในเรือนได้จนกระทั่งบิดากลับมาถึง 

 

 

ตอนที่บิดามาถึง ก็รู้รายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องร้านค้าเพียงผิวเผินเท่านั้น ถ้ามิใช่เพราะภาพ ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ ผืนนั้นที่ผู้อื่นมาทวงถามเงิน มารดาก็คงยังไม่รู้ว่าครอบครัวขัดสนเงินทอง ส่วนนางก็เพิ่งรู้ว่าครอบครัวเหลือเพียงที่นาชั้นดีห้าสิบหมู่ผืนนั้นก็หลังจากที่บิดาเสียชีวิตแล้ว 

 

 

เหตุการณ์ไฟไหม้ที่ถนนฉางซิ่งนั้น นางก็เพิ่งรู้ตอนที่แต่งเข้าสกุลหลี่จนถูกหลี่ตวนผู้เป็นพี่ชายของสามีคิดครอบครอง และเป็นจุดพลิกผันที่สำคัญจุดหนึ่งในชีวิตนาง 

 

 

อวี้ถังรีบร้อนลุกขึ้นจากเตียง “ป้าสะใภ้ใหญ่อยู่กับใคร? ท่านแม่รู้หรือไม่ว่าป้าสะใภ้ใหญ่มา?” 

 

 

ซวงเถาทางหนึ่งก็รับใช้สางผมให้นาง อีกทางก็ตอบว่า “มาตั้งแต่ฟ้ายังไม่สางเลยเจ้าค่ะ เห็นบอกว่าอากาศร้อนเกินไปนอนไม่หลับ บอกไม่ให้พวกข้ารบกวนท่านกับนายหญิง ตอนนี้ป้าเฉินอยู่เป็นเพื่อนนางพักคลายร้อนที่ลานโล่งเจ้าค่ะ” 

 

 

อวี้ถังพยักหน้ารับ 

 

 

เหมือนกับชาติที่แล้วไม่มีผิด 

 

 

ทว่า ชาตินี้นางไม่มีทางผลักเรื่องเหล่านี้ให้กับผู้ใหญ่ในสกุลอีกแล้ว 

 

 

อวี้ถังเร่งรุดไปที่ลานโล่งทันที 

 

 

คนสกุลหวัง ป้าสะใภ้ใหญ่ของนางอยู่ในชุดกระโปรงสีครามที่ทำจากผ้าสำหรับหน้าร้อน นางนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ใต้ต้นการบูร มีป้าเฉินกับป้าหวังยืนขนาบข้างซ้ายขวา คนหนึ่งสนทนาเป็นเพื่อน อีกคนหนึ่งช่วยโบกพัดให้ สีหน้าของป้าสะใภ้ดูเหนื่อยล้า ใต้ตาเห็นสีดำคล้ำชัดเจน มองดูก็รู้ทันทีว่าไม่ได้รับการพักผ่อน 

 

 

นางในชาติที่แล้วต้องคิดน้อยเพียงใด ถึงได้ไม่เคยสังเกตเห็นความผิดปกติของป้าสะใภ้แม้แต่นิดเดียว 

 

 

“ท่านป้า!” อวี้ถังเดินเข้าไปเบื้องหน้าแล้วคารวะป้าสะใภ้ใหญ่สกุลหวัง ดวงตาแทบข่มน้ำตาที่จะทะลักออกมาไว้ไม่อยู่ 

 

 

ชาติก่อน ท่านลุงใหญ่กับลูกชายต้องมาติดร่างแหจนตายก็เพราะนาง ป้าสะใภ้ไร้ที่พึ่งพา จึงกลับบ้านเก่าครองตัวเป็นม่าย อาศัยฝากชีวิตไว้กับกับหลานชายหลานสะใภ้ ป้าสะใภ้ไม่เพียงไม่กล่าวโทษนาง ซ้ำตอนที่นางตกระกำลำบาก ยังฝากฝังนางให้ไปอยู่กับลูกพี่ลูกน้องซึ่งออกบวชเป็นผู้ดูแลอยู่ที่อาราม 

 

 

“เจ้าเด็กคนนี้ ร้องไห้ทำไมกัน?” คนสกุลหวังมองอวี้ถังแล้วถอนหายใจ นางเดินเข้าไปพยุงนางขึ้นมาด้วยตนเอง ก่อนจะทำท่าบอกให้ป้าหวังยกเก้าอี้มาให้อวี้ถังนั่ง จากนั้นก็เอ่ยเสียงอบอุ่นว่า “ข้าได้ยินมาว่าเมื่อวานเจ้าไปที่ถนนฉางซิ่ง ไม่คิดว่าเจ้าจะรู้ความเช่นนี้ คำพูดมากมายนั้นข้าคงไม่ต้องพูดแล้ว เรื่องที่ร้านค้า ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องปิดไม่ให้แม่เจ้ารู้ แม่เจ้าสุขภาพไม่ดี หากรู้เรื่องเข้าต้องกังวลใจแน่ พ่อเจ้าก็ไม่อยูเรือน หากว่าแม่เจ้ากลุ้มอกกลุ้มใจจนเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา เจ้าจะให้พ่อเจ้าทำอย่างไร?” 

