ซุนฮูหยินน้อยคลายยิ้มแล้วพูดขึ้น “ท่านแม่พูดถูกเจ้าค่ะ”
“เฮ้อ! ไปกันเถอะ เจ้าสามของพวกเราช่างอาภัพเสียจริง อายุก็ยี่สิบสองแล้ว ไม่เพียงไม่มีบุตรชาย แม้กระทั่งบุตรีก็ยังไม่มี แต่กลับยังให้ข้าที่เป็นมารดาคอยเป็นห่วงเรื่องในเรือนของเขาอีก” หลังจากที่ลู่ฮูหยินเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ นางก็ส่องเครื่องแต่งกายของตนผ่านคันฉ่องทองเหลืองขนาดเต็มตัว จากนั้นก็พาสะใภ้ทั้งสองออกไป
เหยาเยี่ยนอวี่กินมื้อค่ำในเรือนของตน ตลอดหลายวันที่เหยาเฟิ่งเกอล้มป่วยนั้น นางได้ต่อเติมโรงครัวเล็กๆ เอาไว้ เหยาหย่วนจือส่งแม่ครัวมาให้นางตั้งนานแล้ว เหตุเพราะกลัวว่าบุตรีจะไม่คุ้นชินกับอาหารที่พ่อครัวในเมืองหลวงทำ จึงตั้งใจส่งแม่ครัวจากเจียงหนานมา
คาดไม่ถึงว่าลู่ฮูหยินจะสั่งให้คนส่งอาหารมาให้เหยาเยี่ยนอวี่เพิ่มอีกสองอย่าง ทั้งสั่งคนส่งอาหารมาบอกว่า “เดิมทีฮูหยินอยากจะจัดงานเลี้ยงภายในตระกูลแล้วเชิญคุณหนูรองเหยาไปร่วมโต๊ะ แต่เหตุเพราะยังอยู่ในช่วงไว้อาลัยของแคว้น ตระกูลของพวกเราไม่เหมือนตระกูลอื่น ไม่อาจต่อหน้าทำอย่าง ลับหลังกลับทำอีกอย่างได้ อีกเหตุเพราะสะใภ้สามไม่สบาย คิดว่าสะใภ้สามคงอยากจะให้คุณหนูรองคอยอยู่เคียงข้าง ดังนั้นช่วงหลายวันนี้คุณหนูรองไม่ต้องไปเรือนหลักแล้วเจ้าค่ะ แค่คอยอยู่กับสะใภ้สามก็พอ ฮูหยินยังกล่าวอีกว่า คุณหนูรองไม่ต้องเกรงใจเจ้าค่ะ หากมีสิ่งใดไม่คุ้นชิน ขอเพียงบอกกล่าว และหากบ่าวรับใช้ไม่เชื่อฟังหรือเกียจคร้านก็ไล่ออกได้เลยเจ้าค่ะ”
ความหมายในสิ่งที่พูดนั้นชัดเจน เจ้ายังไม่ได้เป็นจี้ซื่อ ไม่ใช่สะใภ้ของตระกูลพวกเรา การปรนนิบัติรับใช้บิดามารดาทุกเช้าค่ำนั้นไม่ใช่กงการอะไรของเจ้า เจ้ามาที่นี่เพื่อคอยอยู่กับพี่สาวของตนเท่านั้น เช่นนั้นก็อยู่ข้างๆ พี่สาวของตนก็เพียงพอแล้ว ซึ่งสิ่งที่นางกล่าวมานั้นยังมีอีกความหมายหนึ่งที่แฝงเอาไว้ แม้จะไม่ได้เอ่ยพูดออกมา ทว่าเหยาเยี่ยนอวี่กลับเข้าใจ ช่วงนี้ยังเป็นช่วงไว้อาลัยของแคว้น ดังนั้นอย่าได้ไม่ถือปฏิบัติ แล้วก่อให้เกิดเรื่องเสื่อมเกียรติออกมา
เหยาเยี่ยนอวี่เหยียดกายลุกขึ้นฟังสาวใช้พูดจนจบ หลังจากนั้นก็ขานรับ “ได้” นางหันไปมองชุ่ยเวยครู่หนึ่ง ชุ่ยเวยจึงรีบไปหยิบเหอเปา แล้วยื่นให้กับสาวใช้
สาวใช้เองก็ไม่ได้กระมิดกระเมี้ยนแต่อย่างใด นางรับเหอเปาแล้วย่อตัวน้อมคำนับเหยาเยี่ยนอวี่ “บ่าวขอบพระคุณในน้ำใจของคุณหนูเป็นอย่างยิ่งเจ้าค่ะ” จากนั้นก็ถอยหลังออกไป
