มองเขา ‘เล่นละคร’ 2

เมื่อถึงยามนี้ฝูงชนที่สังเกตการณ์อยู่ถึงได้ทราบว่าหินวิญญาณของสำนักศึกษาถูกขโมยไป

แต่ข้ออ้างนี้ของเชียนหลิงอวี่ก็มีเหตุผล เหล่าชาวมุงจึงหลงเชื่อไปกว่าครึ่ง

หินวิญญาณเป็นสิ่งที่มีค่ากว่าทองเสียอีก คลังหินวิญญาณย่อมสำคัญอย่างยิ่ง นอกคลังหินวิญญาณมีเขตหวงห้ามอยู่ หากไม่มีกุญแจที่ต้องกัน ต่อให้โยนระเบิดเข้าไปก็ไม่ระเบิด หนาแน่นยิ่งกว่าห้องนิรภัยในธนาคาร

ต้องการขโมยหินวิญญาณไปจากที่นี่ นับว่ายากเย็นกว่าปีนขึ้นสวรรค์เสียอีก

ฝูงชนพากันซุบซิบอยู่ตรงนั้น คาดเดาว่าโจรขโมยหินวิญญาณผู้นั้นเป็นคนจากแดนศักดิ์สิทธิ์ใดกันแน่?

เชียนหลิงเทียนคิดว่าตนลบล้าง ‘ข้อกล่าวหา’ ของตนได้แล้ว จึงเริ่มวิเคราะห์ทันที คิดจะค้นหาโจรขโมยทรัพย์เพื่อแสดงคุณความดี “อาจารย์ใหญ่ขอรับ หลิงเทียนสงสัยว่าคนผู้หนึ่งจะเกี่ยวข้องกับคดีลักทรัพย์นี้!”

ในที่สุดกู่ฉานโม่ก็เปิดปากเอ่ย กล่าวออกมาสองคำ “ว่ามา”

เชียนหลิงเทียนจึงเอ่ยออกไป “หลิงเทียนสงสัยว่ากู้ซีจิ่วคือผู้ก่อเหตุขอรับ!”

กู่ฉานโม่เลิกคิ้วสูง ตอบเขาคำเดียว “หือ?”

“คลังหินวิญญาณของสำนักศึกษาชุมนุมสวรรค์เราแข็งแกร่งระดับใดกัน? อย่าว่าแต่ผู้น้อยเลย ต่อให้มีฝีมือระดับศิษย์พี่เยี่ยนเฉินก็ยังไม่อาจเข้าไปโดยที่เทพไม่รู้ผีไม่เห็นได้ แถมคนนอกยังเข้ามาไม่ได้ด้วย คนที่เข้ามาก็มีเพียงองค์ชายแปดหรงเช่อผู้เดียว เจ้าสำนักหลงและท่านเทพศักดิ์สิทธิ์ หรงเช่อวรยุทธ์ไม่เข้าขั้น เจ้าสำนักหลงและท่านเทพศักดิ์สิทธิ์มีกำลังพอจริงๆ แต่เป็นไปไม่ได้ เมื่อไล่เรียงออกมาเช่นนี้ ก็เหลือเพียงกู้ซีจิ่วที่เพิ่งเข้าสำนักมาได้ไม่กี่วันก็ทำให้ผู้อื่นอยู่ไม่สุขคนนั้น คนๆ นี้น่าสงสัยที่สุด! ยังไม่รวมคำยกย่องยามนางอยู่ที่อาณาจักรเฟยซิงอีก กล่าวได้ว่านับตั้งแต่นางมาเรื่องประหลาดเหล่านั้นก็เกิดขึ้นมาทำให้ผู้อื่นสงสัยในตัวนาง…และข้อที่สำคัญที่สุดคือ นางเป็นวรยุทธ์ที่ประหลาดอย่างหนึ่ง สามารถปรากฏตัวขึ้นในสถานที่สักแห่งได้ตรงๆ สิ่งใดก็กีดขวางไว้ไม่ได้…ด้วยวรยุทธ์เช่นนี้ของนาง เข้าไปในคลังหินวิญญาณได้ง่ายดายนัก! มิสู้ท่านอาจารย์ใหญ่ส่งคนไปตรวจสอบนางดู บางทีอาจพบหินวิญญาณที่ถูกขโมยไป…”

