บทที่ 3 กลับเรือน

ห้วงเวลาบุปผาผลิบาน

พอนึกถึงเรื่องในอดีตมีแต่จะให้คนหัวใจหม่นหมอง 

 

 

ชาตินี้ของอวี้ถังไม่ยินดีจะข้องเกี่ยวกับสกุลหลี่อีก ยิ่งไม่ขอรู้จักผูกสัมพันธ์กับคนสกุลเผย 

 

 

นางจึงถือโอกาสนี้เป่าหูป้าสะใภ้เสียหน่อย “กระทั่งร้านค้าของสกุลเผยยังไหม้หมดแล้ว ร้านค้าของพวกเรายิ่งไม่ต้องพูดถึง โชคดีที่รากฐานพอมี โอกาสย่อมจะยังเหลืออยู่ อย่างไรคงก็สามารถลุกขึ้นมาได้อีกครั้ง ส่วนสินค้าที่อยู่ในร้าน หากต้องชดเชยด้วยเงินทอง คงต้องจ่ายถึงสองเท่าเป็นแน่ หากว่าสามารถต่อรองกับพ่อค้าได้ ไม่แน่ผู้อื่นอาจจะยอมขยายเวลาออกไปให้หน่อย พวกเราค่อยผลิตสินค้าชุดใหม่ให้กับพ่อค้าอีกครั้ง บางทีอาจจะลดเงินค่าปรับลงได้เล็กน้อย เหตุการณ์ไฟไหม้ที่ถนนฉางซิ่ง ใครต่างก็คาดไม่ถึง ทั้งไม่มีใครอยากให้เกิดทั้งนั้น” 

 

 

“แม้จะพูดแบบนั้น แต่ยืดเวลาส่งของออกไปคงไม่ได้” ป้าสะใภ้ได้ฟังก็ยิ้มขื่นและเอ่ยว่า “เจ้ายังเล็กอยู่ ปกติเรื่องในเรือนคงไม่มีใครพูดกับเจ้า หลายปีมานี้ คนทางฝั่งหมิ่นหนานออกทะเลไปหาเงินมาได้เป็นกอบเป็นกำ ผู้คนในเมืองหังโจวได้ฟังก็ใจสั่น ใครพอมีเงินมีความสามารถ ครอบครัวหนึ่งก็ออกเรือลำหนึ่ง ลำเลียงพวกผ้าไหม ใบชา ทั้งพวกเครื่องเคลือบต่างๆ แล้วรวมตัวเป็นกองเรือออกทะเลไปขายสินค้า คนที่ไม่ค่อยจะมีเบี้ย ก็ใช้พวกใบชากับผ้าไหมมาขอเป็นหุ้นส่วนออกทะเล คนที่สั่งทำเครื่องลงรักกับเรา ก็ต้องออกทะเลไปค้าขายเช่นกัน กองเรือได้กำหนดวันออกเรือเสร็จสรรพแล้ว หากว่าถึงเวลาไม่อาจส่งมอบสินค้าที่ถือเป็นของแลกเปลี่ยนได้ การค้านี้คงล่มไม่เป็นท่า พวกเขาอย่างไรก็ต้องให้เราชดเชยเป็นสองเท่า” 

 

 

อวี้ถังในชาติก่อนไม่รู้เรื่องเหล่านี้ 

 

 

แต่อวี้ถังในชาตินี้ได้รับทราบแล้ว 

 

 

สกุลหลี่ถือเป็นสกุลใหม่ในเมืองหลินอัน 

 

 

