ตอนที่ 445 การจู่โจมกลางค่ำคืน

ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods

เมื่อปรากฏการณ์ภูมิอากาศทั้งหลายได้แปรเปลี่ยนไปอย่างสุดขั้วในปลายยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง เรือตะวันและเรือจันทราที่ถูกหลอมตีขึ้นมาโดยเหล่าเทพเจ้าแห่งจักรพรรดิก่อตั้งก็ถูกใช้เพื่อขับไล่ความมืด มันช่วยให้สิ่งต่างๆ สามารถเติบโตงอกงาม และผู้คนก็มีหนทางรอดชีวิต

แต่ทว่า เรือสองชนิดนี้ก็เป็นศาสตราวุธอันคมกล้าสำหรับการศึกด้วยเช่นกัน ผู้พิทักษ์ตะวันแห่งเรือตะวัน และผู้พิทักษ์จันทราแห่งเรือจันทรา สามารถขับเคลื่อนพลังงานในเรืออันยิ่งใหญ่มหึมาเพื่อให้พลังงานของพวกเขาไปถึงระดับขั้นเทพสวรรค์ พวกเขาก็จะได้รับมหิทธานุภาพอันสามารถพลิกฟ้าคว่ำดิน

ฉินมู่เคยใช้เรือตะวันครั้งหนึ่ง และเคยยืมเรือจันทรา ดังนั้นเขารู้ถึงพลานุภาพอันความเลิศล้ำเหนือธรรมดาของเรือทั้งสองนี้

ด้วยเคล็ดลับควบคุมมังกรจากคัมภีร์เลี้ยงมังกรเพื่อหยิบยืมพลานุภาพของราชามังกรเทวะไร้เขาและฝูงมังกรไร้เขา เขาก็สามารถเปิดสะพานเทวะเพื่อให้จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขารุดหน้าไปถึงหมู่ปราสาทสวรรค์ แต่ทว่าเขาเข้าถึงเพียงประตูสวรรค์ทักษิณเท่านั้น และไม่มีหนทางเข้าไปในส่วนลึกของหมู่ปราสาทสวรรค์ ในทางกลับกัน หยิบยืมพลานุภาพของเรือตะวันหรือเรือจันทราทำให้เขาสามารถเข้าไปถึงศาลาหยกอันตั้งอยู่ข้างๆ สระหยก!

กระนั้นเรือตะวันและเรือจันทราก็มีตัวปราบมัน มันนั่นก็คือวิชาหมื่นจิตวิญญาณธรรมชาติ

เรือตะวันให้ผู้พิทักษ์ตะวันยืมพลัง และเรือจันทราก็ให้ผู้พิทักษ์จันทรายืมพลัง พลานุภาพนั้นมาจากตัวร่างของเรือทั้งสอง ไม่ใช่ผู้ถือครองมัน เรือทั้งสองนี้ครอบครองพลังงานน่าสะพรึงกลัวอันไร้ขอบเขต และด้วยดวงอาทิตย์และดวงจันทร์อันหลอมสร้างขึ้นมาโดยทวยเทพให้เป็นแหล่งพลังงาน พวกมันก็สามารถขับไล่ความมืดออกไปได้ วิชาหมื่นจิตวิญญาณธรรมชาติมีแนวคิดว่าทุกสิ่งมีดวงจิตและทุกสิ่งมีดวงวิญญาณ มันอาศัยสัมผัสรู้ต่อธรรมชาติของผู้ฝึกปรือเพื่อเสกสรรจิตวิญญาณขึ้นมา ปลุกชีวิตให้แก่ทุกสิ่งทุกอย่างในสรวงสวรรค์และพื้นพิภพ และเรียกใช้มันมาต่อสู้

เทพเจ้าตนที่ฝึกวิชาหมื่นจิตวิญญาณธรรมชาติสามารถปลุกจิตวิญญาณขึ้นมาในเรือตะวันและเรือจันทรา เพื่อใช้ให้มันต่อสู้ให้เขา

ในกรณีนั้น จุดจบของผู้พิทักษ์ตะวันและผู้พิทักษ์จันทรา รวมทั้งนักต้อนตะวันและนักต้อนจันทราทั้งหลาย ก็มีแต่ถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ แม้แต่ผู้พิทักษ์เองก็คงยากจะหนีรอด!