 

 

อวี้ถังพยักหน้าหงึกหงัก ประคองให้คนสกุลหวังนั่งลงอีกรอบ รินชาเก๊กฮวยมาให้ถ้วยหนึ่ง แล้วหย่อนตัวนั่งลงข้างๆ นาง แล้วเอ่ยว่า “ป้าสะใภ้วางใจได้ ข้าเข้าใจเป็นอย่างดีเจ้าค่ะ” 

 

 

คนสกุลหวังพยักหน้ารับ รู้สึกว่าอวี้ถังในวันนี้ไม่เหมือนกับวันก่อนๆ จึงอดจะมองสำรวจนางไม่ได้ 

 

 

เด็กสาวอายุสิบห้าสิบหก ไม่ว่าจะแต่งตัวอย่างไรล้วนสวยงามน่ารัก โดยเฉพาะอวี้ถังที่ได้ชื่อว่ามีดวงหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพราในซอยชิงจู๋ แต่เพราะปกติถูกตามใจจนเคยตัว มองดูแล้วให้อารมณ์เด็กยังไม่โตอยู่บ้าง ทว่าวันนี้แผ่นหลังกลับยืดตรง ทอประกายเข้มแข็งขึ้นหลายส่วน สายตาใสกระจ่างมีชีวิตชีวา ทั่วร่างคล้ายกับต้นไผ่ที่เพิ่งแทงยอดอ่อน มองแล้วช่างน่าพิศเจริญตา ทำให้ผู้คนชมชอบยิ่งนัก 

 

 

คนสกุลหวังแอบชื่นชมอยู่ในใจ “ได้ยินว่าเมื่อวานศีรษะเจ้าถูกกระแทก ดีขึ้นแล้วหรือยัง?” 

 

 

อวี้ถังตอบทันทีว่า “ข้าไม่เป็นอะไรเลย! เหตุการณ์เกิดเร็วมาก ตอนนั้นข้าเลยตกใจ แต่ไม่ทันไรก็หายดีแล้วเจ้าค่ะ” 

 

 

คนสกุลหวังไม่ค่อยเชื่อ เอ่ยต่อว่า “เมื่อครู่ป้าเฉินเล่าว่า เจ้าสลบไปตั้งสองชั่วยาม ฟื้นขึ้นมาก็พูดจาเลอะๆ เลือนๆ ไม่รอให้ซวงเถาไปแจ้งแม่ของเจ้า เจ้าก็ลากนางไปชมความวุ่นวายที่ถนนฉางซิ่งแล้ว ห้ามอย่างไรก็ห้ามไม่อยู่ หากมิใช่ว่าป้าเฉินจัดการช่วยเจ้าหาข้ออ้างร้อยแปดมาปิดบังแม่เจ้าได้ เกรงว่านางคงวิ่งไปตามหาเจ้าบนถนนแล้ว” 

 

 

อวี้ถังรู้ตัวจึงเอ่ยอย่างสำนึกผิดว่า “เป็นข้าที่ทำไม่ถูก ต่อไปจะไม่ทำเช่นนั้นอีกแล้วเจ้าค่ะ” 

 

 

คนสกุลหวังเห็นดวงหน้าขาวราวหิมะขมวดมุ่น พลันรู้สึกสงสาร ไม่อาจตัดใจตำหนินางได้ จึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “เอาล่ะ ข้าไม่ได้มีเจตนาติเตียนเจ้าหรอก เพียงแต่พ่อแม่เจ้าก็มีเจ้าอยู่เพียงคนเดียว จะต่อว่าก็กลัวคนละลายหาย จะประคองไว้ก็กลัวพลาดทำตก อดจะคิดมากกังวลไปเสียหมดมิได้ เจ้าต้องเข้าใจหัวอกคนเป็นพ่อแม่ให้มากถึงจะใช้ได้ เรื่องที่คนอื่นทำได้ ใช่ว่าเจ้าจะทำได้เช่นเดียวกัน” 