เหยาเยี่ยนอวี่มองดูม่านที่ร่วงหล่นลงมา จากนั้นค่อยๆ หันหลังหย่อนกายพิงลงบนตั่งไม้ และครุ่นคิดภายในใจ ในเมื่อหลายวันนี้ไม่ต้องไปน้อมทำความเคารพที่เรือนหลัก เช่นนั้นสู้คิดแผนการว่าวันข้างหน้าควรจะทำเช่นไรจะดีกว่า
เรื่องที่ต้องกลายมาเป็นภรรยาคนที่สองของซูอวี้เสียงนางไม่อาจทำได้ การจะทำสัญญากับเขาว่าวันข้างหน้าจะไม่ข้องเกี่ยวกัน และต่างคนต่างใช้ชีวิตตนเอง ปล่อยให้เขานอนกอดหญิงงามของเขา ส่วนตนนั้นยืนอยู่ในตำแหน่งของตนแล้วใช้ชีวิตที่มีความสุขเพียงลำพัง? เรื่องเช่นนี้คงไม่อาจเป็นไปได้
เรื่องอื่นอย่าได้กล่าวถึงเลย เอาแค่เรื่องทายาท หากอนุภรรยาให้กำเนิดทายาทก็ไม่อาจกล่าวถึงแล้ว หากบุตรของภรรยาเอกยังไม่ได้ถูกให้กำเนิด ไม่ว่าจะเป็นอนุภรรยาหรือเมียบ่าว หลังจากร่วมหลับนอนกับสามีย่อมต้องดื่มยาต้มปี้จือ นี่เป็นกฎที่บันทึกเอาไว้ในกฎระเบียบราชวงศ์ต้าอวิ๋น
หากตระกูลใหญ่ตระกูลใดที่มีบุตรคนโตเป็นบุตรที่เกิดจากอนุภรรยานั้น การลงโทษสถานเบาคือไร้ซึ่งอนาคต การลงโทษสถานหนักจะได้รับโทษฐานลุ่มหลงอนุภรรยาทำลายภรรยาเอก หากตระกูลเดิมของภรรยาเอกนั้นมีอำนาจ ไม่แน่ว่าอาจจะต้องจบชีวิตลงโดยการถูกจับกุมไปขังคุกก็ได้
ดังนั้น เหยาเยี่ยนอวี่จึงรู้ว่าหากตนคิดอยากจะทำเรื่อง ‘ยืนอยู่บนส้วมทว่าไม่ยอมถ่าย’ ย่อมเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ทั้งตระกูลซูและตระกูลเหยาต้องไม่ปล่อยนางเอาไว้แน่ หากสมรสเจ็ดปีแล้วไม่ทำการใด ย่อมต้องถูกขับไล่ออกไปจากวงศ์ตระกูล ถึงเวลานั้น สินสมรสต่างๆ เกรงว่าคงต้องเหลือเอาไว้ให้จี้ซื่อ ทว่านางไม่อาจรอจนครบเจ็ดปีได้
ชุ่ยเวยที่เดินไปส่งสาวใช้ในเรือนหลักกลับไปแล้วเดินกลับมา นางเห็นคุณหนูของตนนอนพิงอยู่บนตั่งไม้แล้วครุ่นคิดบางอย่าง สีหน้านั้นแลดูลำบากใจยิ่งนัก จึงเดินไปข้างหน้าแล้วเอ่ยถามเสียงเบา “คุณหนูเจ้าคะ เวลานี้ก็ไม่เช้าแล้ว คุณหนูจะไปหาคุณหนูใหญ่หรือไม่ เมื่อครู่บ่าวได้ยินพวกสาวใช้พูดกันว่าคุณหนูใหญ่อาเจียนยาต้มออกมาอีกแล้วเจ้าค่ะ”
เหยาเยี่ยนอวี่อดไม่ได้ขมวดคิ้ว “นี่มันเป็นโรคอะไรกันแน่?! ตอนที่พี่ใหญ่อยู่บ้านนั้นสุขภาพร่างกายก็แข็งแรงมาโดยตลอด…”
“คุณหนูเจ้าคะ…” เหยาเยี่ยนอวี่ยังไม่ทันพูดจบชุ่ยเวยก็ส่ายหน้าแล้วห้ามปราม ชุ่ยเวยเดินขึ้นหน้าอีกสองก้าวแล้วกระซิบเสียงเบาใกล้กับหูของเหยาเยี่ยนอวี่ “คำพูดเช่นนี้ไม่อาจกล่าวเหลวไหลได้ เพราะจะทำให้ผู้อื่นเข้าใจผิดได้เจ้าค่ะ”
