บ่าวรับใช้ของตระกูลเหยาต่างก็บอกว่าคุณหนูรองชื่นชอบการเพาะปลูกดอกไม้และพืชพันธุ์แปลกๆ และชอบการเลี้ยงสัตว์เลี้ยงต่างๆ นานา นางเป็นคนที่มีจิตใจงดงาม ท่านย่าและท่านแม่ที่เป็นผู้อาวุโสกลับไม่ได้สนใจอะไรมากนัก อย่างไรก็ตาม การเลี้ยงสิ่งมีชีวิตพวกนั้นก็ไม่ได้เป็นเรื่องที่น่าแปลกอะไร อีกทั้งไม่ได้เสียเงินทองเป็นจำนวนมาก นางอยากเลี้ยง ก็ปล่อยให้นางเลี้ยงไป
ด้วยเหตุนี้ เวลาที่ผ่านมานับสิบปี นางได้เรียนรู้ทักษะทางการแพทย์อันน่าอัศจรรย์ในตำราแพทย์เป็นอย่างดี
เวลานี้ เหยาเยี่ยนอวี่ถือโอกาสตอนที่เช็ดมือให้เหยาเฟิ่งเกอ ก็ได้แอบจับชีพจรนาง หลังจากที่ตรวจชีพจรเสร็จ ในใจจึงเต็มไปด้วยความสงสัย
ตรวจจากชีพจรของเหยาเฟิ่งเกอแล้ว นางมีอาการ ชี่และเลือดพร่อง ชี่ของตับและหัวใจติดขัด น้ำท่วมจากไตพร่องและปอดชื้น ดังนั้นนางจึงมีอาการไอเรื้อรัง นอนไม่หลับ อ่อนเพลียไม่มีชีวิตชีวา และอารมณ์ไม่ดี แต่อาการผิดปกติเหล่านี้พบได้ในเกือบทั้งหมดของสตรีที่อยู่ในเรือนหลังตระกูลใหญ่ ใครเล่าจะไม่เป็นอะไรถ้าเอาแต่ใช้เล่ห์เพทุบายในแต่ละวัน? แต่ไม่ว่าเรื่องในจิตใจจะหนักหน่วงเพียงใด ก็คงไม่ถึงกับสิ้นชีพในเวลาแค่สามปีหรอกกระมัง?
เหยาเยี่ยนอวี่วางมือของเหยาเฟิ่งเกอไว้ใต้ผ้าห่มบาง จากนั้นก็มองสีหน้าที่สะลึมสะลือของนาง แล้วหันข้างไปถามหลี่หมัวมัว “ยาของพี่สาวล่ะ”
หลี่หมัวมัวถอนหายใจพลางเอ่ยว่า “เมื่อครู่ดื่มไปสองคำก็อาเจียนออกมา บ่าวจึงไม่กล้าให้นายหญิงดื่มอีก ตอนนี้แค่นายหญิงได้กลิ่นยาก็อาเจียนแล้วเจ้าค่ะ…” ดื่มยามานานขนาดนี้ แต่กลับไม่หาย สภาพร่างกายของนางมาถึงขั้นนี้แล้ว เหตุใดถึงต้องให้นางทนทุกข์ทรมานอีก
เหยาเยี่ยนอวี่พยักหน้า “มีอีกหรือไม่ ยกมาให้ข้าดูหน่อย”
หลี่หมัวมัวเห็นว่าเหยาเยี่ยนอวี่จะป้อนยาให้พี่สาวของนาง จึงไม่อาจพูดให้มากความ แค่หันหน้าไปด้านข้าง จากนั้นก็ส่งสายตาให้กับสาวใช้ที่อยู่ด้านข้าง นางจึงยกยาต้มหนึ่งถ้วยแล้วยื่นให้ชุ่ยเวย ชุ่ยเวยก็ส่งต่อให้เหยาเยี่ยนอวี่ แต่แทนที่เหยาเยี่ยนอวี่จะป้อนยาให้เหยาเฟิ่งเกอ นางกลับเอาถ้วยยามาใกล้ปลายจมูกแล้วสูดดมเบาๆ อีกทั้งยังจิบยาเล็กน้อย
“คุณหนูรองเจ้าคะ?” หลี่หมัวมัวรู้สึกแปลกใจ “นี่คุณหนูรองกำลังจะทำอะไรเจ้าคะ”
