ตอนที่ 3 หลบหนีได้หรือไม่ + ตอนที่ 4 รุ่ยอ๋อง เหลิ่งจวิ้นอวี๋

สตรีอย่างข้าน่ะหรือ คือขันที?!

ตอนที่ 3 หลบหนีได้หรือไม่

แม้ในมือเธอจะถืออาหารที่เอร็ดอร่อยหน้าตาน่าทานไว้ แต่ในใจตอนนี้กลับกระสับกระส่ายอยู่ตลอดเวลา ทั้งขาทั้งสองข้างก็เริ่มสั่นเทาไม่หยุด

เมื่อไม่มีทางเลือก แม้เธอจะยังไม่เคยพบกับรุ่ยอ๋องที่เล่าลือกันผู้นั้น ทว่าจากเรื่องราวอันโด่งดังแสนสะเทือนใจที่เขาเคยทำมาพวกนั้น จะไม่ให้เธอกลัวได้อย่างไรกัน?

อีกทั้งไม่รู้ว่าถ้าจะหนีไปตอนนี้จะยังทันหรือไม่!?

ขณะที่ในใจกำลังคิดอยู่นั้น นัยน์ตากลมโตที่งดงามคู่นั้นของเธอก็สอดส่ายไปมาไม่หยุด คล้ายรอคอยโอกาสเหมาะที่จะหลบหนีไป

ทว่าสิ่งที่เธอแอบคิดในใจเพียงแวบหนึ่งนั้น ก็ถูกลี่เต๋อหัวหน้าขันทีที่อยู่ด้านข้างมองอย่างรู้ทันอยู่ก่อนแล้ว

เห็นเพียงลี่เต๋อมีสีหน้าเคร่งขรึมลง แล้วโผล่หน้าเข้ามาเอ่ยพูดกับเล่อเหยาเหยาที่กำลังสอดส่ายสายตาไปรอบด้านด้วยน้ำเสียงเชิงตักเตือน

“เสี่ยวเหยาจื่อ เก็บความคิดพวกนั้นของเจ้าไปเสียเถอะ คิดจะหลบหนีเป็นไปไม่ได้หรอก เดือนนี้เจ้าไปรับใช้ท่านอ๋องให้ข้าดีๆ ซะเถอะ”

ลี่เต๋อหัวหน้าขันทีผู้นี้คือใครกัน!?

เขาปรนนิบัติรับใช้ท่านอ๋องมาหลายปี อาจพูดได้ว่าดูแลท่านอ๋องเติบโตมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นนอกจากท่านอ๋องแล้ว เขาก็ถือว่ามีตำแหน่งสูงสุดรองลงมาในตำหนักอ๋อง

อีกทั้งเป็นถึงผู้ดูแลตำหนักอ๋องได้ ก็พอคาดเดาได้ว่าต้องมีความสามารถมากอย่างแน่นอน ถ้าเขามองแผนการเล็กน้อยของเล่อเหยาเหยานั้นไม่ออก เขาก็คงเสียแรงเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์!

ส่วนเล่อเหยาเหยาเมื่อถูกลี่เต๋อพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา สีหน้าก็พลันเศร้าสร้อยลงทันที

ทั้งในใจแอบสาปแช่งขันทีเฒ่าผู้นี้ เขาเป็นซุนหงอคงที่มีสายตามองเห็นร่างปีศาจหรืออย่างไร!? หรือว่าเป็นพยาธิภายในท้องของเธอ ถึงรู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่!?

ถึงแม้จะถูกลี่เต๋อรู้ทันสิ่งที่อยู่ในใจ เล่อเหยาเหยาก็ยังไม่อยากที่จะเข้าไปปรนนิบัติท่านอ๋องจริงๆ อยู่ดี ถ้าท่านอ๋องไม่น่าปรนนิบัติรับใช้จริงดั่งคำร่ำลือ แล้วเธอไม่ระวังทำอะไรผิด เสียง ‘ฉับ’ ดังขึ้น หัวของเธอคงได้หลุดจากบ่าเป็นแน่!

