ตอนที่ 3 วิพากษ์วิจารณ์ไปเรื่อยเปื่อย (1)

หมอหญิงจ้าวดวงใจ

หลังจากที่นางจากจวนข้าหลวงใหญ่ไป นางก็คงต้องพึ่งพาตัวเอง

การเดินทางทางน้ำไปเมืองหลวงต้องใช้เวลากว่าครึ่งค่อนเดือน ตอนที่นางไปถึงเมืองหลวงก็เข้าสู่เดือนหกแล้ว เสื้อชั้นนอกที่สวมใส่ก็ต้องเปลี่ยนเป็นเสื้อคลุมผ้าแพรบาง ฤดูร้อนของเมืองหลวงนั้นร้อนกว่าเจียงหนาน อากาศที่ทั้งร้อนอบอ้าวและแห้งแล้งนั้นช่างน่าหงุดหงิด

ร่มที่มีซี่ร่มเป็นไม้สิบหกอันและตัวร่มที่เป็นกระดาษวาดด้วยพู่กัน กำลังบดบังแสงแดดจ้าอันร้อนระอุที่สาดส่องเข้ามา เหยาเยี่ยนอวี่จับมือของชุ่ยเวยลงจากเรือด้วยสีหน้าที่มีหัวคิ้วขมวด จากนั้นก็ขึ้นรถม้าที่จวนติ้งโหวส่งมารับ

รถม้าส่ายไปส่ายมาตลอดทาง ในปากของเหยาเยี่ยนอวี่อมบ๊วยเค็มไว้หนึ่งเม็ด และกำลังนั่งพิงอยู่บนรถม้าพลางหลับตาเพื่อพักผ่อนสายตา ชุ่ยเวยที่นั่งอยู่ข้างๆ กำลังมองผ่านม่านหน้าต่างออกไปเป็นระยะ

“คุณหนู คุณหนูเจ้าคะ!”

“หืม?” เหยาเยี่ยนอวี่แค่นเสียงในลำคอออกมา เพื่อแสดงให้เห็นว่าตนกำลังฟังอยู่

“พวกเราผ่านจวนเจิ้นกั๋วกง แล้ว จวนกั๋วกงดูโดดเด่นยิ่งนัก”

“เจ้าช่วยทำตัวได้เรื่องหน่อยได้หรือไม่ จวนข้าหลวงใหญ่ปกครองสองเมืองไม่โดดเด่นหรืออย่างไร” ในรถม้าไม่มีบุคคลที่สามอยู่ และชุ่ยเวยถือว่าเป็นคนสนิทที่นางไว้วางใจที่สุด สิบปีมานี้ นางเป็นคนที่เหยาเยี่ยนอวี่้พึ่งพาได้มากที่สุด ดังนั้น นางจึงไม่จำเป็นต้องกังวลว่านางจะพูดจารุนแรงเกินไป

“นั่นมันไม่เหมือนกันเจ้าค่ะ! ดูจากโครงสร้างของจวนหลังนี้แล้ว ไม่ว่าอย่างไรจวนกั๋วกงก็ดูโดดเด่นยิ่งกว่าจวนข้าหลวงใหญ่ปกครองสองเมืองเจ้าค่ะ”

เหยาเยี่ยนอวี่หัวเราะเสียงเบา “รอให้ถึงจวนโหวก่อน ถึงเวลานั้นเจ้าค่อยตกตะลึงก็ยังไม่สาย จวนติ้งโหวและจวนองค์หญิงใหญ่ติดกัน ถึงอย่างไร ที่นั่นก็คงจะโดดเด่นกว่าจวนเจิ้นกั๋วกงมาก”

“ที่คุณหนูพูดก็ถูกเจ้าค่ะ!” ชุ่ยเวยรู้สึกตื่นเต้นดีใจขึ้นมาทันที ฮูหยินผู้เฒ่าแห่งจวนติ้งโหวเป็นถึงองค์หญิงต้าจั่ง! เป็นเสด็จป้าของฮ่องเต้! ตำหนักและจวนนั่นจะโดดเด่นเพียงใดกัน

“ต่อให้เป็นจวนที่หรูหรามากเพียงใด พวกเราก็แค่ไปหลับนอนเท่านั้น มันไม่เกี่ยวข้องกับเจ้าและข้าแม้แต่น้อย เจ้าอย่าคิดไปไกลนัก”

“โธ่ คุณหนูมักจะเป็นเยี่ยงนี้ เหมือนไม่สนใจสิ่งใดทั้งสิ้น”