เหยาเยี่ยนอวี่ไม่ได้สนใจหลี่หมัวมัว หลังจากที่ลิ้มรสยาไปหนึ่งคำ ก็ยื่นถ้วยยาคืนให้ชุ่ยเวย แล้วเหลือบมองเหยาเฟิ่งเกอที่นอนอยู่บนเตียงอย่างสะลึมสะลือด้วยสีหน้าที่ยังคงขมวดคิ้วเล็กน้อย ผ่านไปสักพักค่อยกล่าวขึ้น “สภาพเช่นนี้ของพี่สาว ทำให้คนมองแล้วรู้สึกเจ็บปวดใจเหลือเกิน” อย่างไรก็ตาม นางแสร้งทำเป็นมีเยื่อใยต่อพี่สาวของตนไปก่อน เรื่องอื่นค่อยว่ากันอีกที อย่างไรก่อนหน้านี้นางกับเหยาเฟิ่งเกอก็ไม่เคยมีปัญหาอะไรกันอยู่แล้ว พี่น้องต่างก็มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อกัน ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ไม่ผิด
หลี่หมัวมัวได้ยินคำพูดนี้เลยน้ำตาคลอขึ้นมาทันที “ใครว่าไม่ใช่เช่นนั้นล่ะเจ้าคะ”
เหยาเยี่ยนอวี่ถอนหายใจเบาๆ จากนั้นก็ออกคำสั่ง “เรือนแห่งนี้ไม่เปิดหน้าต่าง อากาศจึงไม่ถ่ายเท เช่นนั้นก็เอาธูปหอมนั่นไปทิ้งก่อนเถอะ”
หลี่หมัวมัวยังไม่ได้พูดอะไร สาวใช้ที่ยกถ้วยยามาเมื่อครู่นี้ก็ตอบกลับว่า “ที่ผ่านมานายหญิงไม่ชอบกลิ่นของยา และนอนหลับไม่ค่อยสนิท นี่เป็นธูปหอมที่ช่วยให้ผ่อนคลายที่ฮูหยินสั่งให้คนส่งมาโดยเฉพาะ…”
เหยาเยี่ยนอวี่เหลือบตามองไปด้านข้าง จึงสังเกตเห็นว่า สาวใช้ผู้นี้ไม่ใช่ซานหู ที่เป็นสาวใช้คนสนิทของเหยาเฟิ่งเกอ และก็ไม่ใช่สาวใช้ของตระกูลเหยา ที่ติดตามเหยาเฟิ่งเกอมาตอนออกเรือน นี่เป็นสาวใช้ของจวนติ้งโหว
“คุณหนูได้โปรดอภัยให้บ่าวด้วย บ่าวพูดมากเกินไปเองเจ้าค่ะ” สาวใช้จึงรีบก้มหน้าต่ำลง พร้อมกับค้อมตัวลงถอยไปด้านหลังเล็กน้อย
หลี่หมัวมัวที่กำลังคิดจะอธิบายอะไรบางอย่าง ตรงประตูก็มีเสียงม่านและเสียงของสาวใช้ดังเข้ามา “คุณชายสามกลับมาแล้วเจ้าค่ะ”
เหยาเยี่ยนอวี่รีบเหยียดกายลุกขึ้นจากเตียงทันที หลี่หมัวมัวรีบพาสาวใช้ออกไปต้อนรับ ซูอวี้เสียงก็เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว เหยาเยี่ยนอวี่ย่อตัวลงเล็กน้อยแสดงความเคารพ “เยี่ยนอวี่น้อมคำนับคุณชายสามเจ้าค่ะ”
ตอนที่ซูอวี้เสียงเห็นเหยาเยี่ยนอวี่ก็รู้สึกตกตะลึง จากนั้นเขาจึงยิ้มอ่อนพลางกล่าวว่า “ข้าก็ว่าเหตุใดถึงเห็นสาวใช้และผัวจื่อแปลกหน้าอยู่ด้านนอก ที่แท้ก็เป็นน้องสาวอยู่ที่นี่นี่เอง”
“ข้ามาเยี่ยมเยียนพี่สาว ได้ยินมาว่านางอาเจียนยาต้มที่ื่ดื่มเมื่อคืนเจ้าค่ะ” เหยาเยี่ยนอวี่ก้มหน้าลงเล็กน้อย เพื่อที่จะหลบสายตาของซูอวี้เสียงที่กำลังมองตนอยู่