เชียนหลิงเทียนมีวาทศิลป์นัก วาจาที่เอื้อนเอ่ยมีน้ำหนักยิ่ง โยนกระโถนอาจมใส่ศีรษะกู้ซีจิ่วอย่างง่ายดาย…

เขาพูดเป็นต่อยหอย ลื่นไหลไม่ติดขัด กู่ฉานโม่และผู้อาวุโสทั้งสี่ของหน่วยลงทัณฑ์น่าจะเป็นเพราะดึกแล้วสติไม่แจ่มใสนัก พวกเขาแสร้งวางท่า เมื่อฟังเชียนหลิงเทียนที่พูดอยู่ตรงนั้น พวกเขาก็แค่ตอบรับบ้างเป็นครั้งคราว เพื่อให้เขาพูดต่อไป

เชียนหลิงเทียนในเวลานี้เพื่อลบล้างข้อสงสัย ย่อมพยายามสุดความสามารถ เขากล่าวข้อสงสัยและข้อคิดเห็นบางส่วนของเขาออกมาอีก กล่าวได้พูดจนปากคอแห้งผาก…

เขาคอแห้งจริงๆ ทนไม่ไหวจึงร้องขอน้ำเย็นถ้วยใหญ่ๆ สักถ้วย

ไม่รู้ว่าเป็นเพราะกระวนกระวายหรือเป็นเพราะคึกคักฮึกเหิม ใบหน้าหล่อเหลาของเขาจึงเริ่มแดงก่ำ

ถึงแม้กู่ฉานโม่จะไม่ได้พุดอะไร แต่ก็จ้องเขาด้วยแววตาคมปลาบอยู่เสมอ จ้องจนเชียนหลิงเทียนใจเต้นรัว

เชียนหลิงเทียนรู้สึกว่า ถ้อยคำที่เขากล่าวมากชั่วชีวิตยังไม่มากเท่าวันนี้เลย ด้วยเหตุนี้เมื่อกล่าวมาถึงตอนท้ายสุด เขาก็รู้สึกว่าลำคอของเขาแทบจะลุกไหม้แล้ว ถึงได้หุบปากลงอย่างไม่เต็มอิ่มนัก เขาเม้มริมฝีปากที่แห้งผากแล้วร้องขออย่างอ่อนแรง “ท่านอาจารย์ใหญ่กู่ ศิษย์ขอดื่มน้ำสักอึกได้ไหมขอรับ?”

กู่ฉานโม่มองดูเขา เอ่ยออกมาช้าๆ สองคำ “ไม่ได้!”

เชียนหลิงอวี่นิ่งงัน ดูเหมือนในที่สุดเขาก็ตระหนักถึงความผิดปกติได้แล้ว “ท่านอาจารย์ใหญ่…”

“มิน่าล่ะกู้ซีจิ่วถึงบอกว่า คนที่กินปูนร้อนท้องจะพูดมากยิ่งนัก โดยเฉพาะยามที่จะลบล้างข้อล้างกล่าวหาให้ตนเองและเบี่ยงเบนความสนใจของผู้อื่น จะพูดมากเป็นพิเศษ ตอนนี้เห็นทีว่านางจะกล่าวได้ถูกต้อง” ในที่สุดกู่ฉานโม่ก็เปิดปากเอ่ยประโยคยาวๆ ออกมาแล้ว

หัวใจเชียนหลิงเทียนเต้นช้าลงหนึ่งจังหวะ อ้าปากน้อยๆ “อ…อะไรนะ?”