 

 

“ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ!” อวี้ถังรับคำสอนอย่างเชื่อฟัง 

 

 

อาจเพราะในใจยังพะวงถึงสามีและลูกชาย คนสกุลหวังจึงเอ่ยถึงเหตุการณ์ไฟไหม้เมื่อวานกับนางด้วยเสียงเบาต่ำ “ลุงใหญ่กับพี่ชายเจ้าวิ่งวุ่นอยู่ค่อนวัน ให้คนส่งจดหมายมา บอกว่าไม่เพียงแต่ร้านค้าของสกุลเรา ขนาดร้านค้าของสกุลเผยก็ถูกเผาจนเหลือแต่ตอ สกุลเผยทางนั้นดันเกิดเรื่องใหญ่ขึ้น กระทั่งคนตัดสินใจสักคนยังไม่มี ท่านข้าหลวงสกุลทังทุกวันนี้ยังจนปัญญา ไม่รู้จะเขียนฎีกาถวายให้ราชสำนักอย่างไร” 

 

 

สกุลเผยนับเป็นสกุลใหญ่ในเมืองหลินอันแห่งนี้ 

 

 

เป็นสกุลใหญ่โตมากบารมีอย่างจริงแท้ 

 

 

ไม่ว่าใครจะเข้ามาเป็นข้าหลวงในเมืองหลินอัน ก่อนจะเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการล้วนต้องไปคารวะเยี่ยมเยือนสกุลเผยก่อนทั้งสิ้น 

 

 

ก่อนที่นางจะตาย สกุลเผยได้กลายเป็นสกุลที่มีหน้ามีหน้าตาที่สุดในเมืองหลินอันแล้ว 

 

 

ถนนฉางซิ่งซึ่งคึกคักรุ่งเรืองที่สุดในเมืองหลินอัน นอกจากร้านค้าที่เปิดกิจการมาหลายต่อหลายรุ่นอย่างสกุลอวี้ที่มีประมาณเจ็ดแปดร้านแล้ว ที่เหลือล้วนเป็นของสกุลเผยทั้งสิ้น ภูเขา ที่นา ไร่ชา สวนหม่อนที่อยู่นอกเมืองเกินกว่าครึ่งก็เป็นของสกุลเผย ผู้คนมากมายอาศัยบารมีของสกุลเผยเพื่อหาเลี้ยงชีพ 

 

 

ชาติก่อน ที่นาชั้นดีหนึ่งร้อยหมู่ของสกุลอวี้ก็ขายให้กับสกุลเผยเช่นกัน 

 

 

สกุลเผยมั่งคั่งอู้ฟู่มาหลายชั่วอายุคน 

 

 

จากราชวงศ์ก่อนจนถึงวันนี้ก็มีคนสอบเข้าได้เป็นจิ้นซื่อสองป้าย[1]ยี่สิบกว่าคน และมีเจ็ดแปดคนที่เป็นขุนนางชั้นหนึ่ง 

 

 

มาถึงรุ่นนี้ นายท่านทั้งสามคนของสกุลเผยล้วนสอบผ่านขั้นจิ้นซื่อสองป้าย ผ่านไปอีกไม่กี่ปี คุณชายน้อยของสกุลเผยอีกสองคนก็จะสอบติดจิ้นซื่อเช่นกัน 

 

 

ท่านผู้เฒ่าของสกุลเผย ก็คลับคล้ายว่าจะป่วยตายตอนช่วงเวลานี้เช่นกัน 

 

 

อวี้ถังพลันหลุดปากออกมาว่า “จะบังเอิญเกินไปหรือไม่ ท่านผู้เฒ่าของสกุลเผยนั้นเหตุใดพอจะสิ้นก็สิ้นไปง่ายๆ เสียแบบนี้!” 

 

 

ใครจะคิดว่าป้าสะใภ้จะชะงักกึก ย้อนถามว่า “ท่านผู้เฒ่าเผยหรือ? ใครบอกเจ้าว่าท่านผู้เฒ่าเผยสิ้นแล้ว? เป็นบุตรชายคนโตของสกุลเผยต่างหาก นายท่านใหญ่เผยคนที่เป็นผู้ช่วยเจ้ากรมโยธาในเมืองหลวง ได้ยินว่าก่อนหน้านี้ไม่นานก็ล้มป่วยที่เมืองหลวงจนเสียชีวิต ข่าวเพิ่งจะส่งมาถึงเมืองหลินอันนี่เอง ท่านผู้เฒ่าเผยก็พลันล้มพับไปอีกคน เมื่อคืนวานเหล่าคุณชายสกุลเผยจึงเร่งรุดไปที่ถังเจียหลิง พวกผู้ดูแลมัววุ่นวายอยู่กับงานศพของนายท่านใหญ่เผย ไม่มีใครว่างไปดูแลงานที่ถนนฉางซิ่ง” 