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ เธอจึงเริ่มหวาดหวั่นใจ เพื่อรักษาชีวิต ความคิดในใจเธอจึงต่อสู้กันอย่างหนัก แล้วจู่ๆ ก็ร้อง ‘โอ้ย’ ดังขึ้นมา ก่อนที่จะเอามือกุมที่ท้อง พร้อมตัดสินใจใช้แผนหนีไปเข้าห้องน้ำ! ใครจะรู้ว่าลี่เต๋อกลับไม่รั้งรอให้เธอแสดงละครฉากนี้จบ เขารีบยื่นมือออกมาผลักตัวเธอเข้าไปในเรือนหย่าเฟิงทันที…

“ตาแก่หนังเหนียว!”

เล่อเหยาเหยาก่นด่าอยู่ในใจ ทว่าต้องจนใจในเมื่อเธอเข้ามาแล้ว คิดจะออกไป ตาแก่หนังเหนียวคนนั้นต้องส่งคนมาเฝ้ายามที่ด้านนอกไว้แล้ว เธออยากหนีออกไปก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว!

เธอจึงต้องจำใจ ยกถาดที่เต็มไปด้วยอาหารในมือ ก่อนที่จะเดินเข้าไปด้านในเรือนหย่าเฟิง

แม้ในข่าวลือรุ่ยอ๋องผู้นี้จะดูน่าหวาดกลัวอย่างมาก ราวกับอยู่บนขบวนของพญามัจจุราช ทว่าเรือนหย่าเฟิงที่เขาอาศัยอยู่นั้นช่างงดงามมากเสียจริง!

มีคนเคยกล่าวว่าหากอยากรู้นิสัยแท้จริงของคนผู้นั้นว่าเป็นเช่นไร ให้ดูจากสถานที่ที่เขาอาศัยอยู่

เล่อเหยาเหยาจึงมองไปรอบๆ  ก่อนจะเห็นเพียงหน้าต่างลายสลักทุกบานเปิดอ้าอยู่ดูโปร่งสบายอย่างมาก

เวลาตอนนี้น่าจะราวเดือนสี่หรือเดือนห้า อากาศจึงไม่ร้อนไม่เย็นเกินไป ที่ด้านนอกบุปผานานาพันธุ์กำลังเบ่งบาน สีแดงดั่งเปลวไฟ สีฟ้าที่เหนือกว่าท้องฟ้า สีขาวเหมือนดั่งหิมะ สีชมพูเหมือนดั่งแก้มที่เขินอาย ต่างชูช่ออวดความสดใสงดงามของสีสัน

กลิ่นหอมสดชื่นของดอกไม้นั้นล่องลอยเข้ามาตามสายลมอย่างช้าๆ ทำให้ทั่วห้องอบอวลด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้

ผ้าแพรบางที่ตกลงมาสะบัดพลิ้วเบาๆ ไปตามสายลม ด้านข้างห้องโถงมีเก้าอี้ไม้ลูกแพร์หกตัววางอยู่ ด้านบนประดับด้วยหมอนอิงปักดิ้นสีน้ำเงิน พื้นของห้องโถงปูด้วยแผ่นหินแกรนิต จึงทำให้อบอุ่นยามฤดูยาวเย็นสบายยามฤดูร้อน

ม่านลูกปัดที่ยาวจรดลงมาถึงพื้น ยามแสงแดดลอดผ่านหน้าต่างลายสลักที่เปิดทิ้งไว้เข้ามา แล้วกระทบลงบนคริสตัลในม่านลูกปัดเกิดเป็นประกายแวววาวน่าหลงใหล จึงทำให้ทั่วห้องคล้ายตกอยู่ในความฝันที่วิจิตรงดงามแปลกตา

ด้านหลังม่านลูกปัด มีฉากกั้นไม้จันทน์แดงลายสลัก ด้านบนฉากกั้นคือภาพวาดของหญิงงามที่วิจิตรงดงาม…