เหยาเยี่ยนอวี่ยกมือขึ้นแล้วเคาะลงบนหน้าผากของชุ่ยเวย จากนั้นก็ถามขึ้นเชิงตำหนิ “ใครพูดเล่า? ที่ข้าเจ็บใจที่สุดก็คือไม่สามารถพาเสี่ยวฮุยเสี่ยวไป๋ในเรือนมาด้วย และไม่สามารถขนสมุนไพรกับดอกไม้ที่ข้าปลูกมาได้”

“โธ่ จวนโหวไม่ใช่ว่าจะเหมือนจวนของพวกเราหรอกนะเจ้าคะ คุณหนู ต่อให้ท่านอยากจะฝังเข็มให้เสี่ยวฮุยเสี่ยวไป๋มากเพียงใด เกรงว่าคงจะเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าเป็นดอกไม้ดอกหญ้าแปลกๆ พวกนั้นที่ท่านปลูก ข้าคิดว่าท่านเขยสามารถช่วยหามาให้ท่านได้”

“ท่านเขย…” เหยาเยี่ยนอวี่ได้ยินสองคำนี้ จึงยิ้มเยาะออกมาอย่างอดกลั้นไม่อยู่

ท่านเขยที่เอ่ยถึง อนาคตจะกลายเป็นสามีของตน พอนึกถึงตัวเองที่เป็นเพียงเด็กสาวอายุสิบหกปีเท่านั้น ทว่ากลับต้องไปเป็นซวี่เสียนของบุรุษที่ยังไม่เคยพบเจอ อีกทั้งภรรยาหลวงของเขาก็ยังไม่สิ้นใจ แต่นางกลับบุกรุกเข้าไปในเรือนนอนของผู้อื่นอย่างผ่าเผยถึงเพียงนี้ ถ้าอยู่ในโลกปัจจุบัน ไม่ใช่ว่าเป็นเรื่องที่น่าขบขันไปทั่วทั้งประเทศหรอกหรือ!

อย่างไรก็ตาม ใครทำให้ราชวงศ์ต้าอวิ๋นที่นี่แปลกประหลาดได้ถึงเช่นนี้ล่ะ แม้แต่เรื่องราวในประวัติศาสตร์ก็ยังไม่ได้จารึกราชวงศ์นี้ไว้เลย แล้วนางจะไปปรึกษาหารือกับใครได้?

รถม้าเคลื่อนไปข้างหน้าประมาณครึ่งชั่วยามก็ไปถึงหน้าประตูทางเข้าจวนติ้งโหว หลังจากหยุดลงครู่หนึ่ง รถม้าก็เคลื่อนไปข้างหน้าต่อ โดยตรงไปยังประตูด้านข้างที่ไม่ไกลจากประตูด้านหน้านัก แล้วถึงจะหยุดลงอีกครั้ง

จากนั้นก็มีผัวจื่อเดินมาบอกให้เหยาเยี่ยนอวี่ลงจากรถม้าได้ เหยาเยี่ยนอวี่้จับมือของชุ่ยเวยแล้วค่อยๆ เหยียดกายลุกขึ้น จากนั้นนางก็เหยียดขาทั้งสองข้างที่นั่งจนเหน็บชา แล้วค่อยๆ ลงจากรถม้า ในขณะที่นางกำลังเดินลงมาก็ได้ยินเสียงหัวเราะสดใสดังมาจากที่ไม่ไกลนัก “พี่ใหญ่ ตลอดทางที่มาท่านคงลำบากน่าดู ท่านย่าและท่านแม่บ่นถึงท่านไม่หยุด และบอกว่าสองวันนี้พวกท่านก็คงจะมาถึงแล้ว”

เหยาเยี่ยนอวี่หันไปทางที่เสียงส่งมาอย่างอดไม่ได้ เห็นชายที่สวมใส่ชุดอาภรณ์สีม่วงอ่อนคนหนึ่งยืนอยู่โดยหันหน้าประสานมือทำความเคารพพี่เหยาเหยียนเอิน ดวงหน้าของเขางดงามดั่งหยกชั้นเลิศ รูปร่างสง่าดั่งต้นไม้หยก จัดว่าเป็นผู้ที่มีรูปลักษณ์ที่ดีคนหนึ่ง

เหยาเยี่ยนอวี่ละสายตากลับมาค่อยๆ ลงจากรถม้า พลางครุ่นคิดในใจ คนผู้นี้น่าจะเป็นบุตรเขยของตระกูลเหยา ซึ่งก็คือบุตรชายคนที่สามของติ้งโหว ได้ยินมาว่าลู่ฮูหยินของติ้งโหวมีบุตรชายสามคนและบุตรีหนึ่งคน และตั้งชื่อบุตรทั้งสี่ว่า ผิง อัน เสียง และเหอ สี่คำนี้ตามลำดับ โดยมีอักษรรุ่นว่าอวี้ บุตรเขยของตระกูลเหยามีนามตรงกับคำว่า ‘เสียง’ นามของเขาน่าจะเรียกว่าซูอวี้เสียง