 

 

อวี้ถังตะลึงไป ทว่ากลับไม่มีเวลาให้หยุดคิดมากนัก 

 

 

ไม่ว่าจะเป็นชาติก่อนหรือชาตินี้ สกุลเผยล้วนแต่อยู่ไกลนางเกินเอื้อม เรื่องของสกุลเผยนางก็แค่ได้ยินได้ฟังผ่านๆ หู หาได้มีความเกี่ยวข้องอันใดไม่ 

 

 

คนสกุลหวังทอดถอนใจและกล่าวว่า “เหตุเพลิงไหม้ที่ถนนฉางซิ่งเกิดขึ้นเร็วในชั่วพริบตา ลุงใหญ่ของเจ้าบอกว่า ไฟไหม้ครานี้ดูไม่ชอบมาพากลเท่าไรนัก…บ้านผู้อื่นไฟไหม้ล้วนเริ่มไหม้จากจุดๆ เดียว จากนั้นค่อยไหม้ลามไปยังที่อื่นๆ ลุงใหญ่ของเจ้าสงสัยว่ามีคนลอบวางเพลิง ยังคิดไปแจ้งเรื่องที่ศาลาว่าการอยู่เลย น่าเสียดายที่สกุลเผยเกิดเรื่องเสียก่อน ท่านข้าหลวงถังย่อมไม่มีกะจิตกะใจมาจัดการเรื่องนี้เป็นแน่…” 

 

 

อวี้ถังได้ฟัง หัวใจก็เต้นระรัว 

 

 

ชาติก่อน สกุลหลี่มาขอหมั้นหมายนางหลังจากที่สกุลนางจะเกิดเรื่อง ตอนนั้นนางไม่ใคร่จะเต็มใจเท่าไร รู้สึกว่าตนยังอยู่ในช่วงไว้ทุกข์ การมาหารือพูดคุยเรื่องทำนองนี้ไม่เหมาะสม แต่ลุงใหญ่กับป้าสะใภ้คิดว่าหากรอให้พ้นช่วงไว้ทุกข์ไป นางก็อายุสิบหกปีแล้ว ถึงเวลานั้นคงหาสกุลดีๆ มาแต่งด้วยไม่ได้ จึงปรึกษานางว่าให้หมั้นหมายกับสกุลหลี่ไว้ก่อน พอผ่านช่วงไว้ทุกข์แล้วค่อยมาคุยเรื่องงานมงคลกัน 

 

 

นางยังลังเลอยู่บ้าง ทว่าสกุลหลี่ส่งคนมาคุยกับนางอย่างลับๆ บอกว่าหากนางยอมตกลงหมั้นหมาย สกุลหลี่ยินดีให้ลุงใหญ่หยิบยืมเงินห้าพันตำลึงโดยไม่คิดดอกเบี้ย ให้ครอบครัวของลุงใหญ่ได้ก่อร่างสร้างตัวใหม่อีกครั้ง 

 

 

เหตุเพลิงไหม้ที่ถนนฉางซิ่ง ร้านค้าของครอบครัวนางถูกเผาจนวอด ร้านค้าของครอบครัวท่านลุงก็วอดวายไม่ต่างกัน ตอนที่สกุลหลี่ยื่นข้อเสนอนี้มาให้ สกุลเผยกำลังซ่อมแซมถนนฉางซิ่งอยู่ พื้นที่ฐานรากเดิมมีอยู่แล้ว ทว่าเงินที่จะสร้างร้านค้าขึ้นมาใหม่ล้วนควักเงินของใครของมัน หากผู้ใดไม่มีกำลังทรัพย์จะสร้างร้านค้าขึ้นมาใหม่อีกครั้ง สามารถตีราคาแล้วขายต่อให้สกุลเผยได้ 

 

 

คนส่วนใหญ่ล้วนขายพื้นที่ให้กับสกุลเผย 

 

 

ทว่าลุงใหญ่ของนางไม่ต้องการจะขายทิ้ง 

 

 

นั่นเป็นกิจการที่บรรพบุรุษของสกุลอวี้ตกทอดไว้ให้ 

 

 

ไม่เพียงปฏิเสธการขายต่อ ท่านลุงถึงขนาดคิดจะสร้างร้านค้าอีกสองคูหาของบิดานางขึ้นมาใหม่ด้วยซ้ำ 