สกุลของพวกเขาแต่ก่อนก็มีทรัพย์สิน แต่เพราะที่เหนือขึ้นไปยังมีสกุลเผย สกุลของพวกเขาถึงไม่ได้มีหน้ามีตาเท่าไร ได้ยินว่านับไปก่อนหน้านี้สามชั่วอายุ ทุกๆ วันแรกของปีใหม่สกุลหลี่ต้องไปเยี่ยมคารวะที่จวนสกุลเผยทุกปี กระทั่งท่านผู้เฒ่าของสกุลหลี่ ซึ่งก็คือท่านปู่ของหลี่ตวนกับหลี่จวิ้นสอบได้เป็นจวี่เหริน[1] บิดาของพวกเขาก็สอบได้เป็นจิ้นซื่อ ทั้งยังมีอายุรุ่นราวคราวเดียวกับนายท่านรองเผย ภายหลังถึงได้ค่อยๆ ยืดหลังตรงได้เต็มที่ ทุกๆ วันแรกของปีใหม่ตอนที่ไปเยี่ยมคารวะสกุลเผย คนของสกุลหลี่ก็สามารถร่วมนั่งดื่มน้ำชาในห้องโถงกับคนสกุลเผยได้แล้ว 

 

 

ด้วยเหตุฉะนี้เอง แม้สกุลหลี่จะเริ่มมีฐานะหน้าตาขึ้นมา แต่ก็หมดปัญญาจะใช้อำนาจในมือแผ่ขยายกิจการของสกุลให้ใหญ่โตได้…ไม่ว่าจะเป็นภูเขาแม่น้ำในเมืองหลินอันก็ดี ร้านค้าบนท้องถนนก็ดี ล้วนแต่เป็นของสกุลเผยทั้งสิ้น ที่เหลือรอดเงื้อมือก็มีเพียงเล็กน้อย สกุลใดบ้างที่จะขายอาชีพซึ่งตกทอดจากบรรพบุรุษง่ายๆ เล่า? ต่อให้ต้องขายทิ้ง ทุกคนก็อยากจะขายให้กับสกุลเก่าแก่อย่างสกุลเผยอยู่แล้ว 

 

 

หรือว่าสกุลหลี่จะกล้ายื่นมือเข้ามายื้อแย่งกับสกุลเผยเล่า 

 

 

หากต้องการความเจริญก้าวหน้าในเส้นทางขุนนาง ย่อมไม่อาจละโมบ ทั้งต้องให้สินจ้างแก่ผู้บังคับบัญชา สองอย่างนี้ล้วนต้องใช้เงินทอง สกุลหลี่ต้องการเพิ่มพูนทรัพย์สินให้มากกว่านี้ จึงได้แต่ทอดมองสายตาไปยังด้านนอกอันไกลโพ้น 

 

 

ไปๆ มาๆ สกุลหลี่ก็ไปจับกิจการเดินเรือออกทะเล 

 

 

แน่นอนว่าการออกทะเลมีความเสี่ยง ต้องประสบกับลมพายุ อาจสูญเงินทั้งหมดโดยไม่ได้อะไรตอบแทน ในเมืองหังโจวก็มีหลายสกุลที่หมดตัวด้วยเหตุนี้ สกุลหลี่นับว่ามีโชคไม่เลว เก้าในสิบของการลงทุนกับกองเรือไปล้วนกลับมาอย่างปลอดภัยทุกครั้ง หลังจากนางแต่งเข้าไปในฐานะภรรยาของหลี่จวิ้น สกุลหลี่ก็เริ่มมั่งคั่งร่ำรวย มารดาของหลี่จวิ้นชมว่านางมีชะตาเสริมลาภสามี เพราะเหตุนี้หลี่ตวนจึงยิ่งตอแยนางมากกว่าเก่า 

 

 

ช่างน่าขันเมื่อตอนที่หลี่จวิ้นตกม้าลงมาตาย มารดาของหลี่จวิ้นชี้นิ้วใส่จมูกด่าทอนางว่า ‘นังจิ้งจอก’ ก่นด่านางว่าหญิงงามเป็นบ่อเกิดแห่งหายนะ 

 

 

พอนึกถึงเรื่องเก่าๆ ก็มีแต่ทำให้ปวดใจ 

 

 