“เมื่อหลายหมื่นปีก่อน มันจะต้องมีการต่อสู้อันแตกตื่นสะท้านขวัญที่นี่ เรือตะวันและเรือจันทราทั้งหลายได้เผชิญกับเทพเจ้าผู้ซึ่งฝึกปรือวิชาหมื่นจิตวิญญาณธรรมชาติ อันลงเอยด้วยการที่พวกเขาถูกทำลายไปทีละลำสองลำ ขณะเดียวกัน นี่…” ฉินมู่มองไปทางทิศตะวันตก ประกายตาเขาวูบไหวราวกับแสงเทียนอันกะพริบในสายลม “ตำหนักสวรรค์แท้แห่งแผ่นดินตะวันตก จะต้องมีความสัมพันธ์ข้องเกี่ยวกับเรื่องนี้อย่างแน่นอน”

เขารู้สึกมาตลอดว่า ตำหนักสวรรค์แท้แห่งแผ่นดินตะวันตกคือแดนศักดิ์สิทธิ์เหมือนกับวัดใหญ่ฟ้าคำรามและสำนักเต๋า แต่แม้ว่าเจ้าตำหนักจะมีทักษะเทวะอันล้ำเลิศไม่ธรรมดา นางก็เป็นเพียงแค่ยอดฝีมือคนหนึ่งที่ติดอยู่ในขั้นสะพานเทวะ แดนศักดิ์สิทธิ์ของนางไม่แตกต่างอะไรจากแดนศักดิ์สิทธิ์อื่นๆ

แต่ทว่า เมื่อมองดูแล้ว ตำหนักสวรรค์แท้แห่งแผ่นดินตะวันตก ดูท่าจะซุ่มซ่อนความลับและตัวตนอันน่าสะพรึงกลัวเอาไว้!

ไม่เพียงเท่านั้น เพียงแค่นาม ‘ตำหนักสวรรค์แท้’ ก็ชวนให้ผู้คนต้องคิดใคร่ครวญแล้ว

ลัทธินักบุญสวรรค์ได้นามของมันมาก็เพราะว่าคนตัดไม้ที่ถ่ายทอดวิชานั้นได้รับการยกย่องให้เป็นนักบุญผู้ศักดิ์สิทธิ์ วัดใหญ่ฟ้าคำรามได้นามนั้นก็เพราะว่าความสูงของเขาพระสุเมรุ ยอดของมันนั้นอยู่ในชั้นเมฆสายฟ้า เมื่อสายฟ้าและเสียงพุทธดังสอดประสาน มันก็กึกก้องกัมปนาทขนาดว่าคนหูหนวกก็ยังต้องได้ยิน

สำนักเต๋าโด่งดังก็เพราะกระบี่เต๋าและภูเขาคุนหลุน ส่วนนครหยกน้อยนั้นเป็นเศษแตกออกมาจากอัครนครหยกแห่งยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง นามของแดนศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้เผยปูมหลังที่มาของพวกมันในทางต่างๆ

เช่นนั้นอะไรคือปูมหลังความเป็นมาของตำหนักสวรรค์แท้

ทำไมเทพเจ้าแห่งตำหนักสวรรค์แท้จึงทำลายกองเรือตะวันและเรือจันทรา

ซากโบราณของราชวังเทพเจ้าในทะเลทราย และยักษ์ทรายพิสดารนั้นก็อาจจะเป็นฝีมือของเทพตนเดียวกัน ทะเลทรายปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิงประหลาดอันทำให้เกิดรอยประทับเพลิงขึ้นมาบนผู้คนที่ถูกละทิ้ง และพยายามที่จะแผดเผาพวกเขาให้ดับดิ้นไป นั่นก็เกี่ยวข้องกับตำหนักสวรรค์แท้ด้วยหรือไม่

ทำไมรอยประทับเพลิงจึงปรากฏบนผู้คนที่ถูกละทิ้งอันย่างเท้าเข้ามาในดินแดน ทำไมมีแต่ผู้คนที่ถูกละทิ้งแห่งแดนโบราณวินาศเท่านั้นที่จะถูกไฟเผาจนตายไป ขณะที่คนอื่นๆ กลับไม่รู้สึกอะไรเลยเมื่อแตะต้องเข้ากับเปลวไฟ