“ที่ไหนได้ ไม่ลำบากเลยสักนิด” เหยาเหยียนเอินประสานมือทำความเคารพกลับอย่างรู้มารยาท “เดิมทีควรจะถึงตั้งแต่เมื่อสองวันก่อนแล้ว แต่เพราะระหว่างทางฝนตกติดต่อกันหลายวัน จึงทำให้การเดินทางล่าช้าไป คงจะทำให้องค์หญิงต้าจั่ง ฮูหยินโหว และผู้อาวุโสท่านอื่นๆ เป็นกังวลน่าดู”

ซูอวี้เสียงยิ้มอย่างสง่างามพลางพูดขึ้นว่า “นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรเลย พี่ใหญ่และน้องสาวเดินทางมาถึงอย่างปลอดภัยก็ดีแล้ว พี่ใหญ่เชิญขอรับ”

เหยาเยี่ยนอวี่ขึ้นเกี้ยวคันเล็ก โดยมีผัวจื่อที่มีรูปร่างกำยำสองคนยกแล้วเดินอ้อมประตูทางเข้าหลัก หลังจากนั้นก็เดินจากทิศตะวันออกของจวนไปยังประตูฉวนฮวา แต่กลับไม่เข้าไปตรงประตูนั้น ทว่าอ้อมไปทางทิศตะวันออก จากนั้นก็เข้าไปในเรือนที่อยู่ด้านข้าง

เกี้ยวเล็กๆ วางลงบนพื้น เหยาเยี่ยนอวี่จับมือของชุ่ยเวยแล้วค่อยๆ ลงจากเกี้ยว ตอนที่นางเงยหน้าขึ้นก็เห็นผนังสีขาว และมีประตูวงจันทร์ที่เป็นประตูแห่งความมั่งมีศรีสุข ซึ่งด้านบนมีแผ่นป้ายที่เขียนด้วยตัวอักษรสองคำที่เปี่ยมด้วยความสง่างามและภูมิฐานโดยเขียนคำว่า ‘ฉีเสียง’ ไว้ บนบานประตูสีนิลเคลือบเงามีกลอนประตูที่ทำจากทองเหลือง แสงของทองเหลืองนั้นเปล่งประกายระยิบระยับจนเป็นที่สะดุดตาอย่างยิ่ง ด้านในของประตูมีภาพวาดดอกพุดตานหลากสีและมีนกแซวสวรรค์ที่ดูสง่าผ่าเผยอยู่หนึ่งตัว

“คุณหนูเจ้าคะ ถึงแล้วเจ้าค่ะ” ชุ่ยเวยมองไปยังประตูทางเข้าเรือนเล็กๆ นี้ ในใจกำลังคิดว่า นี่เป็นเรือนของคุณหนูของพวกเราจริงๆ หรือ ถึงแม้จะเป็นสถานที่ที่ไม่กว้างขวาง แต่กลับตกแต่งอย่างหรูหรา จวนโหวไม่เหมือนจวนอื่นใดอย่างที่คาดไว้จริงๆ

เหยาเยี่ยนอวี่คล้องแขนของชุ่ยเวยแล้วเดินเข้าเรือนไป ข้างในมีแม่นมของเหยาเฟิ่งเกอนามว่าหลี่หมัวมัว และสาวใช้ที่ติดตามเหยาเฟิ่งเกอตอนออกเรือนนามว่าซานหูออกมาต้อนรับ

“น้อมคารวะคุณหนูรองเจ้าค่ะ คุณหนูรองมาถึงเสียที นายหญิงของพวกบ่าวบ่นถึงท่านมาหลายวันแล้ว” หลี่หมัวมัวและซานหูต่างก็น้อมคำนับให้กับเหยาเยี่ยนอวี่พร้อมกัน

“หมัวมัวรีบลุกขึ้นเถอะ” เหยาเยี่ยนอวี่รีบโน้มตัวลงไปพยุงนางขึ้นมาทันที หลี่หมัวมัวเป็นแม่นมของเหยาเฟิ่งเกอ ถือว่าเป็นคนที่รู้งานที่สุดของเหยาเฟิ่งเกอ ถึงแม้อายุของนางจะมากแล้ว แต่นางกลับฉลาดหลักแหลมเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน เหยาเยี่ยนอวี่รู้ดี คนผู้นี้นางไม่อาจดูแคลนได้

