สามปีที่ผ่านไปว่องไวคล้ายกับผ่านไปเพียงชั่วพริบตา คุณหนูใหญ่แห่งจวนข้าหลวงใหญ่ปกครองสองเมืองผู้มีพิธีสมรสอย่างอลังการนั้น วันนี้กลับใช้ชีวิตที่เหลืออยู่บนโลกได้อีกไม่นานแล้ว!
สองพี่น้องพูดคุยเล่นกันไม่กี่คำ ไม่ทันไรเหยาเฟิ่งเกอก็ดูไร้ซึ่งเรี่ยวแรงขึ้นมาทันที เหยาเยี่ยนอวี่คอยสังเกตสีหน้าของพี่สาวคนนี้มาโดยตลอด ดูเหมือนว่าจะล้มป่วยเพราะทำงานหักโหมเกินไป ในใจกำลังว้าวุ่นว่าตนไม่รู้ว่าชีพจรของนางเป็นอย่างไร ป่วยเป็นโรคอะไรกันแน่ แล้วไม่สามารถรักษาได้จริงๆ หรือ
หลี่หมัวมัวเห็นเหตุการณ์ตรงหน้า จึงรีบเดินเข้ามาเตือนด้วยเสียงต่ำ “คุณหนูรองเจ้าคะ นายหญิงเหนื่อยแล้วเจ้าค่ะ เรือนของคุณหนูเก็บกวาดเสร็จแล้ว ให้บ่าวพาท่านไปดูเรือนนอน ดีหรือไม่เจ้าคะ”
เหยาเยี่ยนอวี่พยักหน้า แล้วกล่าวว่า “พี่สาวพักผ่อนก่อนเถอะ” กับเหยาเฟิ่งเกอ จากนั้นนางก็ออกจากเรือนไป ตอนที่นางเดินออกจากประตู ก็ถามหลี่หมัวมัวอย่างทนไม่ไหว “วันนี้อากาศร้อนถึงเพียงนี้ เหตุใดเรือนของพี่สาว ไม่เปิดแม้กระทั่งหน้าต่าง”
หลี่หมัวมัวตอบกลับด้วยเสียงแผ่วเบา “นายท่านสามของพวกบ่าวบอกว่า สุขภาพร่างกายของคุณหนูใหญ่อ่อนแอเยี่ยงนี้ กลัวว่าหากเปิดหน้าต่างจะทำให้คุณหนูใหญ่โดนลม และอาจจะทำให้อาการสาหัสกว่าเดิมเจ้าค่ะ”
เหยาเยี่ยนอวี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย นี่มันเดือนหกนะ! ถ้าให้อยู่อย่างอบอ้าวเช่นนี้ คนจะไม่ป่วยได้อย่างไร? ยิ่งไปกว่านั้นในเรือนยังมีกลิ่นธูปหอมเข้มข้นขนาดนั้น อากาศก็ไม่ถ่ายเทมาเป็นเวลานาน อีกทั้งคนก็ไม่สามารถออกมาเดินเล่นข้างนอกได้อีก ไม่ว่าใครก็คงจะทนไม่ไหวมิใช่หรอกหรือ
“นี่คือคำสั่งของหมอหลวงด้วยหรือไร”
หลี่หมัวมัวส่ายหน้า “หมอหลวงกลับไม่ได้พูดเยี่ยงนี้เจ้าค่ะ”
เหยาเยี่ยนอวี่อยากบอกให้เปิดหน้าต่าง จะได้ทำให้อากาศในเรือนถ่ายเทได้ดีขึ้น แต่พอมาครุ่นคิดดูแล้ว สุดท้ายนางก็อดทนไม่พูดออกไป อย่าให้หลี่หมัวมัวนึกว่าตนตั้งใจทำลายความสัมพันธ์ของเหยาเฟิ่งเกอและซูอวี้เสียงให้แตกแยกกันจะดีกว่า
เรือนของเหยาเยี่ยนอวี่ถูกจัดให้อยู่ที่ด้านหลังของเรือนที่เหยาเฟิ่งเกอพักอาศัยอยู่ เป็นเรือนขนาดเล็กสามเรือน ถึงแม้จะไม่กว้างใหญ่ แต่การตกแต่งเรือนถือว่าดีเยี่ยม ดูท่าแล้วเหยาเฟิ่งเกอก็คาดหวังในตัวเองอยู่เหมือนกัน การตกแต่งภายในเรือน ของใช้ทุกอย่างทำจากไม้ประดู่แดงสลักลายบุษบา ทั้งม่านทั้งฟูกล้วนเป็นของใหม่ทั้งหมด สิ่งของเครื่องใช้ที่นางต้องการ ทุกอย่างล้วนเตรียมเอาไว้อย่างครบครัน