อวี้ถังรีบกดเรื่องราวในอดีตไว้ส่วนลึกสุดใจ ก่อนจะคุยเรื่องร้านค้ากับป้าสะใภ้ต่อ “สามารถต่อรองกับพ่อค้าได้หรือไม่เจ้าคะ ว่าให้พวกเราออกหน้าช่วยเขาหาซื้อสินค้าชุดใหม่ รับรองว่าปริมาณและคุณภาพจะไม่ต่างกัน” 

 

 

คนสกุลหวังได้ยินก็มองอวี้ถังด้วยสายตาสว่างวาบ พูดว่า “เจ้าคิดได้เหมือนข้าไม่มีผิดเลย” 

 

 

นางเริ่มนินทาสามีทันทีราวกับตามหาผู้รู้ใจตัวเองพบ “ลุงใหญ่ของเจ้าไม่เห็นด้วย บอกว่าสกุลอวี้ของเราเป็นเจ้าเก่าแก่ร้อยปีแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเมืองหลินอัน ต่อให้ทั่วทั้งเมืองหังโจวก็ไม่มีร้านใดที่จะมีฝีมือเหนือว่าสกุลอวี้ไปได้ เอาสินค้าชั้นสองไปสวมรอยแทนสินค้าชั้นหนึ่ง เรื่องพรรค์นี้เขาไม่ทำเด็ดขาด” 

 

 

“ลูกชายข้าก็บอกแล้วว่าเจียงซีทางนั้นมีร้านเครื่องลงรักเก่าแก่ร้อยปีอยู่หลายร้าน สินค้าหาได้ด้อยกว่าของเราเลย หากลุงเจ้ากังวลว่าพ่อค้านั่นจะถูกเอาเปรียบ ก็ไปดูด้วยตนเองสักครั้ง คอยจับตาดูผู้อื่นผลิตของออกมาก็ได้แล้ว ลุงของเจ้ายังเถียงอีกว่าสินค้าที่เจียงซีทางนั้นขายถูกกว่าเรา หากว่าเรื่องนี้ถูกผู้อื่นรู้เข้า ชื่อเสียงนับร้อยปีของสกุลอวี้ย่อมถูกทำลายสิ้นแน่ หากพ่อค้าพวกนั้นยอมเสียผลประโยชน์อันน้อยนิด ทิ้งของใกล้มือไปคว้าของไกลตัว มัดจำสินค้ากับทางเจียงซีแทน ถึงเวลานั้นไม่ต้องพูดถึงชื่อเสียงของสกุลที่ย่อยยับ ซ้ำยังออกแรงเหนื่อยเปล่าส่งพ่อค้าไปให้ร้านเครื่องลงรักถึงเจียงซีอีก” 

 

 

อวี้ถังรู้ว่าลุงใหญ่ค่อนข้างหัวแข็งดื้อรั้นเรื่องทำการค้า ไม่เช่นนั้นชาติที่แล้วคงไม่มีความเห็นแตกกันกับลูกชายเพราะเรื่องนี้ แต่นางคาดไม่ถึงว่าลุงใหญ่จะดื้อรั้นถึงขั้นนี้ 

 

 

นางกล่าวว่า “เช่นนั้นท่านมิสู้ให้ลุงใหญ่ไปเมืองหังโจวสักครั้ง ข้าได้ยินว่าการค้าในทะเลนิยมพวกใบชา เครื่องเคลือบและผ้าไหมเป็นที่สุด พวกเครื่องลงรัก เครื่องดีบุกนั้นไม่ค่อยต้องการนัก มีคนรู้ว่าร้านค้าที่เจียงซีทางนั้นมีฝีมือสูสีไม่ด้อยกว่าเรา ราคาก็ยังต่ำกว่า แต่การจะไปก็ต้องเสี่ยงไม่น้อย หากสินค้ามีปัญหาขึ้นมายากจะเปลี่ยนคืน ต่อให้หลีกทางให้พวกเขาแล้วอย่างไรเล่า?” 

