ชุ่ยเวยขมวดคิ้วแล้วพูดด้วยเสียงเบา “ทว่า หากคุณชายสามแห่งจวนโหวสมรสอีกครั้ง ทั้งคุณหนูใหญ่ยังไม่มีบุตรชายหรือบุตรีหลงเหลืออีก หากผ่านไปนานเข้า ความสัมพันธ์ระหว่างจวนพวกเราและจวนโหวคงจะห่างเหินเจ้าค่ะ”
“ไม่ถึงขั้นนั้นหรอกกระมัง” เหยาเยี่ยนอวี่เลิกคิ้วขึ้น ตามหลักบรรทัดฐานทางสังคม สิ่งที่ชุ่ยเวยกล่าวนั้นไม่ได้ไร้เหตุผลเลย
ชุ่ยเวยสรุปเรื่องนี้ด้วยน้ำเสียงแน่วแน่ “ได้ยินมาว่านี่เป็นความต้องการของนายท่าน คุณหนูเตรียมการไว้ล่วงหน้าเถอะเจ้าค่ะ”
“…” จะสามารถเตรียมการสิ่งใดได้เล่า เรื่องเช่นนี้ขึ้นอยู่กับข้ากระนั้นหรือ เหยาเยี่ยนอวี่ถอนหายใจออกมา นางครุ่นคิดในใจ นี่นางจำต้องสมรสกับสามีที่เคยแต่งงานจริงหรือ นางจำต้องเป็นซวี่เสียน ของผู้อื่นจริงหรือ
สิ่งที่นางกังวลกลายเป็นเรื่องจริง หลังจากผ่านไปเพียงครึ่งเดือน
ขณะนั้นเหยาเยี่ยนอวี่และเหยาเชวี่ยหวาไปน้อมทำความเคารพท่านย่าในเรือน ทว่ายังไม่ทันได้ก้าวเข้าประตูไปก็ได้ยินเสียงฮูหยินผู้เฒ่าพูดคุยกับฮูหยิน
“…ส่งตัวเยี่ยนเจี่ยเอ๋อร์ไปก่อน เฟิ่งเจี่ยเอ๋อร์ที่ล้มป่วยอยู่นั้นจะได้มีคนคอยดูแล พวกเราอยู่ห่างไกลจากเมืองหลวง เรื่องเล็กเรื่องใหญ่ล้วนมองไม่เห็น และไม่อาจจับต้อง อีกทั้งไม่อาจวางใจได้” หลังจากที่มารดาหลวงหวางฮูหยินพูดประโยคนี้จบ นางก็ถอนหายใจอีกครั้ง จากนั้นนางก็พูดด้วยความลำบากใจว่า “แต่การที่ไม่จัดพิธีสมรส แล้วส่งคนไปเช่นนี้ จะทำให้เยี่ยนเจี่ยเอ๋อร์ไม่ได้รับความเป็นธรรม”
“ยังคงอยู่ในช่วงไว้อาลัยของแคว้น ไม่อาจไม่ใช้แผนรับมือชั่วคราวนี้ได้ ขอเพียงพวกเขาอย่าได้มีการหยวนฝัง ก็เพียงพอแล้ว อีกทั้งเฟิ่งเจี่ยเอ๋อร์ยังมีชีวิตอยู่ คงไม่อาจให้หลานเขยหย่าร้างแล้วสมรสใหม่ แม้จะไม่มีการไว้ทุกข์ของแคว้น แต่นี่ก็ไม่ใช่โทษเบา” ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งถอนหายใจยาว “เช่นนี้ดีหรือไม่ สินสมรสของเยี่ยนเจี่ยเอ๋อร์ข้าให้เพิ่มเสียหน่อย จากนั้นเอาร้านค้าที่พวกเรามีในเมืองหลวงอีกสักสองสามร้านเป็นสินสมรสออกเรือนให้นาง อย่างไรเสียเตรียมไว้เผื่อก็ดี ขอเพียงแค่อย่ามากเกินกว่าของเฟิ่งเจี่ยเอ๋อร์ก็พอแล้ว สั่งให้คนจัดเตรียมให้เรียบร้อยแล้วส่งไปพร้อมกันกับนางที่ไปเมืองหลวงเถอะ”
หวางฮูหยินเงียบไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็เสริมขึ้น “หากเฟิ่งเจี่ยเอ๋อร์เป็นอะไรขึ้นมา สิ่งของของนางล้วนตกเป็นของเยี่ยนเจี่ยเอ๋อร์ เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ไม่ได้ถือว่าไม่ยุติธรรมกับนางแล้ว”
เหยาเยี่ยนอวี่ยืนอยู่ที่นอกหน้าต่าง หลังจากที่นางฟังจบประโยคก็แทบจะล้มหน้าคะมำ เหตุใดจึงเร็วเยี่ยงนี้! การหาสาวใช้มารับใช้ยังต้องมีสัญญาว่าจ้างไม่ใช่หรือ? การกระทำเช่นนี้สามารถกล่าวได้ว่าเป็นการออกเรือนของสตรีได้ด้วยหรือ?