หลี่หมัวมัวพาเหยาเยี่ยนอวี่เดินวนดูในเรือนหนึ่งรอบ จากนั้นก็ชี้ไปยังเตียงนอนไม้ประดู่แดงลายบุษบา “ทั้งผ้าห่มและฟูก นายหญิงให้หมัวมัวมากฝีมือมาจัดเตรียมใหม่ทั้งหมด นายหญิงกล่าวไว้แล้ว ดูจากภายนอก อาจจะเห็นว่าคุณหนูรองลำบาก แต่นางจะไม่มีทางทำให้คุณหนูรองต้องลำบากเจ้าค่ะ”
เหยาเยี่ยนอวี่อมยิ้ม ในใจพลางคิดว่า เรื่องอะไรที่ลำบากหรือไม่ลำบาก ตนเองก็รู้ดีแก่ใจอยู่แล้ว
“ข้าวของของคุณหนู ประเดี๋ยวบ่าวจะสั่งให้พวกเขาขนย้ายเข้ามาให้นะเจ้าคะ เรือนด้านหลังนี้ไม่มีคนนอกเข้ามาพัก ของใช้ของคุณหนูอยากจะจัดวางไว้อย่างไร คุณหนูก็สั่งการพวกเขาได้โดยตรงเจ้าค่ะ”
เหยาเยี่ยนอวี่ทำได้เพียงยิ้มอย่างเกรงใจ “ลำบากหมัวมัวแล้ว”
“นี่เป็นหน้าที่ของบ่าวเจ้าค่ะ” หลี่หมัวมัวพูดขึ้น แล้วถอนหายใจออกมา
เหยาเยี่ยนอวี่รู้ดี หากพี่สาวของนางป่วยหนักจนสิ้นใจจริงๆ ชีวิตในภายภาคหน้าของหลี่หมัวมัวผู้นี้ก็คงจะไม่ราบรื่นอีกต่อไป
ขณะที่นางยังไม่ทันได้นั่งลง ก็มีสาวใช้ที่สวมใส่ชุดสีตะไคร้เดินเข้ามาพลางพูดขึ้น “ฮูหยิน สั่งให้บ่าวมาเชิญคุณหนูรองเหยาไปดื่มชาด้วยกันเจ้าค่ะ”
หลี่หมัวมัวจึงรีบกล่าวตำหนิตนเอง “บ่าวช่างเป็นคนที่ไม่ละเอียดอ่อนจริงๆ พอเห็นคุณหนูมาถึง ก็รู้สึกดีใจเกินไป แม้กระทั่งเรื่องที่ต้องพาคุณหนูไปเข้าพบฮูหยินก็ยังลืมไปได้”
เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มจางๆ แต่กลับไม่พูดคำใดออกมา หลี่หมัวมัวไม่ได้เป็นคนที่ไม่ละเอียดอ่อนหรอก ฐานะเยี่ยงนี้ของตนเอง หากฮูหยินโหวไม่เอ่ยพูดคำใด และเหยาเฟิ่งเกอก็ไม่สามารถพาไปเข้าพบผู้อาวุโสด้วยตนเอง นางคงไม่มีสิทธิ์พาตนไปพบผู้อาวุโสหรอก นางคาดเดาว่า เวลานี้เหยาเหยียนเอินคงจะติดตามซูอวี้เสียงไปเข้าพบติ้งโหวแล้ว ลู่ฮูหยินที่เป็นฮูหยินติ้งโหวจึงสั่งให้คนมาเชิญตัวเหยาเยี่ยนอวี่ไป
ในเรือนของลู่ฮูหยิน มีภรรยาของติ้งโหวซื่อจื่อซูอวี้ผิง-เฟิงฮูหยินน้อย และภรรยาของบุตรชายคนรองซูอวี้อัน-ซุนฮูหยินน้อยอยู่ที่นี่ด้วย ทั้งมารดาและสะใภ้ต่างกำลังสนทนาเรื่องในเรือนใน โดยมีสาวใช้หลายคนอยู่รอบข้าง บ้างกำลังยกน้ำชา บ้างกำลังพัดก็พัดไป ทุกคนดูถ่อมตน เชื่อฟัง และตั้งอกตั้งใจทำหน้าที่ของตนเป็นอย่างยิ่ง
หลังจากที่มีคนเข้าไปรายงานด้านในแล้ว เหยาเยี่ยนอวี่ถึงถูกเชิญให้เข้าไปทำความเคารพลู่ฮูหยิน