“เฮ้อ อาการป่วยของพี่สาวเจ้า…” ซูอวี้เสียงถอนหายใจด้วยเสียงเศร้าโศก สีหน้าเต็มไปด้วยความระทมทุกข์ จากนั้นก็หลีกเหยาเยี่ยนอวี่แล้วเดินเลาะไปตรงหน้าเตียงนอน และค่อยๆ นั่งลง พลางดึงผ้าห่มผืนบางขึ้นเพื่อที่จะคลุมตัวเหยาเฟิ่งเกอให้มิดชิดกว่าเดิม
เจ้าอยากให้นางร้อนตายหรือไง ในช่วงเวลาเดือนหก กลับปิดหน้าต่างและห่มผ้า แล้วยังคลุมอย่างแน่นหนาเพียงนั้น? เหยาเยี่ยนอวี่บ่นพึมพำในใจ
ซูอวี้เสียงนั่งลงแค่ชั่วขณะ จากนั้นก็เหยียดกายลุกขึ้น แล้วเดินไปยืนตรงหน้าเหยาเยี่ยนอวี่ พร้อมกล่าวด้วยความเกรงใจ “เจ้ามาแล้ว พี่สาวของเจ้าคงจะรู้สึกโล่งอกไม่น้อย สาวใช้และผัวจื่อที่นี่อาจจะเยอะ แต่ก็ไม่ค่อยได้การ เจ้ามา ข้าก็วางใจ พวกเจ้าสองพี่น้องมีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อกัน สภาพร่างกายของพี่สาวเจ้าย่ำแย่ถึงขั้นนี้แล้ว ข้าคงจะต้องรบกวนเจ้าอย่างมากแล้วล่ะ”
เหยาเยี่ยนอวี่ก้มหน้าลงต่ำ ทำให้ซูอวี้เสียงเห็นเพียงผมสีดำสลวยที่เกล้าเป็นมวย “คุณชายสามโปรดวางใจ เยี่ยนอวี่จะดูแลพี่สาวอย่างสุดความสามารถเจ้าค่ะ”
ซูอวี้เสียงพยักหน้าแล้วอมยิ้มเล็กน้อย “ฟ้าเริ่มมืดแล้ว รีบกลับไปพักผ่อนเถอะ อาการป่วยของพี่สาวเจ้าไม่ได้เป็นมาแค่วันสองวัน สุขภาพร่างกายของเจ้าก็สำคัญเช่นกัน”
“ขอบพระคุณคุณชายสามที่เป็นห่วงเจ้าค่ะ” เหยาเยี่ยนอวี่ครุ่นคิดในใจ คำพูดด้านหน้าบอกว่าจะต้องรบกวนข้า แต่คำพูดด้านหลังกลับบอกให้ข้ารีบพักผ่อน คำพูดช่างย้อนแย้งกันเสียจริง!
พอเห็นซูอวี้เสียงจากไป เหยาเยี่ยนอวี่ก็ไม่กล่าวอะไรเพิ่มเติม แต่ก่อนที่นางจะออกจากเรือน ก็จ้องมองหลี่หมัวมัวที่กำลังเหม่อลอยอย่างพิจารณาแล้วก็จากไป หลี่หมัวมัวเป็นผู้ที่ฉลาดหลักแหลมอย่างมาก ตอนที่เหยาเยี่ยนอวี่กลับเรือนไปนั่งตรงหน้าโต๊ะเครื่องแป้ง และกำลังดึงเครื่องประดับศีรษะออก หลี่หมัวมัวก็ยกรังนกตุ๋นเข้ามาข้างใน
ชุ่ยเวยเข้าไปต้อนรับนางด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับรับของที่นางยกมา จากนั้นก็กล่าวขอบคุณด้วยเสียงต่ำ “ขอบคุณหมัวมัวที่นึกถึงคุณหนูของพวกเราเจ้าค่ะ”
หลี่หมัวมัวยิ้มอ่อนพลางเอ่ยว่า “คุณหนูของพวกเจ้าไม่ได้เป็นคุณหนูของข้ากระนั้นหรือ ตอนนี้นางมาอยู่ที่นี่แล้ว ยังจะพูดอะไรเช่นนี้กับข้าอีก?”