มีความลับซุกซ่อนอยู่ในแผ่นดินตะวันตกมากมายแค่ไหนกันนะ

ทะเลทรายเพลิงโหมแผดไฟอันร้อนแรง ทำให้ฉินมู่แสบร้อนเป็นพิเศษ ทันใดนั้น ก็มีซากโบราณอีกซากปรากฏขึ้นข้างหน้าพวกเขา และไม่ทันที่กิเลนมังกรจะเข้าไปถึง พวกเขาก็เห็นหอบลมทรายหมุนรวบรวมอยู่ที่นั่น ยักษ์ทรายตนหนึ่งค่อยๆ ก่อตัวขึ้นมา และอีกตนหนึ่งก็กำลังก่อรูปข้างๆ ตัวแรก ทรายอันเชี่ยวกรากไหลวนเป็นเกลียวรอบๆ เท้าพวกมัน

กิเลนมังกรทำลังจะหาทางอ้อม แต่ฉินมู่กล่าว “ไม่ต้อง มุ่งหน้าต่อไป”

กิเลนมังกรจึงได้แต่ตะลุยเข้าไปยังยักษ์ทรายทั้งหลายที่เปี่ยมปริ่มไปด้วยจิตสังหาร รอยพยุหะหมุนเป็นเกลียววนในดวงตาของฉินมู่เมื่อเขากวาดตาสำรวจซากโบราณนั้นจากที่ไกลๆ

ยักษ์ทรายพุ่งเข้ามาใกล้ขึ้นทุกทีๆ ทันใดนั้นก็มีเสียงร้องของกระบี่เมื่อกระบี่ไร้กังวลพุ่งหวีดเลียดพื้นทราย มันสร้างคลื่นลมอันซัดหอบทรายทั้งหลายกระเด็นขึ้นไป!

ยักษ์ทรายพวกนั้นเข้ามาใกล้ในระยะหนึ่งร้อยห้าสิบวาข้างหน้ากิเลนมังกรก่อนที่จะพลันล้มครืน คลื่นทรายไหลเทไปรอบทิศทาง และกิเลนมังกรก็พลันร้องคำรามด้วยเสียงอันดัง เป่าเนินทรายพวกนั้นให้กระจุยไป

ฉินมู่เรียกกระบี่ไร้กังวลกลับมา ขณะที่กิเลนมังกรแบกเขาเข้าไปในซากโบราณ เขาเห็นเทวะรูปอันถูกเฉือนผ่าออกเป็นแปดเก้าเสี่ยง นอนระเนระนาดอยู่ในวิหาร

กิเลนมังกรเหาะจากไป

“พวกเราน่าจะเข้าแผ่นดินตะวันตกได้ในบ่ายวันพรุ่งนี้”

บนเรือตะวันอันหักพัง ฉินมู่จุดกองไฟ และให้กิเลนมังกรและเสียงฉีเอ๋อพักผ่อน เขายังทนได้อยู่ แต่กิเลนมังกรจำเป็นต้องพักหลังจากวิ่งมานานขนาดนี้ เสียงฉีเอ๋อในวัยเท่านี้ก็ยากจะตราตรำเดินทางไกลเหมือนกัน

ฉินมู่มองไปทางทิศตะวันตก และสายตาของเขาทะลุผ่านไฟประหลาดแห่งทะเลทราย ในเปลวไฟเหล่านั้น ปรากฏร่างเงาอันแปลกประหลาดอยู่ในทิศไกลๆ

ฉินมู่แย้มยิ้มและโบกมือทักทาย อันทำให้เงาร่างนั้นตื่นตระหนก และมันก็รีบเผ่นหนีไปทันที

“นับวันผู้สูงศักดิ์ก็ยิ่งปอดแหกมากขึ้นทุกที” ฉินมู่ระเบิดหัวเราะ

ผานกงสั่วออกไปจากเรือตะวันพังๆ สีหน้าเขาเดี๋ยวก็เผือดเดี๋ยวก็คล้ำ เขานั้นได้เชื่อมต่อแขนที่แตกหักเข้าด้วยกันใหม่แล้ว และอาการบาดเจ็บที่เขาประสบก็หายไปค่อนข้างมาก แต่ถึงอย่างไร เขาก็ยังไม่ประสบความสำเร็จในการย่องเข้าใกล้ฉินมู่

ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยมีความคิดลอบโจมตีหรือแม้กระทั่งประจันหน้ากับฉินมู่ เพียงแต่ว่าเขาตระหนักดีว่าโอกาสชนะของเขานั้นไม่สูงนัก เขาจึงได้แต่ขับไล่ความคิดพวกนี้

เขากำลังจะจากไป แต่ทันใดนั้น เขาก็เห็นมวลทรายกำลังไหลอย่างเงียบเชียบในบริเวณรอบๆ และหัวใจเขาก็เต้นตึ้กตั้กขึ้นมาเล็กน้อย เขารีบมองไปยังเปลวไฟ

ทะเลทรายยามค่ำคืนนี้มิได้มืดสนิท เปลวไฟได้ส่องสว่างให้แก่มัน แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไร ในทิศไกลๆ ผานกงสั่วมองเห็นรูปเงาคนประหลาดอันราวกับหุ่นไม้เดินเข้ามาใกล้ ข้อต่อของมันบิดไปมาเมื่อมันเดินด้วยท่วงท่าอันพิลึกกึกกือ

มวลทรายอันไหลรินในทะเลทรายเคลื่อนที่ไปพร้อมกับย่างเท้าของหุ่นพวกนี้ และที่น่าแปลกก็คือทรายกลับไม่ส่งเสียงเลยแม้แต่น้อย

ผานกงสั่วหัวใจแทบโลดเต้นออกมาจากปาก เมื่อเขาเห็นเงาร่างของหุ่นไม้โผล่ขึ้นมาอีก ตัวที่สาม ตัวที่สี่….

เมื่อพวกมันเข้ามาใกล้ เขาก็พลันตระหนักว่าเงาร่างเหล่านี้คือเทวรูปไม้ แต่ดวงตาของพวกมันเป็นของจริงไม่ใช่ไม้ ในตอนนั้น พวกมันก็เข้าไปใกล้กับเรือตะวันอย่างเงียบเชียบ

ขณะที่ผานกงสั่วใจเต้นโครมครามอยู่นั่นเอง เทวรูปไม้ตนหนึ่งก็หันมามองเขา เผยรอยยิ้มพิลึกพิลั่น มันยื่นนิ้วขึ้นมาแตะที่ริมฝีปากและทำท่า ชู่ว

ผานกงสั่วกะพริบตาปริบ แต่ไม่ขยับเขยื้อน เฝ้ามองเทวรูปเหล่านี้เคลื่อนตรงไปยังเรือตะวัน

ทรายไหลเชี่ยวกรากขึ้นมา แบกรูปสลักไม้ขึ้นไปบนอากาศ มวลทรายข้างใต้มันใหญ่มหึมาขึ้นเรื่อยๆ

ผานกงสั่วกระสับกระส่าย มือของเขากำเป็นหมัดด้วยความตื่นเต้น รอบบริเวณเรือตะวันถูกยักษ์ทรายล้อมเอาไว้อย่างไร้ช่องโหว่ พวกมันเงื้อหมัดใหญ่มหึมาหมายที่จะฟาดทุบลงบนเรือตะวันอันฉินมู่กำลังพักผ่อน!

ไอ้เด็กแซ่ฉินนั่นตายแน่! ผานกงสั่วตื่นเต้นสุดๆ จนแทบจะโห่ร้องดีใจ

ในพริบตานั้นเอง กระบี่เงินยวงเล่มหนึ่งก็พุ่งเข้ามา แทงทะลุศีรษะของเทวรูปไม้ตนหนึ่ง มันระเบิดออก และตามด้วยตนที่สอง สาม และสี่

หลังจากการระเบิด แขนของยักษ์ทรายทั้งหลายก็แข็งค้างในอากาศ ก่อนที่จะพังทลายลงไปราวกับเม็ดทรายอันไหลริน ถมท่วมไปครึ่งเรือตะวัน