ก็จริง เหยาเยี่ยนอวี่ยกยิ้มพลางพยักหน้าอย่างจนใจ ในเรือนแห่งนี้ไม่ได้มีเพียงบ่าวที่ตนพามา ทว่ายังมีบ่าวของจวนโหวอีก
ชุ่ยเวยจับแขนของเหยาเยี่ยนอวี่ไว้ จากนั้นค่อยๆ พยุงนางขึ้นมา พร้อมพูดขึ้นเสียงเบา “คุณหนู พวกเราไปดูอาการคุณหนูใหญ่เสียหน่อยเถอะเจ้าค่ะ หากอาการป่วยของคุณหนูใหญ่ดีขึ้นมาได้นั้น คงจะดียิ่งนัก” ชุ่ยเวยมองคิ้วของเหยาเยี่ยนอวี่ที่ขมวดเล็กน้อย ขณะเดียวกันก็ครุ่นคิด นับตั้งแต่คุณหนูของพวกนางรู้ว่าตนเองต้องเดินทางมาอยู่ที่จวนโหวเพื่อมาเป็นจี้ซื่อของท่านเขยซู ดวงหน้าของนางก็ไม่เคยคละเคล้าด้วยรอยยิ้มอีกเลย
ทันใดนั้นเองเหยาเยี่ยนอวี่ก็คิดบางอย่างขึ้นมาได้ จริงด้วย หากเหยาเฟิ่งเกอไม่สิ้นใจ เช่นนี้ตนก็ไม่ต้องกลายเป็นซวี่เสียนของซูอวี้เสียง!
แม้ว่านางจะเป็นบุตรีอนุภรรยาของจวนข้าหลวงใหญ่ปกครองสองเมือง ทว่าก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องไปเป็นอนุภรรยาของผู้อื่น คำพูดนี้นางได้ยินจากปากของท่านพ่อผู้แสนเฉลียวฉลาดกับหูตนเองตั้งแต่ยังเล็ก หากสามารถใช้อาการป่วยของเหยาเฟิ่งเกอมาเดินหมาก เช่นนั้นนางก็จะสามารถแลกความเป็นอิสรภาพของตนได้แล้วใช่หรือไม่
ตนเองได้เข้ามายังจวนโหวทั้งยังนำสินสมรสมาด้วย ถ้าจะไม่ต้องกลับจวนเหยาอีก หากไม่เป็นจี้ซื่อ เช่นนั้นก็ถือว่าเป็นกุ้ยเชี่ย ตราบใดที่เป็นเพียงอนุภรรยา เช่นนั้นล้วนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเหยาเฟิ่งเกอ หากสามารถโน้มน้าวเหยาเฟิ่งเกอแล้วร้องขอให้นางปล่อยตนออกจากจวน เพื่อไปใช้ชีวิตอยู่ในสวนในไร่นาอย่างเงียบสงบ เช่นนั้นคงจะดีมากไม่ใช่หรือ
เหยาเยี่ยนอวี่ตัดสินใจอย่างแน่วแน่ ความเศร้าที่มีมาหลายวันนั้นจางหายไป เวลานี้ภายในใจรู้สึกปลอดโปร่งขึ้นไม่น้อย
พาชุ่ยเวยเข้าไปยังเรือนนอนของเหยาเฟิ่งเกอ หลี่หมัวมัวกำลังมองดูซานหูสาวใช้เช็ดหน้าให้กับเหยาเฟิ่งเกออยู่ เหยาเยี่ยนอวี่จึงเดินไปด้านหน้าด้วยฝีเท้าที่แผ่วเบา แล้วพูดขึ้น “มา ข้าเอง”
ซานหูรีบหันกลับไปน้อมคำนับให้กับเหยาเยี่ยนอวี่ เหยาเยี่ยนอวี่เอาผ้าจากในมือของนาง จากนั้นแช่ผ้าในน้ำอุ่นใหม่อีกครั้ง แล้วลงนั่งข้างเตียงพลางเช็ดหน้าของเหยาเฟิ่งเกออย่างใส่ใจ หลังจากนั้นดึงมือของนางเข้าหาตน แล้วใช้ผ้าเช็ดทีละนิ้ว ส่วนอีกมือหนึ่งกลับกดลงบนชีพจรของนาง แล้วฟังชีพจรด้วยความตั้งใจ
ตอนที่เหยาเยี่ยนอวี่อยู่ในโลกปัจจุบัน นางได้ร่ำเรียนด้านการแพทย์ตะวันตก และเป็นศัลยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหัวใจ
หลังจากที่ทะลุมิติมานั้นได้กลายเป็นเด็กหญิงอายุหกขวบ เวลาว่างไม่มีอะไรทำนางก็มักจะเปิดอ่านตำราที่ทางตระกูลเก็บรักษาเอาไว้ ตระกูลเหยาไม่ได้ถือเป็นตระกูลใหญ่ หากนับย้อนวงศ์ตระกูลไปสามรุ่นนั้น เดิมทีเป็นตระกูลพ่อค้าพาณิชย์ เมื่อถึงรุ่นท่านปู่ทวดของเหยาหย่วนจือ ท่านได้รู้สึกว่ามีเงินทองเพียงพอแล้ว อีกทั้งยังอิจฉาบรรดาคนที่ได้ศึกษาร่ำเรียนแล้วกลายเป็นข้าราชการและสามารถแต่งตั้งภรรยาและลูกชายให้มียศศักดิ์ได้ จึงตัดสินใจเริ่มเข้าสู่แวดวง ละทิ้งการเป็นพ่อค้าแล้วมาอยู่ในวงการเกษตร จากนั้นก็ให้หลานชายของตนตั้งใจศึกษาเล่าเรียน
บิดาของเหยาหย่วนจือเริ่มต้นจากการสอบคัดเลือกข้าราชการเคอจวี่ จากนั้นทำงานด้วยความระมัดระวังและมีความรับผิดชอบสูงจนได้มาอยู่ในตำแหน่งรองเสนาบดีกรมคลัง ท่านปู่ของนางเชื่อฟังคำสอนของบรรพบุรุษ และเคารพนับถือครูบาอาจารย์ จึงได้สร้างและขยายสถานศึกษาส่วนตัวเพื่อไว้ให้บุตรหลานร่ำเรียน ท่านมีความปราดเปรื่องในการสอนบุตร เหยาหย่วนจือก็มาจากการสอบคัดเลือกเคอจวี่ จึงมีความฉลาดหลักแหลมมากยิ่งกว่าท่านปู่ เขาจึงเป็นข้าหลวงใหญ่ปกครองสองเมืองคนปัจจุบัน
เหตุเพราะมีบรรพบุรุษท่านหนึ่งที่ชื่นชอบในการอ่านตำรา ห้องตำราของตระกูลเหยาจึงสะสมตำราเอาไว้มากมายหลากหลายประเภทยิ่งนัก มีครั้งหนึ่งเหยาเยี่ยนอวี่บังเอิญได้พบตำราแพทย์ที่หายไปนาน จึงแอบนำกลับมาศึกษาในเรือนของตน
เมื่อมีตำราแพทย์คอยอยู่เคียงข้าง ชีวิตในเรือนหลังของเหยาเยี่ยนอวี่จึงมีความเพลิดเพลินทั้งที่ไม่ได้ก้าวเท้าออกนอกเรือนเลย ถึงอย่างไรเสียนางก็ไม่ชื่นชอบการเย็บปักถักร้อย และไม่ชื่นชอบฉินฉีซูฮว่า ด้านการทำอาหารก็ไม่ใส่ใจเสียเท่าใด สิ่งเดียวที่นางเอาใจใส่นั้นมีเพียงตำราแพทย์นี้เท่านั้น
การรักษาในสมัยโบราณนั้นไม่มียารักษาทางฝั่งตะวันตก ไม่มีมีดผ่าตัด ทั้งหมดล้วนอาศัยเพียงยาสมุนไพรจีนและเข็มเงินเท่านั้น สำหรับศัลยแพทย์อย่างเหยาเยี่ยนอวี่นั้น นี่จึงเป็นเรื่องน่าเสียใจไม่น้อย ความปรารถนาเดียวของนางในตอนนี้คือมีมีดผ่าตัดหนึ่งชุด แม้จะได้เอามาเล่นในยามว่างก็ยังดี
เพื่อที่จะให้ความปรารถนาเป็นจริง นางจึงเลี้ยงแมว สุนัข ไก่ และกระต่ายเอาไว้ในสวนมากมาย รวมถึงตัวยาสมุนไพรจีนต่างๆ ที่สามารถใช้ประโยชน์ แน่นอน เหตุผลที่แท้จริงที่นางทำเช่นนี้ไม่อาจพูดออกไปได้ หากพูดออกมาจะเป็นการเปิดเผยว่าตนฝืนกฎสวรรค์ ถูกครหาว่าเป็นมารปีศาจ และคงถูกจับมัดขึ้นไปบนกองฟืน ถูกไฟแผดเผาจนตาย