แต่ด้วยระยะห่างที่ค่อนข้างไกลและม่านลูกปัดปิดกั้นอยู่ จึงทำให้เล่อเหยาเหยามองเห็นไม่ชัดว่าด้านหลังฉากกั้นเป็นอย่างไร อีกทั้งไม่รู้ว่ารุ่ยอ๋องจะอยู่ทางด้านนั้นหรือไม่

ถึงแม้จะกระวนกระวายใจ แต่เธอก็ยังนำสำรับอาหารที่อยู่ในมือวางลงบนโต๊ะกลมขนาดใหญ่ที่ทำจากไม้พะยูงอย่างเบามือ

หลังจัดการวางทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เธอก็มองไปรอบๆ ห้องที่ดูเงียบสงบเสมือนไร้ผู้คน อีกทั้งไม่รู้ว่ารุ่ยอ๋องไปที่ที่ใดกันแน่ หรือว่าเขาไม่อยู่ที่นี่!?

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาจึงรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา

ถ้าหากรุ่ยอ๋องไม่อยู่ที่นี่ ก็แสดงว่าเธอสามารถหนีไปได้ใช่ไหม!?

ทว่าก็ยังไม่มั่นใจ แม้เธอเพิ่งมาอยู่ที่นี่ ก็เข้าใจดีว่าในรัชสมัยนี้ให้ความสำคัญกับบุรุษมากกว่าสตรีมากกว่าในสมัยราชวงศ์ชิง เกิดเธอบุ่มบ่ามหลบหนีไปตอนนี้ แล้วถูกคนจับได้ ก็ต้องได้รับโทษตายสถานเดียว เพราะฉะนั้นถ้าจะหลบหนี ก็ต้องมั่นใจว่าที่นี่ไม่มีผู้ใดอยู่จริงๆ

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาจึงมองสังเกตไปรอบๆ ก่อนที่สายตาจะค่อยๆ หยุดลงที่ด้านหลังของฉากกั้นนั้น

เธอมั่นใจว่าด้านหน้าของเรือนหย่าเฟิงไม่มีใครอยู่แน่นอน แต่ไม่รู้ว่าด้านหลังฉากกั้นนั้นมีใครอยู่หรือไม่…

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เธอจึงร้องเบาๆ ขึ้นมาก่อนว่า

“ท่านอ๋อง อยู่หรือไม่ขอรับ สำรับมื้อเที่ยงจัดเตรียมเรียบร้อยแล้ว ท่านอ๋อง?”

เล่อเหยาเหยาเอ่ยเรียกเบาๆ อยู่หลายครั้ง จนเมื่อเห็นว่าไม่มีใครตอบเธอกลับมา จึงอดไม่อยู่ที่จะดีใจออกมา

“ไม่มีใครตอบ แสดงว่าไม่มีคนอยู่ที่นี่!?”

เฮอะ! ถ้าไม่หนีไปตอนนี้ เธอก็คงไม่มีโอกาสแล้ว!?

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เล่อเหยาเหยาจึงวางแผนเผ่นออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุดแล้วค่อยคิดถึงเรื่องอื่น คิดแล้วก็ลงมือเลย ทว่าที่น่าเศร้าก็คือเธอเพิ่งเดินไปข้างหน้าได้เพียงก้าวเดียว เสียง ‘ซ่าซ่า’ ที่คล้ายกับมีบางอย่างผุดขึ้นจากน้ำดังออกมาจากด้านหลังฉากกั้น

ทันใดนั้นก็มีเสียงของชายหนุ่มที่อยู่ในฉากกั้นลายสลักค่อยๆ แว่วออกมา

“ผู้ใดอยู่ด้านนอก!?”

……………………………………………….