“คิดสู้กับข้าหรือ” เสียงเย้ยหยันดังมาจากเรือ

ผานกงสั่วไม่รีรออีกต่อไป และหันกายเพื่อหลบหนี หาทางวางแผนร้ายใส่ไอ้เด็กเวรนี่ไม่ได้เลย! แต่ทว่า ทำไมผู้คนที่ถูกละทิ้งอย่างเขาถึงมาที่แผ่นดินตะวันตก หรือมารนหาที่ตาย เจ้าของเทวรูปไม้พวกนี้ ข้ารู้จักนาง พวกเราเคยพบกันครั้งหนึ่ง แต่นั่นไม่ใช่เรื่องที่ข้าอยากจะจดจำนัก ฮี่ๆ ไอ้เด็กแซ่ฉิน แม้ว่าข้าคิดจะฆ่าเจ้า แต่ไฉนข้าจะต้องลงมือเองด้วยล่ะ

เขาแย้มยิ้ม อีกอย่าง ต่อให้ข้าไม่ยืมมือของนาง ข้าก็ยังมีสหายเก่าหลายคนในแผ่นดินตะวันตก สังหารเจ้านั้นง่ายยังกับปอกกล้วยเข้าปาก! ไอ้เด็กบัดซบ เจ้ากล้าเป็นศัตรูกับข้างั้นหรือ หลังจากที่เจ้าตายไปแล้ว ข้าจะเอาศพเจ้ามาหมอบคลานตรงหน้าข้า!

ในบ่ายวันถัดไป กิเลนมังกรก็เดินออกไปจากทะเลทรายในที่สุด และรอยประทับเพลิงก็ค่อยๆ จางหายไปจากร่างกายของฉินมู่

พวกเขามาถึงเมืองชายแดนของแผ่นดินตะวันตก ที่ซึ่งมีชายและหญิงมากมายสวมใส่ผ้าคาดหัวปักลาย เสื้อผ้าของพวกเขากุก่องตระการ เต็มไปด้วยเครื่องเงินเครื่องทอง พวกที่มีศักดิ์ฐานะสูงก็จะสวมใส่ศิราภรณ์เงินอันสลักเสลาเป็นรูปหงส์เพลิงและหงส์แดง เสื้อผ้าบนร่างกายพวกเขาก็มักจะเป็นสีแดงหรือสีดำ อันดูเจิดจ้าสะดุดตา

ที่นั่นมีเด็กสาวหน้าตาสะสวยจำนวนมาก ขณะที่พวกผู้ชายดูสามัญธรรมดา

เมื่อทั้งสามคนเข้ามาในเมืองเล็กๆ นี้ เสียงฉีเอ๋อก็ร่ำร้องอยากกินปลาเปรี้ยวหวาน ต้มเผ็ดกระดูกหมู บะหมี่แป้งข้าวเจ้า และดื่มชาขี้แมลง นางได้จากบ้านเกิดไปนานกว่าครึ่งปี และไม่อาจระงับความตื่นเต้นเมื่อคิดถึงการได้กินของอร่อยในบ้านเกิดเมืองนอนอีกครั้ง นางอยากกินทุกสิ่งทุกอย่างในรวดเดียว

แผ่นดินตะวันตกใช้ทองคำและแร่เงินในการจับจ่ายใช้สอย ซึ่งฉินมู่ก็มีติดตัวอยู่ เขาจึงให้เด็กหญิงได้กินจนเต็มคราบ

ฉินมู่เองก็ลองชิมดูบ้าง อาหารของแผ่นดินตะวันตกนั้นค่อนข้างเผ็ดและเปรี้ยว มีรสชาติอันแตกต่างออกไป แต่ทว่าเขาไม่กล้าลิ้มลองชาขี้แมลง มันทำมาจากขี้ของแมลงที่กินใบชา ดังนั้นต่อให้ชานี้จะหอมเป็นอย่างยิ่ง เขาก็ยังรู้สึกขนลุกกับมัน

ท่านปู่นักปรุงยาชอบดื่มชา เช่นนั้นข้าควรเอาไปฝากเขาให้ได้ลองสักหน่อย ฉินมู่คิดในใจ

จากนั้นเขาก็สังเกตรอบๆ ตัว สถาปัตยกรรมของแผ่นดินตะวันตกนั้นแตกต่างจากสันตินิรันดร์พอสมควร ขนบธรรมเนียมพื้นเมืองก็แตกต่างไปทั้งหมด แต่ที่แปลกประหลาดที่สุดก็คือบ้านเรือน พวกมันก่อสร้างขึ้นมาจากไม้ และก่อขึ้นเป็นรูปวงกลม หลายต่อหลายอาคารมีแผ่นจารึกอันห้อยเทวรูปเอาไว้