ชุ่ยเวยรู้สึกตกตะลึงในคำพูด จึงทำได้เพียงยิ้มอย่างซุกซน และไม่พูดอะไรอีก เหยาเยี่ยนอวี่มองแม่นมของตนเองที่มีนามว่าเฝิงหมัวมัวพลางยิ้มและกล่าวขึ้น “ที่นี่ข้ามีรังนกแล้ว ข้าคงกินน้ำแกงเห็ดหูหนูขาวไม่ลงแล้วแหละ หมัวมัวไปดูไฟที่เผาไว้หน่อยเถอะ ประเดี๋ยวจะส่งให้หลี่หมัวมัวเอาไปใช้ในเรือน”
หลี่หมัวมัวรีบโค้งตัวลงน้อมคำนับ พลางยิ้มและกล่าวขึ้น “บ่าวขอบพระคุณคุณหนูอย่างยิ่งเจ้าค่ะ”
เหยาเยี่ยนอวี่ส่งสายตาให้ชุ่ยเวย ชุ่ยเวยจึงพาเหล่าสาวใช้ที่อยู่ในเรือนออกไปข้างนอกพร้อมกับปิดประตูลง หลี่หมัวมัวเห็นเยี่ยงนี้ จึงรีบขึ้นหน้ามาช่วยเหยาเยี่ยนอวี่แกะผมที่มวยไว้ออก จากนั้นก็ใช้หวีงาช้างหวีผมให้นาง
“หมัวมัว พี่สาวเป็นเยี่ยงนี้…” เหยาเยี่ยนอวี่ทำสีหน้าที่ลำบากใจพลางบอกคนในคันฉ่องที่มองเห็นไม่ค่อยชัด จากนั้นจึงถามขึ้น “อนาคตท่านมีแผนการว่าอย่างไร”
หลี่หมัวมัวยิ้มอย่างขมขื่น “วันนี้นายหญิงเป็นถึงขั้นนี้ พวกบ่าวที่เป็นไพร่ปรนนิบัติรับใช้ได้ไม่ทั่วถึงเอง นายท่านต้องลงโทษพวกบ่าวแน่นอน อย่างไรก็ตาม พวกบ่าวก็ต้องกลับไปน้อมรับการลงโทษอยู่ดีเจ้าค่ะ” แต่ถ้าเหยาเยี่ยนอวี่คิดจะเก็บนางไว้ คิดว่าจวนข้าหลวงใหญ่ปกครองสองเมืองต้องไม่หักหน้าบุตรีของตน เพียงเพราะบ่าวไพร่ไม่กี่คนหรอกกระมัง นี่ก็คือเหตุผลที่หลี่หมัวมัวเห็นว่าต้องหาโอกาสตามประจบสอพลอเหยาเยี่ยนอวี่
เหยาเยี่ยนอวี่พยักหน้าพลางกล่าว “จริงๆ แล้ว ทางที่ดีที่สุดสำหรับหมัวมัว คือการรักษาอาการของพี่สาวให้ดีขึ้น”
“โธ่ คุณหนูของข้า!” ครั้งนี้แม้แต่ยิ้มอย่างขมขื่นนางยังทำไม่ได้ ความรู้สึกทุกข์ใจที่เกิดขึ้น ทำให้น้ำตาของนางไหลพรากลงมาทันที “ไม่ใช่ว่าบ่าวไม่คิดเยี่ยงนี้ คุณหนูใหญ่อยู่ข้างกายบ่าวมาตั้งแต่เกิด บ่าวปรนนิบัติรับใช้นางมายี่สิบว่าปี…สุดท้ายแล้ว…”
เหยาเยี่ยนอวี่มองน้ำตาบนใบหน้าของหลี่หมัวมัว แล้วหมุนตัวไปตบมือของนางเบาๆ พลางปลอบโยนขึ้น “หมัวมัวอย่าได้เสียใจไปเลย ในความคิดของข้า พี่ใหญ่ไม่ใช่ว่าไม่สามารถหายดี”
หลี่หมัวมัวหยุดชะงักไปทันที สักพักจึงได้ถอนหายใจออกมาอย่างแรง “มาถึงขั้นนี้แล้ว คุณหนูยังจะพูดจาเช่นนี้เพื่อปลอบโยนบ่าวอีกหรือเจ้าคะ”
เหยาเยี่ยนอวี่กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ข้าไม่ได้ปลอบใจเจ้า ถึงแม้ข้าจะไม่มั่นใจเต็มร้อยว่าข้าจะสามารถช่วยพี่ใหญ่ได้หรือไม่ แต่อย่างไรก็ตาม มันก็ต้องมีทางออกอย่างแน่นอน”