“เด็กคนนี้มีรูปโฉมที่ดียิ่งนัก” ลู่ฮูหยินคลี่ยิ้มอย่างเบิกบานพลางยื่นมือออกมา เหยาเยี่ยนอวี่เดินหน้าไปสองก้าว จากนั้นก็ยื่นมือของตนออกไปให้ลู่ฮูหยินจับ
สะใภ้ใหญ่เฟิงฮูหยินน้อยตั้งใจมองเหยาเยี่ยนอวี่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ยิ้มพลางกล่าวว่า “ท่านแม่กล่าวได้ถูกต้องเจ้าค่ะ ถึงแม้รูปโฉมของนางอาจจะไม่คล้ายคลึงกับน้องสะใภ้สามมากนัก แต่กลับดูมีเสน่ห์ที่แตกต่าง”
“ตัวจริงดูงดงามกว่าในภาพวาดเสียอีก” สะใภ้รองซุนฮูหยินน้อยพูดเสริมขึ้นด้วยรอยยิ้ม
ลู่ฮูหยินตั้งใจมองดวงตาและนิ้วมือของเหยาเยี่ยนอวี่อีกครั้ง จากนั้นก็ยิ้มพลางพูดขึ้นอย่างพึงพอใจ “เจ้ากล่าวได้ถูกต้อง นางดูงดงามกว่าในภาพวาดจริงๆ” กล่าวจบ ลู่ฮูหยินจึงชี้ไปยังเฟิงฮูหยินน้อยและซุนฮูหยินน้อย เพื่อแนะนำให้เหยาเยี่ยนอวี่รู้จัก
เหยาเยี่ยนอวี่เลยรีบน้อมคำนับให้กับเฟิงฮูหยินน้อย เฟิงฮูหยินน้อยรีบเข้ามากุมมือเหยาเยี่ยนอวี่ไว้ แล้วเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ตลอดการเดินทางน้องสาวคงจะลำบากน่าดู ไหนๆ ตอนนี้เจ้าก็ได้ผ่านประตูของจวนโหวเข้ามาแล้ว วันข้างหน้าพวกเราก็คือครอบครัวเดียวกัน มีอะไรให้ช่วยเหลือก็บอกข้ามาได้เลย ไม่ต้องเกรงอกเกรงใจอะไร”
เหยาเยี่ยนอวี่จึงรีบตอบรับ จากนั้นก็หมุนตัวไปน้อมคำนับให้กับซุนฮูหยินน้อยต่อ ซุนฮูหยินน้อยจึงยิ้มพลางพูดขึ้นอย่างเบิกบาน “ไอ้หยา ดวงหน้าช่างงดงามเหลือเกิน ทำให้พวกเราดูด้อยไปเลย น้องสามช่างโชคดีเสียจริง!”
ลู่ฮูหยินสั่งให้เหยาเยี่ยนอวี่นั่งลง เหยาเยี่ยนอวี่เลยเดินไปนั่งตรงที่นั่งสุดท้ายอย่างถ่อมตน ต่อให้เฟิงฮูหยินน้อยและซุนฮูหยินน้อยต้องการหลีกที่นั่งให้มากเพียงใด นางก็จะขอนั่งตรงที่นั่งที่ถัดจากซุนฮูหยินน้อย
จากนั้นก็มีสาวใช้ยกน้ำชาที่มีกลิ่นหอมรัญจวนใจมาให้ ลู่ฮูหยินถามถึงฮูหยินผู้เฒ่าและฮูหยินแห่งจวนข้าหลวงใหญ่ปกครองสองเมืองไปไม่กี่คำ ก็ถามถึงการเดินทางขึ้นเหนือในครั้งนี้ราบรื่นดีหรือไม่ ได้พบเจอปัญหาอะไรหรือเปล่า
เหยาเยี่ยนอวี่ตอบกลับทีละคำถาม ลู่ฮูหยินจึงถามทางหลี่หมัวมัวว่าได้ให้บ่าวรับใช้ในเรือนคุณชายสามจัดเตรียมที่พักถึงไหนแล้ว หลี่หมัวมัวรีบแจ้งว่าจัดเรือนของเหยาเยี่ยนอวี่ให้อยู่ตรงเรือนที่มีห้องสามห้องขนาดเล็กทางทิศเหนือของเรือนหลัง นอกจากนั้นนางได้เตรียมสาวใช้และผัวจื่อจำนวนสิบกว่าคนเข้ามารับใช้ ทั้งสะใภ้สามยังส่งบ่าวรับใช้มาอีกสองคนและผัวจื่ออีกสองคนไปปรนนิบัติรับใช้อีกด้วย