ตอนที่ 4 รุ่ยอ๋อง เหลิ่งจวิ้นอวี๋

น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยเสน่ห์ที่มีความแหบของเสียงเจ็ดส่วนเนิบนาบคล้ายเกียจคร้านสามส่วน เหมือนกับเหล้าชั้นดีหมักมานาน ที่เพิ่งถูกเปิด แล้วส่งกลิ่นหอมเย้ายวนชวนน่าหลงใหล

เล่อเหยาเหยาได้ยินแล้วก็สั่นเทาทั้งตัว รู้สึกเพียงว่ามีกระแสไฟฟ้าไหลผ่านทั่วร่างตั้งแต่ฝ่าเท้าไปจนถึงแขนขา แล้วลุกลามชาไปทั่วร่างกาย

เพราะน้ำเสียงที่ชวนหลงใหลของเขา คล้ายแฝงไปด้วยพลังอันลึกลับที่ไพเราะน่าประทับใจ ถ้าย้อนกลับไปอยู่ในยุคปัจจุบัน คงจะกลายเป็นนักร้องดังอะไรพวกนั้นอย่างแน่นอน

ทว่าชายหนุ่มในฉากกันนั้นคือใครกันแน่ คงไม่ใช่รุ่ยอ๋องหรือเหลิ่งจวิ้นอวี๋ที่ร่ำลือกันหรอกนะ!?

เมื่อไม่รู้ชัด เล่อเหยาเหยาจึงมึนงงเล็กน้อยอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะค่อยๆ เรียกสติกลับมาได้ ทว่าเธอยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็เห็นชายหนุ่มที่หล่อเหลาดั่งเทพเซียนค่อยๆ เดินออกมาจากฉากกั้นนั้น แล้วจึงรู้สึกเพียงว่าสมองตนเองได้ระเบิดออกมา ก่อนที่ร่างกายเธอจะแข็งทื่อราวกับดินถล่มฟ้าทลายอยู่ตรงหน้า

สวรรค์!

ในโลกนี้มีชายหนุ่มที่งดงามเช่นนี้อยู่จริงใช่ไหม!?

ผมยาวดำขลับบนศีรษะที่ยังเปียกชื้นอยู่นั้นดูยุ่งเหยิงสยายอยู่เต็มแผ่นหลัง พร้อมหยดน้ำแพรวพราวที่เกาะอยู่บริเวณหน้าอก แล้วไหลกลิ้งลงมาไม่หยุดตามเส้นผมสีดำขลับของเขา จนแขนเสื้อนั้นเปียกชุ่มนั้นเผยให้เห็นรูปร่างที่สมบูรณ์แบบและสูงใหญ่ของเขาได้อย่างชัดเจน

ชายหนุ่มคนนี้ คาดคะเนจากสายตาน่าจะสูงราวหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร ไหล่กว้างเอวคอด ขาทั้งสองข้างเรียวยาว ประหนึ่งรูปร่างของนายแบบที่เต็มไปด้วยกล้ามหน้าท้องและลำตัวที่ดูแข็งแรงกำยำ

โดยเฉพาะยามที่เขาเพิ่งออกมาจากห้องน้ำ บนตัวจึงสวมเพียงเสื้อคลุมชั้นในสีขาวบางเบาเท่านั้น และช่วงเอวยังผูกสายรัดเอาไว้อย่างหลวมๆ

แต่เสื้อคลุมชั้นในสีขาวตัวนั้นเปียกชุ่มด้วยหยดน้ำ จึงเหมือนไม่ได้สวมใส่สิ่งใดเลย ทั้งแนบชิดติดไปกับตัวเขาด้วย

สิ่งที่น่าตกใจก็คือ รอยแยกของปกเสื้อบริเวณหน้าอกที่เผยให้เห็นหน้าอกของเขาออกมา คล้ายทิวทัศน์ในฤดูใบไม้ผลิที่ไร้สิ่งบดบังปรากฏอยู่ในสายตาของเล่อเหยาเหยา

ผิวสีน้ำตาลเข้ม กล้ามหน้าท้องที่แข็งแกร่งสมบูรณ์แบบ ทุกส่วนเว้าส่วนโค้งล้วนเหมือนถูกแกะสลักเอาไว้อย่างประณีตงดงามสมบูรณ์แบบน่าสัมผัส ทำให้คนที่ได้เห็น อยากเดินเข้าไปลูบคลำดูสักครั้งจริงๆ!

และหากมองจากกล้ามหน้าท้องที่แข็งแกร่งของเขาขึ้นไป ก็จะเห็นใบหน้าที่งดงามดุจดั่งเทพเซียน!