 

 

คนสกุลหวังพยักหน้า ในใจก็ดีดลูกคิดเสียงดังกึกก้อง 

 

 

คำพูดนี้ลูกชายของนางก็เคยพูด แต่เพราะสามีหัวรั้นเกินคน ฟังไม่เข้าหัวสักครั้ง แต่หากให้ออกจากปากของน้องสามี ย่อมจะได้ผลลัพธ์ที่ต่างออกไปแน่ 

 

 

คนสกุลหวังจึงตั้งหน้าตั้งตาคอยให้บิดาของอวี้ถังหรือก็คืออวี้เหวินกลับมาถึงไวๆ 

 

 

อวี้ถังย้อนกลับมาจากสิบปีให้หลัง ทั้งอายุและความคิดความอ่านก็อยู่ในจุดนั้นด้วย เมื่อเจอปัญหาย่อมจะสุขุมเยือกเย็นกว่าเด็กสาววัยสิบห้า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าเป็นเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ให้ใจร้อนเป็นไฟอย่างไรย่อมไม่เกิดประโยชน์ สภาพอารมณ์ของนางจึงดีขึ้นกว่าเดิมมาก 

 

 

นางทำตามที่ป้าสะใภ้ต้องการ คือหมกตัวอยู่ที่เรือนทั้งวัน จากนั้นก็ตามป้าหวังบ่าวรับใช้ของป้าสะใภ้ใหญ่ไปเรียนทำขนมตังเมเกล็ดหิมะ 

 

 

สิ่งที่ต่างไปจากชาติก่อนก็คือ ชาติก่อนนางหมดเวลาไปสองวันกว่าจะเรียนทำขนมสำเร็จ ในชาตินี้ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมาจากชาติที่แล้ว มิเพียงคล่องแคล่วชำนาญอย่างรวดเร็ว ซ้ำยังทำขนมตังเมเกล็ดหิมะเพิ่มมากขึ้นอีกสองหม้อเพื่อให้ป้าหวังเอาไปแจกเพื่อนบ้านในตรอกด้วย…ชาติก่อน ครอบครัวของนางเจอปัญหา เพื่อนบ้านในตรอกช่วยเหลือเกื้อกูลไว้มาก นางจำได้ดีเสมอมา ในใจก็รู้สึกซาบซึ้ง 

 

 

— 

 

 

รอถึงวันที่บิดานางอวี้เหวินกลับมาถึงเรือน ก็เป็นสี่วันให้หลังแล้ว 

 

 

อวี้ถังเพิ่งช่วยมารดาสระผมเสร็จ นั่งอยู่ตรงลานกว้างช่วยหวีผมให้นาง 

 

 

ป้าเฉินด้านหนึ่งก็โบกพัดให้คนสกุลเฉิน มารดาของนางไปพลาง อีกด้านก็เอ่ยถึงอวี้ถังว่า “นายหญิงดูคุณหนูใหญ่สิเจ้าคะ ช่างรู้ความนัก กตัญญูเป็นที่สุด! ต่อไปท่านก็คอยเสพสุขจากคุนหนูใหญ่กับท่านเขยได้เลยเจ้าค่ะ!” 

 

 

คนสกุลเฉินหัวเราะ 

 

 

ดวงหน้าผ่ายผอมซีดเซียวเผยให้เห็นความรู้สึกผิด 

 

 

งานมงคลของอวี้ถังไม่ราบรื่น เป็นเพราะครอบครัวนางต้องการให้ลูกเขยแต่งเข้า 

 

 