ลู่ลู่ฮูหยินพยักหน้าพลางเอ่ยพูด “สะใภ้สามเป็นคนที่วางตัวเหมาะสมมาตลอด นางมักจะจัดเตรียมทุกอย่างอย่างเหมาะสม เพียงแต่น่าเสียดายที่นางมีจิตใจที่โอบอ้อมอารี กลับมีร่างกายที่ไม่แข็งแรงเพียงพอ”
ทันใดนั้น ทุกคนจึงหุบยิ้ม บรรยากาศในเรือนหดหู่ขึ้นมาทันที
เหยาเยี่ยนอวี่จึงได้ปลอบโยนขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา “ฮูหยินอย่าได้เสียใจไปเลยเจ้าค่ะ สุขภาพร่างกายของท่านนั้นสำคัญ อีกอย่างเมื่อครู่นี้ ข้าได้พบพี่สาว นางแค่ดูไม่มีชีวิตชีวาเท่านั้น แต่ในใจของนางกลับรู้ดีว่า จวนโหวได้รับการอำนวยพรจากฝ่าบาทและองค์หญิงต้าจั่ง พี่สาวของข้ายังมีท่านโหวและท่านฮูหยินคอยเป็นห่วงเป็นใย อีกทั้งสำนักหมอหลวงก็คอยดูแลรักษา คิดว่าอาการป่วยครั้งนี้ไม่ใช่ว่าจะไม่สามารถรักษาได้เจ้าค่ะ”
ดวงหน้าของลู่ฮูหยินเต็มไปด้วยรอยยิ้มเบิกบานอีกครั้ง “เด็กคนนี้ช่างพูดเสียจริง”
พวกนางพูดคุยเล่นกันอีกไม่กี่คำ พอเห็นว่าฟ้าเริ่มมืดแล้ว ลู่ฮูหยินบอกว่าจะไปเยือนตำหนักองค์หญิงต้าจั่งสักพัก เลยให้เหยาเยี่ยนอวี่กลับไปก่อน
เหยาเยี่ยนอวี่เหยียดกายลุกขึ้นแล้วกล่าวคำลา จากนั้นก็พาชุ่ยเวยและหลี่หมัวมัวกลับเรือนของเหยาเฟิ่งเกอไป
ทางลู่ฮูหยินเองก็เหยียดกายลุกขึ้นไปเปลี่ยนเสื้อผ้า ขณะเดียวกันนั้น นางก็ได้ถามเฟิงฮูหยินน้อย “เจ้าคิดว่าคุณหนูรองเหยาเป็นเช่นไรบ้าง”
เฟิงฮูหยินน้อยเห็นจิ่นหลานกำลังจัดปกคอเสื้อให้ลู่ฮูหยินอยู่ นางหยิบที่คาดเอวไปปรนนิบัติรับใช้ฮูหยิน นางเป็นสะใภ้ของลู่ฮูหยินมาสิบปี แน่นอนนางต้องรู้ว่าแม่สามีของตนอยากฟังคำพูดเช่นไร ดังนั้นนางจึงยิ้มพลางพูดขึ้น “ดูจากภายนอกเป็นแม่นางที่รู้จักกาลเทศะทีเดียว นิสัยอ่อนโยนและระมัดระวังตัว รูปลักษณ์ภายนอกก็ไม่เลว ถึงแม้จะไม่สง่าผ่าเผยเหมือนพี่สาวนาง อย่างไรนางก็เป็นบุตรีอนุภรรยา ถึงแม้จะไม่ค่อยมีความสามารถและความมั่นใจ ทว่าถือว่ายังพอมีอยู่บ้าง ในภายภาคหน้า หากนางได้กลายเป็นคู่ครองของน้องสาม ท่านแม่ค่อยตั้งใจอบรมสั่งสอนนาง ก็คงจะดีขึ้นเองเจ้าค่ะ”
ลู่ฮูหยินพยักหน้า พร้อมกับเอ่ยขึ้นอย่างเห็นด้วย “ข้ากลับรู้สึกว่า รูปโฉมของนางเหนือกว่าพี่สาวของนางเสียอีก นางดูเป็นคนที่มีวาสนา และอารมณ์ก็ดูมั่นคงดี ถึงแม้ความเฉลียวฉลาดจะด้อยกว่าพี่สาว แต่สตรีก็ควรมีนิสัยที่อ่อนโยนอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องแข็งแกร่งมากเกินไป เยี่ยงนั้นก็คงไม่มีอะไรดี!”