 

 

ตอนที่ท่านปู่ของนางเสีย ลุงใหญ่กังวลว่าบิดานางไม่เก่งเรื่องทำมาค้าขาย ถึงได้แบ่งร้านค้าสี่คูหากันคนละครึ่งกับที่ดินสองร้อยหมู่ โดยแบ่งที่นาชั้นดีหนึ่งร้อยหมู่ให้กับบิดานาง ที่นาชั้นกลางอีกห้าสิบหมู่ รวมถึงที่บนภูเขาอีกห้าสิบหมู่ด้วย 

 

 

การสร้างร้านใหม่ขนาดสี่คูหาต้องใช้เงินสี่พันตำลึง ต่อให้ขายที่นาทั้งหมดของลุงใหญ่ก็เหมือนกับการราดน้ำหนึ่งถ้วยเพื่อดับรถลากฟืนที่ลุกไหม้ กระทั่งเสาร้านก็ยังซื้อไม่ได้ด้วยซ้ำไป 

 

 

พอนางได้ฟังข้อเสนอของสกุลหลี่ คิดว่างานมงคลนี้ของนางดีชั่วก็สามารถทำให้ครอบครัวของลุงใหญ่รอดพ้นสภาวะยากลำบากไปได้ นางไม่ทันบอกกับลุงใหญ่ให้ทราบสักคำก็รับปากตกลงเรื่องงานมงคลกับคุณชายรองสกุลหลี่นามว่าหลี่จวิ้นทันที 

 

 

ภายหลัง ลุงใหญ่รู้สึกผิดต่อนาง ทั้งได้ยินข่าวว่าหากเอาข้าวไปแลกเกลือที่จิ่วเปียนจะได้กำไรก้อนใหญ่ จึงหอบเงินห้าพันตำลึงของสกุลหลี่ไปที่หูก่วงทันที 

 

 

แม้ว่าลุงใหญ่กับลูกชายแทบจะเอาตัวไม่รอดแต่ก็ได้เงินมาก้อนโต ทว่ากลับทิ้งปัญหาเอาไว้เบื้องหลัง…ลุงใหญ่กับลูกชายเพื่อที่จะหาสินเจ้าสาวให้นางแล้ว เดินทางเข้าออกจิ่วเปียนอยู่หลายรอบ โดยเริ่มจากสร้างร้านค้าสองคูหาที่บิดาทิ้งไว้ให้นางจนเสร็จ ต่อมาก็ทุ่มเทอย่างหนักเพื่อซื้อที่นาชั้นดีซึ่งครอบครัวขายออกไปคืนกลับมา…ทว่าด้วยเหตุนี้ไม่เพียงทำให้ลุงใหญ่ต้องมีปากเสียงกับลูกชายถึงเป้าหมายในการใช้ชีวิต ซ้ำระหว่างทางไปจิ่วเปียนก็ถูกโจรเข้าปล้นชิง แม้ร่างก็ยังตามหาไม่เจอ 

 

 

นางเมื่อชาติก่อน ถูกเลี้ยงให้อยู่แต่ในห้องหอไม่รับรู้เรื่องราวภายนอก ต่อให้รู้ว่าถนนฉางซิ่งเกิดไฟไหม้ใหญ่ รู้ว่าเพลิงไหม้ครั้งนี้เกิดขึ้นอย่างไม่ชอบกล แต่ก็หาได้คิดอะไรมาก ทว่าอวี้ถังในตอนนี้ เคยตกอยู่ใต้ความต่ำตมของสกุลหลี่ ประสบกับวิธีสกปรกมาตั้งมากน้อยเท่าไร พอได้ยินเรื่องราวเข้าหู ก็เข้าใจทันทีว่าวิธีที่สกุลเผยใช้เขมือบกลืนร้านค้านี้ไม่ต่างอะไรกับวิธีที่สกุลหลี่หลอกล่อนางในปีนั้นเลย 

 

 

ขอเพียงแค่มีโอกาส ก็พร้อมจะรังแกผู้น้อยที่อ่อนแอกว่าเสมอ 

 

 

จิตใจเหี้ยมโหดไม่ต่างกัน เลวทรามต่ำช้าไม่มีผิด! 

 

 

————————————————————- 

 

 

 

 

 

[1] จิ้นซื่อสองป้าย หมายถึง ผู้ที่สอบผ่านได้เป็นจวี่เหรินในการสอบระดับมณฑล และยังสอบผ่านได้เป็นจิ้นซื่อในการสอบเบื้องหน้าพระพักตร์