ชาติก่อนอวี้ถังไม่มีความคิดเห็นใดๆ เกี่ยวกับงานมงคลของตน ทุกอย่างล้วนยกให้บุพการีเป็นคนตัดสินใจทั้งสิ้น กระทั่งผ่านเรื่องราวต่างๆ จากชาติที่แล้วมานางถึงได้รู้ หากสามารถให้เขยชายแต่งเข้ามาได้ นางก็จะสามารถอยู่ข้างกายบิดามารดา นั่นย่อมเป็นโชควาสนาอันยิ่งใหญ่ของนาง 

 

 

เห็นว่ามารดาตำหนิตนเองถึงเพียงนั้น นางจึงยื่นหน้าไปข้างๆ ไหล่ของมารดาคล้ายออดอ้อน “ข้าอยากได้คนที่รูปงาม ไม่เอาอย่างพี่สาวข้างบ้านที่แต่งให้คนเตี้ยม่อต้อนะเจ้าคะ!” 

 

 

นี่เป็นครั้งแรกที่อวี้ถังแสดงความเห็นของตนที่มีต่องานแต่งเบื้องหน้ามารดา 

 

 

คนสกุลเฉินอดจะตื่นเต้นยินดีไม่ได้ ถามนางอย่างระมัดระวังว่า “เช่นนั้น เจ้ายินดีให้เขยแต่งเข้ามาหรือไม่?” 

 

 

“ยินดีสิเจ้าคะ!” อวี้ถังร่วมวงอย่างกระตือรือร้น “ให้สามีแต่งเข้ามาอยู่ที่เรือน ข้าก็จะได้อยู่เป็นเพื่อนท่านพ่อกับท่านแม่ไปตลอดชีวิต เรื่องในเรือนล้วนถือคำของข้าเป็นใหญ่ เหตุใดข้าถึงจะไม่ยินดีให้เขยชายแต่งเข้ามาเล่า?” 

 

 

คนสกุลเฉินเห็นว่านางตอบอย่างจริงจังตั้งใจ ก็เป็นปลื้มขึ้นมาทันที ลากอวี้ถังมาอยู่ตรงหน้า แล้วพูดกับนางอย่างจริงจังว่า “เจ้าวางใจได้ แม่กับพ่อจะต้องช่วยเจ้าเลือกเป็นอย่างดี ไม่มีทางให้อาถังของพวกเราต้องลำบาก จะไม่ให้เจ้าต้องเจ็บช้ำน้ำใจ” 

 

 

อวี้ถังพยักหน้ารับหงึกหงัก 

 

 

ป้าเฉินเห็นว่าบรรยากาศไม่เลว จึงเข้าผสมโรงด้วย “นายหญิงอย่าลืมเชียวนะเจ้าคะ ต้องเลือกคนที่รูปงามเข้าไว้ คุณหนูใหญ่ของเราชอบคนรูปงามเจ้าค่ะ” 

 

 

อย่างไรก็ไม่วาดหวังจะให้สามีเก่งกล้าสามารถอยู่แล้ว แน่นอนว่าต้องเลือกอาหารตาไว้ก่อน 

 

 

อวี้ถังพยักหน้าอีกรอบ “ท่านแม่จำให้มั่นนะเจ้าคะ! ต้องตัวสูงๆ และว่านอนสอนง่ายด้วยเจ้าค่ะ” 

 

 

คนสกุลเฉินมองสีหน้าเพราะด้วยไร้เดียงสาจึงไร้ซึ่งความกลัวของนาง แล้วหัวเราะเสียงดัง 

 

 

อวี้เหวินในชุดคลุมยาวกลิ่นอายบัณฑิตเดินเข้ามาท่ามกลางเสียงหัวเราะ “แม่ลูกคุยเรื่องอะไรกัน? อารมณ์ดีถึงปานนั้น! เล่าให้ข้าฟังบ้างสิ!” 