เหยาเชวี่ยหวามองดูสีหน้าซีดขาวของพี่รอง ภายในใจเจ็บช้ำยิ่งนัก เหยาเชวี่ยหวารีบเข้าไปพยุงร่างนางเอาไว้ พร้อมกล่าวพูดเสียงเบา “พี่รอง ท่านเป็นอะไรหรือไม่”
เหยาเยี่ยนอวี่ทำจิตใจให้สงบพลางส่ายหน้า จากนั้นก็ก้าวเท้าเดินไปด้านหน้า สาวใช้ที่กำลังพูดคุยอยู่ตรงระเบียงทางเดิน เมื่อเห็นพวกนางสองพี่น้องเดินเข้ามา ก็รีบวิ่งมาเปิดม่านพร้อมพูดขึ้นเสียงเบาว่า “คุณหนูรองกับคุณหนูสามมาแล้วเจ้าค่ะ”
ด้านหลังฉากกั้นขนาดใหญ่ ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งและหวางฮูหยินจบบทสนทนาในทันที ตอนที่สองพี่น้องเหยาเยี่ยนอวี่เดินเข้ามานั้น ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งยกยิ้มพลางกวักมือเรียก “หากพวกเจ้ายังไม่มา ข้าจะให้คนตั้งอาหารเช้าแล้ว”
เหยาเยี่ยนอวี่มีเรื่องหนักใจ ด้วยเหตุนี้นางจึงยิ้มอย่างไม่เป็นธรรมชาติ “เมื่อคืนไม่รู้ว่าจิ้งหรีดจากที่ใดกระโดดเข้ามาภายในเรือน ส่งเสียงร้องจี๊ดจี๊ดดังระงมกว่าครึ่งค่อนคืน กลางดึกถึงจะหยุดร้อง ด้วยเหตุนี้ เช้าวันนี้หลานจึงตื่นสายเจ้าค่ะ ท่านย่าอย่าได้กล่าวโทษหลานเลยเจ้าค่ะ”
“เรื่องเช่นนี้ บอกกับสาวใช้ให้จัดการก็สิ้นเรื่อง” ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งหัวเราะ นางหันหน้าไปสั่งเหล่าสาวใช้ “ตั้งโต๊ะเถอะ ให้พวกเยี่ยนเจี่ยเอ๋อร์กินเสร็จแล้วก็กลับไปนอนพักผ่อนเสียก่อน การร่ำเรียนวิชากุลสตรีหยุดไปชั่วคราวก่อนเถอะ เรียนให้รู้ความคร่าวๆ ก็พอแล้ว อย่างไรสุขภาพร่างกายก็ย่อมสำคัญยิ่งกว่า”
เหล่าสาวใช้รับคำ แล้วหันหลังเดินออกไปยกอาหาร เหยาเยี่ยนอวี่อัดอั้นเรื่องในใจไว้มากมาย จึงทำให้กินอาหารได้น้อย จากนั้นนางก็อ้างว่าไม่สบายตัวจึงขอตัวกลับไปก่อน
ตกเย็นมา สาวใช้ในเรือนหวางฮูหยินเข้ามาส่งสารว่า ฮูหยินเชิญคุณหนูรองไปพบ เหยาเยี่ยนอวี่พูดในใจ ท้ายที่สุดก็ไม่อาจหลีกหนีเรื่องนี้ไปได้ ด้วยเหตุนี้ นางจึงแต่งตัวและแต้มเครื่องประทินโฉมอย่างเรียบง่ายพร้อมให้ชุ่ยเวยติดตามสาวใช้ผู้นั้นไปยังเรือนหวางฮูหยินด้วยกัน
เมื่อหวางฮูหยินเห็นนาง จึงพูดขึ้นด้วยวาจาดีทว่ากลับไม่มีความจริงใจ
เช่น “การที่เจ้าไปหาพี่ใหญ่ในครั้งนี้คือการไปเยี่ยมเยียนพี่ใหญ่ของเจ้าแทนข้าและท่านย่า ตอนที่พี่ใหญ่ของเจ้าอยู่ในจวน นางทั้งรักและเอ็นดูเจ้า นางชื่นชอบนิสัยอ่อนโยนของเจ้า ไม่เหมือนน้องสามของเจ้าที่เจอเรื่องใดก็ล้วนกระวนกระวายและตื่นตกใจ”