หลังจากที่สอบถามเกี่ยวกับมัน ฉินมู่ก็เรียนรู้ว่าเทวรูปเหล่านั้นใช้ในการป้องกันมิให้ผู้คนใช้พลังอำนาจในการปลุกจิตวิญญาณของอาคารขึ้นมา

เพราะว่าเวทมนตร์ของแผ่นดินตะวันตกดำเนินไปในแนวทางที่ว่าทุกสิ่งมีดวงจิต ทุกสิ่งมีดวงวิญญาณ หากว่าผู้ฝึกวิชาเทวะใดร่ายเวทมนตร์ และจู่บ้านเรือนก็ลุกขึ้นและวิ่งหนีไป ครัวเรือนนั้นจะไม่กลายเป็นนอนหนาวและหิวโหยหรอกหรือ

ก็ต่อเมื่อมีเทวรูปไว้บูชาในบ้าน มันก็จะไม่ถูกปลุกวิญญาณขึ้นมาจากฝีมือของผู้ฝึกวิชาเทวะ

ฉินมู่กะพริบตาปริบๆ กับคำอธิบาย นึกภาพของบ้านเรือนมากมายลุกขึ้นไปต่อสู้ในสงครามนี่ช่างเป็นอะไรที่น่าสนใจจริงๆ

แต่ทว่า เทวรูปพวกนี้ป้องกันมิให้บ้านเรือนถูกผู้ฝึกวิชาเทวะแย่งชิงไปได้จริงๆ น่ะหรือ

“มีวิหารจำนวนมากมายบนภูเขา ใช้เพื่อสะกดดวงวิญญาณของภูเขาเอาไว้ และก็มีวิหารเทพในทุกๆ แม่น้ำเพื่อป้องกันมิให้ผู้ฝึกวิชาเทวะชิงมันไป เพราะไม่ว่าอย่างไร แม่น้ำทุกสายและภูเขาทุกลูกก็มีเจ้าของทั้งนั้น” ผู้เฒ่าคนหนึ่งอธิบาย

ฉินมู่มองไปรอบๆ และเดาะลิ้นด้วยความทึ่ง เมื่อมองไปยังเทือกเขาที่เหยียดยาวไปทิศไกลๆ เขาก็เพิ่งเข้าใจว่าทำไมเทือกเขาแห่งแผ่นดินตะวันตกถึงยังไม่ถูกทำลายราบเป็นหน้ากลอง แผ่นดินนี้ยังคงมีเนินเขาขจีและน้ำใสกระจ่างอันเป็นทิวทัศน์ชวนรื่นรมย์

“ทำไมแม่น้ำทุกสายและภูเขาทุกลูกของที่นี่ถึงมีเจ้าของกันหมดล่ะ” ฉินมู่ถาม “พวกเขาคือใครกัน”

“พวกเขา แน่ล่ะ ก็คือนายท่านทั้งหลายแห่งตำหนักสวรรค์แท้ และยังมีบางส่วนที่เป็นของสถานที่อื่นหรือสำนักอื่นๆ” ผู้เฒ่ากล่าว “ไม่เพียงแต่ภูเขาและแม่น้ำมีเจ้าของแล้ว แม้แต่ดอกไม้ ใบหญ้า และต้นไม้ทั้งหลายก็มีเจ้าของ ไปแตะต้องพวกมันโดยพละการไม่ได้หรอก มิเช่นนั้นต่อให้เจ้าขายตัวเองไปเป็นทาสก็ยังไม่พอชดใช้!”

ขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น แผ่นดินก็พลันสะท้านหวั่นไหว และผู้คนรอบๆ กลายเป็นว้าวุ่น พวกเขารีบหลบไปข้างทาง และเมื่อฉินมู่มองตรงไปยังที่มาของเสียง เขาก็เห็นต้นไม้เดินตรงมา บนนั้นมีสตรีนางหนึ่งที่ถือม้วนภาพวาด นางตะโกนด้วยเสียงอันดัง “มีคนลักลอบหลบหนีเข้ามาจากแดนโบราณวินาศสู่แผ่นดินตะวันตกของพวกเราในวันนี้ ตำหนักสวรรค์แท้ได้บัญชาให้จับกุมอาชญากรนี้! พวกเจ้า เอาภาพนี้ไปแขวนไว้!”