 

 

“ท่านพี่!” ดวงตาของคนสกุลเฉินทอประกายวิบวับ 

 

 

สายตาของอวี้เหวินก็จับจ้องอยู่ที่ร่างของคนสกุลเฉินไม่ห่างเช่นกัน 

 

 

“ไม่เจอแค่ไม่กี่วัน เหตุใดเจ้าผอมลงอีกแล้ว” เขาถามภรรยาอย่างเป็นห่วงและปวดใจ “เพราะอาถังอยู่ในเรือนเอาแต่หาเรื่องปวดหัวให้เจ้ารึ? หรือเพราะหลายวันนี้อากาศร้อน เจ้าเลยทานอะไรไม่ลง? เดี๋ยวข้าสั่งคนไปซื้อน้ำแข็งที่ตลาดกลับมา ให้ป้าเฉินต้มน้ำถั่วเขียวให้เจ้าดื่ม” 

 

 

“ไม่ต้อง ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ” คนสกุลเฉินตอบพลางยิ้มตาหยี กวาดตาสำรวจอวี้เหวินตั้งแต่หัวจรดเท้า ราวกับกลัวว่าเขาออกจากเรือนไปแล้วจะได้รับความลำบากกลับมา “ท่านหมอหลิวที่โรงยาจี้หมินมิใช่บอกแล้วหรือว่าอาการป่วยของข้าไม่อาจถูกความเย็นได้ เหตุใดท่านถึงรบเร้าให้ข้าทานน้ำแข็งอีก” 

 

 

อวี้เหวินหัวเราะและกล่าวอย่างเจ้าเล่ห์ “ข้าก็อยากให้เจ้าได้เบิกบานบ้างสักหน่อยอย่างไรเล่า” 

 

 

นี่ก็คือนิสัยของบิดานาง 

 

 

เขาเป็นคนดีมาก จริงใจ มองโลกในแง่บวก ใจดี มีอารมณ์ขัน…ไม่ว่าเรื่องใดก็ไม่อินังขังขอบ ไม่เคยเก็บเรื่องใดมาใส่ใจ ยินดีมีสุขกับทุกสถานการณ์ที่เจอ ตั้งแต่เล็กเขาก็ตั้งหน้าตั้งตาเล่าเรียนเขียนอ่าน พอโตขึ้นก็พึ่งพาครอบครัวพี่ชายช่วยเป็นธุระจัดการงานเล็กๆ น้อยๆ ไม่ง่ายกว่าจะสอบได้เป็นซิ่วไฉ[2] แต่กลับรู้สึกว่าการร่ำเรียนช่างทุกข์ยากยิ่งนัก จึงได้ล้มเลิกไป 

 

 

หากไม่เกิดเรื่องอะไรก็ดีไป ทว่าเมื่อต้องเจอปัญหา เกรงว่าอาจจะรับมือไม่อยู่ 

 

 

อวี้ถังลอบถอนหายใจ ก่อนจะก้าวขึ้นไปทำความเคารพบิดา 

 

 

อวี้เหวินเพิ่งจะสังเกตเห็นลูกสาวของตน จึงเอ่ยอย่างรู้สึกผิดว่า “อาถัง หลายวันนี้พ่อไม่อยู่เรือน เจ้าดื้อรั้นหรือไม่? เชื่อฟังคำพูดของมารดาเจ้าหรือเปล่า?” 

 

 

อวี้ถังใช้ชีวิตมาสองชาติ ล้วนแต่ชื่นใจที่บิดาปฏิบัติต่อมารดาเป็นอย่างดี 

 

 

นางเอ่ยอย่างขุ่นเคืองว่า “แล้วผงโป่งรากสนที่ท่านรับปากเอาไว้เล่าเจ้าคะ? ข้ารอจะทำยาโป่งรากสนอยู่นะ!” 

 

 

อวี้เหวินได้ข่าวว่าร้านค้าของสกุลไฟไหม้ ก็ร้อนใจจนแทบบ้า ยังจะจำเรื่องโป่งรากสนได้อีกหรือ? 