“จวนโหวนั้นเป็นตระกูลที่เลื่องชื่อ ฮูหยินผู้เฒ่าแห่งตระกูลโหวเป็นถึงเสด็จป้าของฮ่องเต้องค์ปัจจุบัน อีกทั้งยังบอกว่าองค์หญิงต้าจั่งยังมีรูปโฉมงดงาม ฐานันดรศักดิ์สูงส่ง ตอนที่เจ้าไปถึงที่นั่น ไม่ว่าจะทำการใดต้องรู้จักระมัดระวัง เชื่อฟังคำพูดของพี่ใหญ่”
“เสื้อผ้าและข้าวของเครื่องใช้ของเจ้า ข้าได้สั่งให้สาวใช้จัดเตรียมเอาไว้แล้ว หากพี่ใหญ่ของเจ้าเป็นอะไรขึ้นมา เจ้าก็อยู่ที่จวนโหวแทนพี่ใหญ่ของเจ้า แม้ว่าจะเสื่อมเสียเกียรติและชื่อเสียงไปบ้าง แต่ท่านผู้เฒ่าได้ปรึกษาหารือกับท่านโหวเรียบร้อยแล้ว รอให้ผ่านการไว้ทุกข์ของแคว้นแล้วค่อยหยวนฝัง ถึงเวลานั้นค่อยเชิญแขกเหรื่อมาร่วมแสดงความยินดี เจ้าจะลำบากเพียงครึ่งค่อนปีเท่านั้น วันข้างหน้าเจ้าจะได้กลายเป็นฮูหยินน้อยสามแห่งจวนโหว และเจ้าก็จะได้สุขสมกับลาภยศที่ไม่มีวันหมดสิ้น”
การที่ต้องเผชิญหน้ากับคำพูดเหล่านี้ของมารดาเอกหวางฮูหยิน เหยาเยี่ยนอวี่มีสิทธิ์เพียงแค่รับฟังเท่านั้น หากโต้เถียงกลับไป แน่นอนว่าหวางฮูหยินย่อมมีวิธีทำให้นางยินยอมแม้จะต้องฝืนใจตน ถึงเวลานั้นจะกลายเป็นเพียงตนที่ต้องอัปยศอดสู
หากอยากจะมีชีวิตที่อิสระ จำเป็นต้องออกไปจากจวนข้าหลวงใหญ่เสียก่อนแล้วค่อยว่ากัน แต่พอ ออกจากจวนข้าหลวงใหญ่แล้วไปจวนติ้งโหว ในยุคสมัยนี้ การที่สตรีอยากจะยืนด้วยลำแข้งของตนเองนั้น ช่างเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายแม้แต่น้อย
เมื่อหวางฮูหยินเห็นว่าเหยาเยี่ยนอวี่ไม่พูดสิ่งใด แค่พยักหน้าเท่านั้น นางก็รู้สึกวางใจ
เพราะอย่างไรบุตรีอนุภรรยาผู้นี้ก็มีนิสัยไม่รู้ร้อนรู้หนาวตั้งแต่เล็ก ไม่ว่าจะให้นางทำสิ่งใดนางก็ทำสิ่งนั้น นอกจากชื่นชอบที่จะเลี้ยงสัตว์เลี้ยงในเรือนแล้ว ก็ยังชื่นชอบในการอ่านตำรา ไม่มีความชื่นชอบอื่นอีก
เดิมทีรู้สึกว่านางโง่เขลา ทว่าคิดไม่ถึงหลังจากที่นางอายุสิบสามปี ตอนที่สั่งให้นางขึ้นมาช่วยงานในเรือนหลักนั้น การพูดจาและทำงานช่างเป็นระเบียบ และรู้จักวางตัวให้เหมาะสม ตอนออกคำสั่งและจัดสรรหน้าที่ให้บ่าวรับใช้ก็สะสางอย่างชัดเจน เหล่าสาวใช้ล้วนเข้าใจเป็นอย่างดี และไม่เคยผิดพลาดมาก่อน กิริยาท่าทางนั้นคล้ายบุตรีตระกูลสูงศักดิ์ นางยอดเยี่ยมยิ่งนัก แม้แต่ซูอวี้เหอ สะใภ้ของหลานชายที่เป็นคุณหนูสามที่หยิ่งยโสแห่งจวนโหว เมื่อได้เห็นยังเอ่ยชมว่านางทำการยอดเยี่ยม ไม่เหมือนเป็นบุตรีอนุภรรยาแม้แต่น้อย