เหยาเยี่ยนอวี่เดินตามหลี่หมัวมัวผ่านซุ้มบุษบาสีมันม่วงที่อยู่ในสวน เลี้ยวผ่านโอ่งกระเบื้องลายครามที่วางอยู่ด้านข้าง มีดอกบัวและปลาทองเลี้ยงอยู่ในนั้น พอก้าวข้ามธรณีประตูไป ก็จะเป็นเรือนของเหยาเฟิ่งเกอและซูอวี้เสียง

อากาศร้อนอบอ้าวในเดือนหกเช่นนี้ ทว่าในเรือนกลับไม่เปิดหน้าต่างไว้ ทำให้ได้กลิ่นฉุนของดอกไป่เหอผสมกับกลิ่นยาสมุนไพร เหยาเยี่ยนอวี่จึงรู้สึกหายใจไม่ออกเล็กน้อย

พอเดินผ่านฉากกั้นและเดินผ่านผ้าม่านโปร่งสีม่วงไป ก็เห็นด้านหลังม่านลูกปัดมีเตียงนอนที่ทำจากไม้ประดู่แดงสลักด้วยลายบุษบาตั้งอยู่ และมีผ้าม่านโปร่งสีตะไคร้แขวนอยู่บนตะขอสีทอง เหยาเฟิ่งเกอสวมชุดตัวในสีนวลจันทร์ เอนกายพิงอยู่บนหมอน ใบหน้าของนางไร้สีเลือด ทันทีที่เหยาเยี่ยนอวี่เห็นจึงอดรู้สึกตกใจไม่ได้…ผ่านไปเพียงสามปี เหยาเฟิ่งเกอกลับกลายเป็นสภาพเยี่ยงนี้

เหยาเยี่ยนอวี่เดินไปที่หน้าเตียง จากนั้นก็ย่อตัวลงทำความเคารพเล็กน้อย “พี่สาว?”

เหยาเฟิ่งเกอค่อยๆ ลืมตาขึ้น ตอนที่นางเห็นหน้าเหยาเยี่ยนอวี่ นัยน์ตาของนางเปล่งประกายความดีใจออกมา จากนั้นก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่ไร้เรี่ยวแรง และแทบจะไม่มีเสียงเปล่งออกมา “น้องสาว เจ้ามาแล้วหรือ” ขณะที่พูดนั้น นัยน์ตาของเหยาเฟิ่งเกอก็เอ่อล้นไปด้วยหยาดน้ำตาขึ้นมาในทันที หยดน้ำตาเม็ดใหญ่ร่วงหล่นลงมาอย่างไม่ขาดสายซึมเข้าไปในเสื้อผ้าตรงช่วงหน้าอกจนเปียกชื้น

เหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกเจ็บปวดใจ พอนึกถึงช่วงเวลาที่นางและพี่สาวได้อยู่ร่วมกันในจวน ถึงแม้พวกนางจะไม่ค่อยสนิทสนมกัน แต่ก็ไม่เคยมีเรื่องหมางใจต่อกัน

เหยาเฟิ่งเกอเป็นบุตรีภรรยาเอกก็ต้องศักดิ์สูงกว่านางอยู่แล้ว มีเรื่องมากมายที่นางเองก็ไม่เคยคิดเล็กคิดน้อยกับตนและเหยาเชวี่ยหวาที่เป็นบุตรีอนุภรรยา และเหยาเยี่ยนอวี่้ที่เกิดมามีฐานะเป็นบุตรีอนุภรรยาก็รู้ดีว่าฐานะของตนไม่สามารถไปเทียบเทียมกับเหยาเฟิ่งเกอได้ ดังนั้น นางจึงพอใจในสิ่งที่ตนมี ทั้งพี่และน้องจึงไม่เคยมีปัญหาอะไรกัน

พวกนางไปมาหาสู่กันอย่างสันติตลอดเจ็ดปี ในวันที่เหยาเฟิ่งเกอออกเรือน ก็เคยกุมมือของนางเอาไว้ พร้อมบอกกับท่านย่าและท่านพ่อท่านแม่ว่า นางขอฝากให้น้องสาวคนนี้ช่วยทำหน้าที่เป็นบุตรกตัญญูแทนตนเอง เวลานั้นตอนที่เหยาเยี่ยนอวี่้ตอบตกลงนั้น นางอดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ หากวันหนึ่ง ตนเองสามารถออกเรือนอย่างมีเกียรติเช่นนี้ ตนก็จะไม่เสียใจเลยที่ได้ข้ามภพมาอย่างน่ามหัศจรรย์