 

 

เขาพูดอะไรไม่ออก 

 

 

อวี้ถังลอบถอนหายใจเฮือกอีกครั้ง 

 

 

เพราะอวี้เหวินไม่ต้องการให้คนสกุลเฉินเป็นห่วง มีครั้งไหนบ้างที่กลับมาจากด้านนอกแล้วหน้าตาไม่สดใสชื่นมื่น ดังนั้นพวกนางจึงไม่เคยสังเกตเห็นอาการทุกข์ร้อนของเขาเลย 

 

 

หลายปีมานี้ กำไรที่ได้จากร้านค้าล้วนนำไปใช้ซื้อยาให้มารดาหมด พอบิดารู้ว่าถนนฉางซิ่งไฟไหม้ ในใจไม่รู้จะทรมานเพียงไหน จะลืมหาของขวัญกลับมาให้นางก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผล 

 

 

ในชาติก่อน นางเคยทะเลาะกับบิดาอยู่ครั้งหนึ่ง ภายหลังเขาพานางไปเลี้ยงอาหารเลิศรสที่ร้านทิวนอกเขา นางถึงยอมจบเรื่อง ทว่านางในชาตินี้ เพียงคิดว่าจะทำอย่างไรให้บิดามารดารอดพ้นวิกฤติไปให้ได้ 

 

 

“ท่านพ่อไม่รักษาสัญญา” อวี้ถังทำทีตลกเฮฮา แล้วดันหลังบิดาไปทางห้องหนังสือ “ข้าอยากได้หยกแท่งก้อนนั้นที่ท่านพ่อซ่อนเอาไว้” 

 

 

อวี้เหวินปวดใจราวกับถูกแล่เนื้อเถือหนัง ทางหนึ่งก็ถูกลูกสาวดันหลัง ทางหนึ่งก็เริ่มเปิดการต่อรอง “ข้ามอบแท่นฝนหมึกรูปใบบัวให้เจ้าดีหรือไม่? หรือว่าจะเอาพู่กันขนจิ้งจอกที่เจ้าพูดถึงคราวก่อนดี?” 

 

 

“หึ!” อวี้ถังทำเสียงไม่พอใจ “ข้าไม่มีทางหลงกลหรอก! ข้าจะเอาหยกแท่งก้อนนั้น ข้าจะเอาไปแกะสลักตราประทับ เอาแบบที่เหมือนท่านพ่อ ห้อยเอาไว้ที่เอว” 

 

 

อวี้เหวินเอ่ยว่า “บุรุษเท่านั้นที่จะห้อยตราประทับไว้ที่เอว เด็กผู้หญิงอย่างเจ้าห้อย ‘สามสิ่ง’ ก็พอ ข้าสั่งทำ ‘ทองสามสิ่ง’[3] ให้เจ้าดีหรือไม่?” 

 

 

ครอบครัวแทบจะไม่เหลือเงินซื้อยาให้มารดาอยู่แล้ว ทว่าท่านพ่อกลับคิดจะสั่งทำ ‘ทองสามสิ่ง’ เพื่อนาง 

 

 

อวี้ถังร้องเหอะเสียงเย็น 

 

 

คนสกุลเฉินหัวเราะจนตัวงอไปหมด 

 

 

สองพ่อลูกยื้อยุดกันหายเข้าไปในห้องหนังสือ 

 

 

————————————————————- 

 

 

 

 

 

[1]บัณฑิตที่สอบผ่านสนามสอบระดับมณฑล ซึ่งจัดขึ้นทุกๆ 3 ปี ผู้ที่สอบได้เป็นอันดับหนึ่งเรียกว่า เจี่ยหยวน 

 

 

[2] ซิ่วไฉ ผู้ที่ผ่านการสอบคัดเลือกเข้ารับราชการระดับท้องถิ่น 

 

 

[3] ทองสามสิ่ง คล้ายกับพวงกุญแจอเนกประสงค์ ส่วนประกอบที่พบบ่อยจะมีไม้เคาะหู ไม้จิ้มฟัน และแหนบ