หากไม่เป็นเช่นนี้ หวางฮูหยินก็คงไม่วางใจส่งบุตรีอนุภรรยาไปจวนโหว อย่าเพิ่งกล่าวถึงผลประโยชน์ของตระกูลเลย หากนางทำการทำงานได้ไม่ดี มารยาทที่นางมีไม่อาจเชิดหน้าชูตาได้ ก็ถือว่าเป็นการเสื่อมเสียชื่อเสียงของจวนข้าหลวงใหญ่แล้ว
สมัยโบราณ การสมรสล้วนเป็นคำสั่งของบิดามารดา คำพูดสู่ขอของแม่สื่อ แม้ว่าเหยาเยี่ยนอวี่จะมีจิตวิญญาณที่ข้ามภพมาจากศตวรรษที่ 21 ก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงโชคชะตานี้ได้
หลังจากวันเกิดที่ครบอายุสิบหกปี เหยาเยี่ยนอวี่ตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่าง ชุ่ยเวยปรนนิบัติรับใช้เปลี่ยนเสื้อผ้าสำหรับออกไปนอกเรือน จากนั้นนางได้ไปกล่าวอำลาท่านย่า ท่านพ่อและท่านแม่ บอกน้องสาวเหยาเชวี่ยหวาให้ดูแลรักษาสุขภาพให้ดี จากนั้นจับมือของอี๋เหนียงที่อยู่ด้วยกันนานอย่างอาลัยอาวรณ์ แล้วเดินวนเรือนหลังเล็กของตนไปรอบหนึ่ง จากนั้นพาชุ่ยเวยและบรรดาสาวใช้รวมถึงผัวจื่อคนสนิทออกไป
บุตรชายคนโตแห่งจวนข้าหลวงใหญ่เหยาเหยียนเอินพาบ่าวรับใช้และสาวใช้ของทั้งสองเรือนมารวมกันสิบกว่าคน เพื่อส่งเหยาเยี่ยนอวี่เดินทางขึ้นเหนือไปเมืองหลวง ข้าวของเครื่องใช้ที่นำไปนั้นวางเต็มเรือสินค้าทั้งสองชั้น
ชาวบ้านที่ท่าเรือเห็นเช่นนั้นล้วนพูดคุยกันว่าจวนข้าหลวงใหญ่นั้นช่างใจกว้างมีน้ำใจกับบุตรียิ่งนัก คุณชายใหญ่เข้าเมืองหลวงเพื่อเยี่ยมเยียนน้องสาว เอาข้าวของไปมากมายถึงเพียงนี้ ทว่าเหยาเยี่ยนอวี่ที่นั่งอยู่ตรงหน้าต่างอีกฝั่งของเรือกลับฝืนยิ้มด้วยความทุกข์ระทม ใครบ้างที่รู้ว่าสิ่งของที่อยู่บนเรือนั้นคือสินสมรสออกเรือนของตน?
ทว่าสวรรค์ก็ยังเมตตากับนางอยู่บ้าง นับตั้งแต่ข้ามภพมานั้นนางได้มีชีวิตที่สุขสบายนานกว่าสิบปี แม้ว่านางจะเป็นเพียงบุตรีอนุภรรยา แต่เพราะในตระกูลมีบุตรีไม่มาก อีกทั้งท่านพ่อยังเป็นผู้ที่มีไหวพริบและเฉลียวฉลาด บุตรีมีไว้สมรสเชื่อมสัมพันธ์ย่อมถูกเลี้ยงภายในจวนอย่างดี ลงทุนลงแรงในการอบรมบ่มเพาะ ตลอดสิบปีที่ผ่านมา นางจึงถือว่ามีชีวิตที่สุขสบาย