ใบหน้าหล่อเหลาชนิดหาตัวจับได้ยากกระจ่างเด่นชัด คิ้วในตำนานที่งดงามโค้งงอไปตามไรผม ที่ทั้งแคบยาวและพลิ้วไหว

นัยน์ตาคู่นั้นดำขลับล้ำลึก ดุจดั่งดวงจันทร์ที่ลอยเด่นอย่างมีเสน่ห์อยู่บนฟ้ายามค่ำคืน ที่เผยให้เห็นถึงความเย็นชาเยือกเย็นที่แฝงอยู่ ด้านล่างจมูกที่โด่งเชิดตระหง่าน คือริมฝีปากบางสีชมพูดูชุ่มชื่นเป็นกระจับ

ริมฝีปากที่สวยงดงามคู่นั้นดูชุ่มชื่นมีน้ำมีนวล คล้ายกับกลีบดอกซากุระที่เพิ่งเบ่งบานในเดือนสาม ที่งดงามเกินคำบรรยาย!

เพียงมองแวบเดียวก็ทำให้คนว้าวุ่นใจ จนอยากเข้าไปลิ้มชิมรสริมฝีปากคู่นั้น…

ขณะที่เล่อเหยาเหยาใจเต้นตึกตักตกตะลึงกับความงดงามตรงหน้าของตนอยู่ เหลิ่งจวิ้นอวี๋ก็กำลังมองประเมินเธอที่อยู่ในคราบขันทีน้อยอยู่เช่นกัน!

ตอนที่เขาเห็นขันทีน้อยตรงหน้านี้ใช้สายตาที่โลมเลียตนเองอย่างหื่นกระหาย ใบหน้างดงามเขาจึงตะลึงพรึงเพริด นัยน์ตาแวววาวระยิบระยับ

แม้จะรู้ว่าตนเองนั้นหน้าตาหล่อเหลา ทว่าตั้งแต่เด็กจนโตกลับไม่เคยมีใครกล้าใช้สายตาที่กล้าหาญ ตรงไปตรงมา และแฝงด้วยความหื่นกระหายเช่นนี้มองเขามาก่อน!

เมื่อเห็นแบบนี้ ดวงตาเหลิ่งจวิ้นอวี๋มีความตกตะลึงพาดผ่าน น่าแปลกมากที่เขาไม่รู้สึกรังเกียจสายตาแบบนี้สักนิดเลย กลับยังคิดว่า…น่าสนใจด้วยซ้ำไป!

หรืออาจเป็นครั้งแรกที่มีคนใช้สายตาแบบนี้มองเขา ทำให้เขารู้สึกแปลกใหม่ หรือเป็นเพราะตัวขันทีน้อยตรงหน้าคนนี้กัน!?

เหลิ่งจวิ้นอวี๋คล้ายไม่เข้าใจ นัยน์ตาดำขลับที่เย็นชาคู่นั้นจึงจับจ้องขันทีน้อยตรงหน้าที่กำลังยืนแข็งทื่อเป็นไก่ไม้ มองตนด้วยสายตาที่ตื่นตกใจ

เขาน่าจะมีอายุราวสิบห้าสิบหกปี รูปร่างดูเล็กอ้อนแอ้น

ชุดเครื่องแบบขันทีสีน้ำเงินเข้มที่อยู่บนตัวเขาขับเน้นให้ผิวเขาขาวใสราวกับหิมะ

แม้ขันทีมากมายจะมีผิวขาว แต่ส่วนใหญ่จะทาชาดลงบนใบหน้า ทำให้ได้กลิ่นฉุนของเครื่องประทินโฉมราคาถูกพวกนั้นมาแต่ไกล

แต่ขันทีตรงหน้าผู้นี้กลับไม่เหมือนกัน

ผิวอมชมพูของร่างผอมนั้น ทำให้เขาดูคล้ายกับลูกท้อที่กำลังใกล้จะสุกงอม ส่งกลิ่นหอมหวานเย้ายวนออกมาให้คนอยากลองกัดดูสักคำ

…………………………………………………..